ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล - ตอนที่ 486 การดวลระหว่างเทพ!
ตอนที่ 486 การดวลระหว่างเทพ!
มนุษย์สามารถรู้แจ้งได้ในฉับพลัน ด้วยเหตุนี้ เช้ารู้แจ้งสัจธรรมคืนนั้นแม้ตายก็ยินดี[1]
ไกลออกไปมีพระศรีศากยมุนีบรรลุธรรมใต้ต้นโพธิ์ ระยะอันใกล้มีหวังโส่วเหริน[2] มองไผ่ทั้งวันทั้งคืน ในที่สุดก็พบวิถีแห่ง ‘ปราชญ์’ ที่แท้จริง
บางที นอกจากตัวพระขี้เรื้อนเอง อาจไม่มีใครล่วงรู้ทุกสิ่งที่อยู่ตรงหน้า มันเป็นความรู้แจ้งในฉับพลันของเขาหรือเพราะมันถูกปิดซ่อนไว้เมื่อนานมาแล้วกันแน่
แต่ต้องบอกว่าพลังชีวิตของพระขี้เรื้อนในแต่ละครั้งที่เปรียบได้กับแมลงสาบ รวมถึงจิตตานุภาพที่น่าสะพรึงกลัวจนน่าเอือมระอานั่น ทำให้โจวเจ๋อที่ยืนอยู่บนริมฝั่งรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
ในขณะนั้นเอง โจวเจ๋อก็เข้าใจทันทีว่าเหตุใดพระกษิติครรภโพธิสัตว์จึงหลอกล่อไท่ซานฝู่จวินรุ่นสุดท้ายได้ ในที่สุดก็ได้เข้าสู่นรกและกลายเป็นผู้มีอำนาจตัดสินใจเบื้องหลังยมโลกที่แท้จริงอีกด้วย
หากในศาสนาพุทธมีลาหัวโล้นเหมือนพระขี้เรื้อนรูปนี้ อย่างนั้นยังมีอะไรที่คนนับถือศาสนาพุทธทำไม่ได้บ้าง
นรกก็ไม่ได้เสียเปรียบอะไรนี่นา
ไป๋อิงอิงคลานไปถึงริมถนน มือข้างหนึ่งพยุงราวกั้นไว้และมองไปที่ผืนน้ำ ประตูสู่พุทธะบนผืนน้ำแผ่ซ่านกลิ่นอายที่ทำให้เธออึดอัดมาก
ชั่วขณะหนึ่ง ไป๋อิงอิงเริ่มสับสนขึ้นมาอีกครั้ง ในแง่หนึ่งเธอก็หวังให้พระขี้เรื้อนจะยืนหยัดสู้ต่อไป เพราะไป๋อิงอิงรู้ดีว่าระยะเวลาที่เจ้านี่ตื่นไม่นานนัก แค่ต้องหาอะไรให้เขาทำ เพื่อไม่ให้ ‘ทำร้าย’ ร่างกายของเถ้าแก่ได้อีก เธอหวังว่าพระขี้เรื้อนจะถ่วงเวลาต่อไปได้
แต่อีกในอีกแง่หนึ่ง หลังจากเห็นภาพเงาลวงตาของประตูสู่พุทธะอันยิ่งใหญ่ อิงอิงเริ่มกังวลเล็กน้อย เกิดอัญเชิญพระพุทธเจ้าองค์จริงมา แล้วเจ้านี่เอาชนะไม่ได้ เถ้าแก่ก็อาจจะซี้แหงแก๋ไปพร้อมๆ กันงั้นหรือ
หญิงสาวผิวดำพยายามเงยหน้าขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่าอยากจะมองไปทางริมแม่น้ำ แต่ดันถูกโซ่ล่ามเอาไว้ ขยับตัวไม่ได้เลย น่าโมโหจัง ทั้งๆ ที่มีการแสดงยอดเยี่ยมขนาดนี้ เธอกลับไม่ได้เห็น!
