ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล - ตอนที่ 491 เถ้าแก่ มากัดมันที!
ตอนที่ 491 เถ้าแก่ มากัดมันที!
หลังจากขึ้นรถไฟความเร็วสูงมาถึงสถานีในช่วงพลบค่ำ ทนายอันเช่ารถทั้งยังซื้อของกินและน้ำตุนไว้ไม่น้อย ทุกคนถึงได้ขับรถเข้าไปข้างในภูเขา
ทนายอันตั้งใจซื้อของในครั้งนี้มาก ขนมขบเคี้ยว บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป และขนมปังหลากหลายรสชาติ ซื้อของจำพวกของกินเล่นมากองพะเนิน แถมยัดเข้าไปในรถจนเต็ม
หลังรู้ว่าไม่ต้องกลุ้มเรื่องน้ำดอกพลับพลึงอีกแล้วในอนาคต ทนายอันก็ระเบิดความกระตือรือร้นในด้าน ‘การกิน’ มากทีเดียว น่าเสียดายที่คราวนี้ต้องเข้าภูเขาเพื่อตามหาคน แถมยังเร่งรีบมาก ไม่อย่างนั้นละก็บางทีเขาอาจจะวางแผนเข้าภูเขาตามหาบ้านไร่แท้ๆ เพื่อเพลิดเพลินกับของกินรสเลิศก็ได้
ตามการนำทางของเครื่องหมายในแผนที่ เนื่องจากมีถนนตัดผ่านจึงไม่ต้องกังวลเรื่องหลงทาง ถึงอย่างไรถนนในภูเขาก็มีไม่มากนัก
ทนายอันขับรถรวดเร็วมาก ขณะเดียวกันมือข้างหนึ่งก็วางพาดออกไปนอกหน้าต่างที่ลดกระจกลง ดูเท่เข้าไปอีก จางเยี่ยนเฟิงนั่งตรงตำแหน่งข้างคนขับ คาดเข็มขัดนิรภัยพร้อมจัดแจงเสื้อผ้าและนั่งตัวตรง ส่วนโจวเจ๋อและอิงอิงนั่งอยู่ด้านหลัง ตอนนี้โจวเจ๋อก็ไม่สนอะไรแล้ว ถึงอย่างไรต่อไปนี้ก็ไม่ต้องกังวลเรื่องน้ำดอกพลับพลึงแดงแล้ว ใช้ของในสต็อกเต็มที่ เริ่มดื่มน้ำดอกพลับพลึงแดงและกินขนมกันแล้ว!
เมื่อก่อนโจวเจ๋อไม่ค่อยชอบกินคุกกี้หรือขนมชิ้นเล็กๆ เหล่านี้เลย ชาตินี้ยิ่งกินน้อยลงกว่าเก่า ตอนนี้พอกินเข้าไปแล้วกลับมีรสชาติที่อร่อยทีเดียว
อิงอิงมีหน้าที่เปิดถุงขนมหรือไม่ก็แกะเปลือกถั่วให้โจวเจ๋ออยู่ข้างๆ เห็นเถ้าแก่กินอย่างมีความสุขขนาดนี้ อิงอิงก็มีความสุขด้วยเช่นกัน
สรุปคือ หากตัดเรื่องหลินเข่อทิ้งไปละก็ บรรยากาศในรถคล้ายกับกำลังท่องเที่ยวกันอยู่จริงๆ เป็นที่น่าพอใจเลยแหละ
“เถ้าแก่ คุณยื่นมือออกไปข้างนอกสิ สัมผัสดูหน่อย ความเร็วของผมในตอนนี้ ผมทดสอบด้วยตัวเองแล้ว มันใกล้เคียงความรู้สึกที่สัมผัสหน้าอกเลย”
“เหล่าอัน”