แต่เธอสัมผัสได้ถึงพลังพุทธะอันศักดิ์สิทธิ์ยิ่งใหญ่กว่าเดิมหลายเท่าตัว ในเวลานี้เธอกัดฟันกรอดอย่างช่วยไม่ได้ พระจอมเขลารู้จักออมแรงเอาไว้เสียด้วย ทำไมไม่ปล่อยท่าไม้ตายนี้มาตั้งแต่ทีแรกเล่า
ตอนนี้ฉันเป็นแบบนี้ไปแล้วแถมยังโดนพิษศพอีก ฉันควรหวังให้ท่านฆ่าเขาเพื่อปลดแอก หรือฉันจะหวังให้เขาฆ่าท่านเพื่อแก้พิษให้ฉันดีล่ะ
หญิงสาวผิวดำจมอยู่ในภวังค์ความสับสน คุณยายพูดถูกสินะ เธอไม่สันทัดการใช้สมองจริงๆ เหมาะแก่การทำไร่ทำนาเท่านั้น
โจวเจ๋อยืนอยู่ที่เดิม สายตาจับจ้องไปที่ร่างของพระขี้เรื้อนก่อนอื่นใด พระขี้เรื้อนซูบผอมซีดเซียว ไม่ใช่เพราะถูกโจวเจ๋อซัดออกมา แต่เพราะเขายอมถวายชีวิตของตัวเอง ฉากนี้ถึงได้เกิดขึ้นมาอย่างไรล่ะ
ประตูสู่ร่มกาสาวพัสตร์ที่เรียกๆ กัน มันคืออะไรกันแน่ เช่นเดียวกับสิ่งที่เรียกว่ายุทธภพ ผู้คนมักกล่าวกันว่า ‘เข้าสู่ยุทธภพ ออกจากยุทธภพ’ แต่ยุทธภพที่เป็นรูปธรรมจริงๆ มันอยู่ที่ไหนกันล่ะ
หลักการเดียวกัน หนีเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ แล้วร่มกาสาวพัสตร์นี้ มันคือที่แห่งใดกันแน่
เป็นประตูบานใหญ่ของวิหารบนเขา หรือผมดำขลับปลิวร่วงไล้หลังลงมาจากการปลงผมต่อหน้าพระพุทธเจ้ากันล่ะ
ตอนนี้ประตูสู่ร่มกาสาวพัสตร์ได้ปรากฏขึ้นจริงๆ แล้ว ส่วนพระพุทธเจ้ายืนอยู่หลังประตูบานนั้น
พระขี้เรื้อนเงยหน้ามองข้างบนด้วยความเลื่อมใสศรัทธา เขามีความสุขมาก แม้เขาจะรู้สึกว่าตัวเองใกล้จบเห่แล้ว น้ำมันใกล้หมดและตะเกียงเหือดแห้ง แต่เขาก็ยังมีความสุขมากอยู่ดี
เขาในวันนี้ได้สำแดงพลังความสามารถที่อยู่ข้างในออกมามากกว่าทุกที ไม่สิ สำแดงออกมาได้สุดยอดมากเลยต่างหาก!
ประตูสู่ร่มกาสาวพัสตร์ วันนี้อาตมาเห็นประตูทางเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์แล้ว พุทธะ อาตมาใกล้จะมองเห็นพุทธะแล้ว
อมิตาภพุทธ อมิตาภพุทธ! พุทธะจงกำจัดมาร! พุทธะจงโปรดช่วยข้า!
พระขี้เรื้อนตะโกนเรียกจากก้นบึ้งในใจ เขารู้ว่าพุทธะจะต้องได้ยินแน่ๆ เพราะพุทธะอยู่ในใจของทุกคน
โจวเจ๋อไม่ได้ทำอะไรทั้งสิ้น ตอนที่พระขี้เรื้อนเริ่มสวดปรัชญาปารมิตาหฤทัยสูตร เขายังคงนิ่งเฉย ตอนที่ประตูสู่ร่มกาสาวพัสตร์ปรากฏขึ้น เขาก็ยังนิ่งเช่นเดิม และไม่คิดจะขยับด้วย เขากำลังรอ รอพุทธะออกมา!
เมื่อเขาเกิด โลกนี้ไร้พุทธะ เมื่อเขาร่วงหล่นลงมาจากฟ้า พุทธะไม่ได้ช่วยอะไรเช่นกัน
บัดนี้ ผู้ที่ชื่อว่ากษิติครรภโพธิสัตว์กำลังปกครองนรก ปกครองสถานที่ที่เขาเคยอยู่ ฉะนั้นเขาอยากรู้อยากเห็นหน้าพระพุทธเจ้าด้วยตาสักครั้ง!
ที่ผ่านมาจงใจหลบเลี่ยง เรียกได้ว่าเอาตัวรอดไปวันๆ และเรียกได้ว่าตราบเท่าที่ยังมีชีวิตย่อมยังมีความหวัง แต่โจวเจ๋อไม่เคยคิดว่าเขากลัว และไม่มีทางยอมรับว่าเขากลัว ฉะนั้นตอนนี้คือหนทางพิสูจน์ที่ดีที่สุดว่า เขาไร้ความเกรงกลัว!
‘กึก…กึก…แกรก…’ หลังประตูสีทองอร่ามมีเสียงเสียดสีดังลอดออกมาเบาๆ คล้ายกับสัตว์ตัวเล็กๆ กะเทาะออกจากไข่ เสียงแตกละเอียดของเปลือกไข่ ส่อให้เห็นว่าการมาถึงของปรากฎการณ์ใหม่ได้เริ่มขึ้น
‘แอ๊ด…แอ๊ด…แอ๊ด…’
มีคนอยู่เบื้องหลังและกำลังผลักประตูบานนี้!
มีคนอยู่หลังประตูจริงๆ!
โจวเจ๋อเอามือไพล่หลังและตั้งตารอคอยอย่างเงียบๆ
เจ้างั่งร้อนรนจนหมุนวนไปรอบๆ ภายในร่าง สติของเถ้าแก่โจวยังไม่ฟื้นขึ้นมา ยังคงหลับใหลอยู่ดังเดิม คราวก่อนที่ ‘ปวดใจจนแทบหยุดหายใจ’ มันเป็นเพียงสัญชาตญาณที่ขับเคลื่อนแม้ในยามหลับนอนเท่านั้น!
และด้วยเหตุนี้ เมื่อโจวเจ๋อวางแผนจะเล่นใหญ่เบอร์นี้ แสร้งทำเป็นกำเริบเสิบสาน ไม่สนแม้ว่าจะเปิดเผยตัวตนภายหลังก็ตาม จึงไม่มีใครหยุดเขาได้!
ไม่ต้องพูดถึงอิงอิงที่ไร้เรี่ยวแรงในตอนนี้ หรือต่อให้จะมีกำลังแต่เมื่อตกอยู่ภายใต้สายตาที่จ้องเขม็งของโจวเจ๋อ แข้งขาก็พลันอ่อนเปลี้ยไปหมด ส่วนหญิงสาวผิวดำคนนั้นถูกโจวเจ๋อฝึกจนเหมือนเป็นหมาพันธุ์ปั๊กตั้งนานแล้ว แถมตอนนี้ยังจมอยู่ในภวังค์ความสับสนขัดแย้งในตัวเองอยู่เลย ทนายอันก็ไม่อยู่ นักพรตเฒ่าที่จริงใจก็ไม่อยู่
ทันใดนั้นเอง โจวเจ๋อในเวลานี้ก็เสมือนกับนักโทษที่เพิ่งแหกออกจากกรงขัง เป็นอิสระอย่างสมบูรณ์
“ศิษย์ขออัญเชิญพระพุทธเจ้าได้โปรดเสด็จมา!”
พระขี้เรื้อนคุกเข่าลงกราบไหว้ เดิมทีเขาอ้วนท้วนอยู่บ้าง เรียกได้ว่ารูปร่างอ้วนจ้ำม่ำเลยก็ว่าได้ แต่กลับผอมซูบฮวบฮาบลงไปอย่างรวดเร็ว ในชั่วพริบตา ดูเหมือนจะแก่ลงไปหลายสิบปี ผิวพรรณเหี่ยวย่น คิ้วขาวโพลน แต่ดวงตาของเขากลับสุกสดใสแวววาว ดูตื่นเต้นออกนอกหน้าอย่างเห็นได้ชัด!