“มีอะไรครับ เถ้าแก่”
“ภาพลักษณ์ของคุณวันนี้ดูแย่ไปหน่อยนะ”
“เถ้าแก่ คุณอย่าเป็นผู้ชายอิ่มเอมจนไม่รู้จักผู้ชายหิวกระหายสิครับ คุณทั้งกินอิ่มนอนอุ่นมาโดยตลอด แต่สำหรับผมแล้ว มันลำบากเหลือเกิน ผมไม่ได้สัมผัสวันเวลาแบบนี้มานานแล้ว เจ้าเด็กผิวเข้มนั่นไม่เพียงแค่ปลูกดอกพลับพลึงได้เท่านั้นนะ ถ้าเธอวางยาพวกเราด้วย มันสามารถทำให้เราหลับอุตุได้จริงๆ แค่คิดว่าวันข้างหน้าจะกินอิ่มนอนอุ่น ผมก็มีความสุข มีความสุขจริงๆ”
“กินเพื่ออยู่ ไม่ใช่อยู่เพื่อกิน” โจวเจ๋อพูดด้วยอารมณ์
เมื่อได้ยิน ทนายอันไม่เพียงตกตะลึงไปชั่วครู่ แม้แต่จางเยี่ยนเฟิงที่นั่งข้างคนขับยังชะงักไปครู่หนึ่ง เมื่อได้ยินคำพูดประเภทนี้ออกจากปากเถ้าแก่ของตัวเอง มักจะให้ความรู้สึกประหลาดแบบแปลกๆ เสมอ
เหมือนกับอิ่มแล้วบอกคนอื่นว่าไม่มีข้าวกินทำไมไม่ไปกินโจ๊กเนื้อแทนล่ะ
“ว้าว สิ่งที่เถ้าแก่พูดช่างลึกซึ้งและเป็นปรัชญามากเลยเจ้าค่ะ! สมกับเป็นเถ้าแก่!”
อิงอิงไม่ได้เป็นแฟนตัวยงคอยเคารพยกย่องปลอมๆ ที่เพิ่งมาถึงแต่อย่างใด แต่กลับคลายบรรยากาศอันเกิดจากประโยคคำคมสร้างแรงบันดาลใจประโยคนั้นที่นำมาซึ่งสถานการณ์น่ากระอักกระอ่วนในรถแทน
“ผมว่านะเถ้าแก่ ถ้าพุทธะออกมาจริงๆ ไอ้หมอนั่นจะสู้ได้ไหม” ทนายอันจุดบุหรี่แล้วโยนบุหรี่ให้จางเยี่ยนเฟิงและโจวเจ๋อที่อยู่ข้างหลัง
“แบตเตอรี่ของเขาคือผม” โจวเจ๋อกัดช็อกโกแลตแท่งยี่ห้อสนิกเกอร์สที่อิงอิงป้อนเข้าปาก
“อ๋อ” ทนายอันพยักหน้า
เข้าใจแล้ว มิน่าล่ะ หลังเจ้านั่นออกมาเถ้าแก่ของเขาเหมือนถูกคว้านร่างทุกครั้งไป จำได้ว่าก่อนหน้านี้นักพรตเฒ่าเคยพูดไว้ เมื่อก่อนหลังเถ้าแก่ใช้วิชาอู๋ซวงแล้วเรียกได้ว่าสะบักสะบอมทีเดียว ร่างกายเปรอะเปื้อนเลือดไปทั่วร่าง ผิวหนังแหกปริออก เนื้อตัวเต็มไปด้วยบาดแผล แถมยังต้องนอนบนเตียงไปถึงครึ่งเดือนและลงจากเตียงไม่ได้ด้วยซ้ำ แม้ว่าตอนนี้พลังของเถ้าแก่จะแข็งแกร่งขึ้นและพัฒนาแล้ว ตอนนี้แค่อ่อนพับหลับไปคืนหนึ่งเท่านั้น แต่ก็ยังไม่เพียงพออยู่ดี