ชีวิตนี้ช่างโชคดีได้เจอหน้าพุทธะ ไยต้องเสียดายร่างกายเน่าเหม็นด้วยหรือ
เมื่อมองดูพระขี้เรื้อนมีท่าทางเลื่อมใสศรัทธาอย่างหนัก คิ้วของโจวเจ๋อเริ่มขมวดขึ้นมาช้าๆ ในสายตาของเขาพระขี้เรื้อนเป็นเพียงมดแมลงตัวหนึ่งเท่านั้น แต่เป็นมดตัวที่ฉลาดอย่างไม่ต้องสงสัย ตรงจุดนี้สามารถรู้สึกได้จากการสัมผัสในช่วงสั้นๆ มดชนิดนี้ฉลาดและทำงานหนักกว่ามดขี้เกียจที่ฝึกกล้ามเนื้อลูกหนูที่โคนแขนชนิดนั้นมาก แต่มดฉลาดเช่นนี้กลับอุทิศตนให้พุทธะด้วยวิธีนี้
เขาเกลียดโจวเจ๋อ ใช่แล้ว เขาเกลียดโจวเจ๋อ เดิมทีเขาสามารถแกล้งตายเพื่อหลบหนี ไม่ว่าในตอนสุดท้ายเขาจะถูกจับได้หรือไม่ ก็ยังมีโอกาสรอดสำหรับเขาอยู่ดี แต่คาดไม่ถึงเขากลับลุกขึ้นมา แถมยังฝืนยืนหยัดลุกขึ้นมาครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่ใช่เพราะเขาไม่เสียดายชีวิต แต่เป็นเพราะประโยคนั้นของโจวเจ๋อ ‘ตอนเกิดมา พระพุทธเจ้าไม่มีในโลก’ ทำให้เขารู้สึกว่าความเชื่อของตัวเองถูกลบหลู่เข้าให้แล้ว
โจวเจ๋อลอบถอนหายใจเล็กน้อย มองพระขี้เรื้อนที่ตัวซูบแห้งตรงหน้า กลับไม่รู้สึกละอายแก่ใจอะไรสักนิด พูดตามจริง ยังต้องละอายแก่ใจด้วยหรือ
‘ปึง!’
เสียงกระทบเริ่มเลวร้ายขึ้นราวกับว่ามีคนอยู่หลังประตูและใช้มือทั้งสองยันด้านหลังประตูไว้!
ช่องว่างของประตูเผยออกมาแล้ว กำลังจะถูกผลักออกมา!
เสียงภาษาสันสกฤตอันทรงพลังดังออกมาจากข้างใน ราวกับว่าหลังประตูนี้คือดินแดนบริสุทธิ์แห่งความสุขที่
แท้จริง!
ธรรมะที่ไร้ขอบเขตกำลังกระเพื่อม เสียงพุทธะที่อบอุ่นหัวใจกำลังเทศนา หนึ่งดอก หนึ่งภพ หนึ่งต้น หนึ่งโพธิ์
โจวเจ๋อสูดหายใจเข้าลึก เมื่อเทียบกับที่ถูกโจวเจ๋อปลุกขึ้นมาประมือกับพวกลูกหมาลูกแมวตลอดมาแล้ว แม้แต่เซี่ยจื้อก่อนหน้านี้ มันก็เป็นเพียงแค่ภาพฉายลวงตาเท่านั้น คนที่อยู่ตรงหน้านี้ต่างหากสมควรได้รับความยกย่องจากเขาอย่างแท้จริง!
โจวเจ๋อยังคงยืนนิ่งไม่ไหวติง แต่ภาพลวงตาสายแล้วสายเล่ากลับปรากฏขึ้นใต้ฝ่าเท้าของเขา พื้นดินเริ่มแตกระแหง ผืนดินเริ่มสั่นสะเทือน ลาวาแต่ละชั้นพวยพุ่งออกมาจากพื้นดิน นี่มันเป็นทั้งเรื่องจริงและเรื่องโกหก เช่นเดียวกับประตูสู่ร่มกาสาวพัสตร์ตรงหน้า ประตูตรงตามชื่อ หลังประตูคือความว่างเปล่า แต่หลังประตูกลับมีทุกอย่างเช่นกัน
หญิงสาวผิวดำนอนอยู่บนพื้นเห็นลาวาไหลกลิ้งอยู่ใต้ร่างตัวเอง พลันตกตะลึงสุดตัว
โอ้พระเจ้า นี่มันทำอีท่าไหนกันละเนี่ย!
คุณยายขา เป็นความผิดของฉันเอง ฉันปลูกคุณเร็วเกินไป คุณถึงได้มองไม่เห็นฉากนี้ ดูสิ นี่เป็นการต่อสู้ระหว่างเทพกับเทพจริงๆ!!!!!!!
ตอนแรกอิงอิงถอยหนีเพื่อหลบเลี่ยงลาวา แต่ไม่นานนัก ลาวาก็เข้าปกคลุมพื้นดินอย่างสมบูรณ์ อิงอิงไร้หนทางถอยหนีแล้ว
โชคดีที่ลาวานี้ไม่มีอุณหภูมิ เรียกได้ว่าไม่ใช่ของจริง แต่พอดูแล้วกลับไม่ต่างอะไรจากของจริงเลย
รอบตัวโจวเจ๋อ เริ่มปรากฏซากศพปีศาจดุร้ายออกมานับไม่ถ้วน ในแม่น้ำเบื้องหน้าเริ่มปรากฎวิญญาณนับร้อยกรูกันออกมา พวกมันยื่นมือขึ้นบิดร่างกายอันเละเทะของตัวเอง และกรีดร้องโหยหวนไม่หยุด ฉากนี้ได้ทำลายทัศนคติทั้งสามด้าน[3]ของผู้คนไปแล้วจริงๆ!
กระดูกด้านหลังโจวเจ๋อเริ่มสะสมกองพะเนินขึ้นมา กระดูกมากมายนับไม่ถ้วนก่อตัวเป็นบัลลังก์สำหรับคนคนเดียว!
โจวเจ๋อเอนหลังเล็กน้อย และนั่งบนบัลลังก์กระดูกอย่างเป็นธรรมชาติ
เบื้องล่างเป็นลาวาร้อนระอุเดือดปุดๆ เบื้องบนเหนือหัวคือพระจันทร์สีเลือด เบื้องหน้าเป็นแม่น้ำปรภพซัดสาด ที่นี่คือนรก และเขาคืออิ๋งโกว!
เจ้าทะเลแห่งความตายมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น!
เสื้อผ้าอาภรณ์บนตัวอิ๋งโกวเปลี่ยนไปอย่างช้าๆ ค่อยๆ จางหายไป เผยให้เห็นร่างกายท่อนบนของเขา อักขระที่ไหลอยู่บนผิวหนังตลอดเวลา เป็นการบอกเล่าเรื่อง ราวกับเป็นความทรงจำเก่าแก่ที่สืบทอดมาแต่โบราณกาล แถมยังมีรอยแผลเป็นที่น่าสยดสยองรอยแล้วรอยเล่า ยิ่งกว่านั้นมาจากสนามรบโบราณอีกด้วย รอยแผลเป็นที่สะดุดตาที่สุดบนหน้าอกนั้น ก่อนที่ชือโหยวเทพเจ้าแห่งสงครามจะตายได้ฝากรอยประทับไว้บนร่างของเขาที่เขตชานเมืองจัวลู่!
“มาเลย…พุทธะ…ข้าอยู่นอกประตู…รอเจ้า!”
โจวเจ๋อที่นั่งอยู่บนบัลลังก์กระดูกเอ่ยปาก ชั่วพริบตาลาวาลอยขึ้น กระดูกเบื้องล่างก็เริ่มออกลวดลายเต้นอย่างบ้าคลั่งขึ้นมา วิญญาณนับไม่ถ้วนในแม่น้ำปรภพส่งเสียงร้องคำราม กู่ก้องสะเทือนเลื่อนลั่นฟ้าพร้อมกัน!
ความกดดันน่าเกรงขามกวาดออกไปอย่างท่วมท้น!
เสียงกลองดังสนั่นราวกับค้อนหนักฟาดกระทบประตูเหลืองทองอร่ามบนผิวแม่น้ำอย่างรุนแรง!
‘แอ๊ด…กึก!’
เพิ่งจะแง้มประตูออกมานิดหน่อย จู่ๆ ก็หยุดลงกะทันหัน ราวกับถูกกดปุ่มหยุดไว้ พระขี้เรื้อนผอมจนหนังหุ้มกระดูกที่อยู่ด้านล่างเอียงหน้ามองในอากาศ ทั้งรู้สึกประหลาดใจและอึ้งไปเล็กน้อย ทำไมประตูถึงหยุดล่ะ
ในเวลานี้เอง เสียงทรงพลังดังออกมาจากด้านหลังประตู
“อมิตาภพุทธ มาผิดประตูแล้ว ขอโทษที รบกวนแล้ว”
……………………………………………………….
[1] เช้ารู้แจ้งสัจธรรมคืนนั้นแม้ตายก็ยินดี คำกล่าวข้างต้น เป็นบทในหลี่เหริน 《里仁》ของขงจื่อ
[2] หวังโส่วเหริน นามเดิมคือ หวังหยางหมิง เป็นนักคิดสำนักขงจื๊อ สายจิตนิยม จุดมุ่งหมายคือเพื่อให้มนุษย์เป็นหนึ่งเดียวกับฟ้าดินและทุกสรรพสิ่ง
[3] ทัศนคติทั้ง 3 ด้าน หมายถึง ทัศนคติต่อโลก ทัศนคติต่อชีวิต และทัศนคติต่อคุณค่า