นี่มันก็เหมือนรถถังสองคันสู้กัน ไม่ว่ารถถังของอิ๋งโกวจะหุ้มเกราะหนา หรือแรงขับเคลื่อนและลำกล้องปืนล้วนแกร่งกว่าอีกฝ่ายมาก แต่อีกฝ่ายมีเชื้อเพลิงที่เข้ากันได้หลายถัง ทว่าอิ๋งโกวในที่นี้มีแบตเตอรี่หนานฝู[1]เพียงก้อนเดียว แม้ว่าเถ้าแก่ของเขาจะภูมิอกภูมิใจในแบตเตอรี่ ที่ถึงมีก้อนเดียวก็แกร่งกว่าหกก้อน แต่ไม่ว่าอย่างไรก็คือแบตเตอรี่อยู่ดี
“งั้นเมื่อคืนก่อนไอ้หมอนั่นก็โง่เง่าน่ะสิ เตรียมตัวรอพุทธะออกมาปราบมารจริงๆ เนี่ยนะ”
“ตอนนี้อารมณ์ของเขาไม่ค่อยคงที่น่ะ” โจวเจ๋อพูด
“หือ อารมณ์ไม่คงที่เหรอ เช่นอะไรครับ”
“อย่างเช่นคำพูดเหล่านี้ของคุณตอนนี้ เขาอาจจะได้ยิน เมื่อเขาออกมาครั้งต่อไป อาจจะยังไม่ไปห้ำหั่นกับศัตรู แต่จะฆ่าคุณก่อนไงล่ะ”
“…” ทนายอัน
ทนายอันโยนบุหรี่ทิ้งไป ใช้มือถือเชื่อมบลูทูธเตรียมเล่นเพลง
เมื่อเห็นท่าทางของเขา จางเยี่ยนเฟิงที่นั่งอยู่ข้างคนขับหยิบมือถือของตัวเองขึ้นมาแล้วพูด “เชื่อมบลูทูธของผมสิ ผมอยากเปิดเพลง”
“เอาสิ คุณเปิดเลย เปิดเพลงเพราะๆ หน่อยนะ” ทนายอันตอบทันที
จางเยี่ยนเฟิงปรับอยู่ครู่หนึ่ง เชื่อมเครื่องเสียงรถยนต์เข้ากับบลูทูธมือถือ ไม่นานก็เล่นเพลง หลังจากเพลงเริ่มเล่นแล้ว ทนายอันชักมือที่ยื่นออกไปลูบหน้าอกด้านนอกรถกลับเข้ามาโดยไม่รู้ตัว เถ้าแก่โจวที่นั่งกินๆ ดื่มๆ กับสาวใช้ด้านหลังก็หยุดเคลื่อนไหวโดยไม่รู้ตัว จางเยี่ยนเฟิงจัดผ้าจัดผ่อนเรียบร้อยและนั่งตัวตรงแน่ว
‘ลุกขึ้นเถิด มวลชนผู้ไม่ยอมเป็นทาสทั้งหลาย!
ให้เลือดเนื้อของพวกเราสร้างเป็นกำแพงเมืองจีนขึ้นใหม่[2]…’
แต่อิงอิงกลับงงงวยเล็กน้อย เธอเป็นคนราชวงศ์ชิงจึงไม่รู้สึกอะไรกับสิ่งนี้เลย ในเวลานี้ทั้งโจวเจ๋อและทนายอันพากันมองจางเยี่ยนเฟิงที่นั่งข้างคนขับ เดาว่าน่าจะมีความคิดในใจตรงกัน
คุณบ้าไปแล้วเรอะ!
จางเยี่ยนเฟิงพ่นควันบุหรี่อย่างเชื่องช้าพลางเอ่ย “วันนี้เป็นวันชาติจีน ผมคิดว่าควรจะฟังเพลงชาติสักหน่อยน่ะ”
ท่ามกลางเสียงเพลงชาติดังกระหึ่มเร้าใจ ในที่สุดรถก็ถึงที่หมายเสียที
ด้านหน้าเป็นบ้านพักตากอากาศสร้างบนเขื่อนที่ราบในหุบเขา หลังจากเบรกรถ ทนายอันรีบยื่นมือไปปิดเครื่องเสียงรถยนต์ที่กำลังเล่นเพลงอย่างต่อเนื่อง แล้วลงจากรถพลางถอนหายใจยาว
ตอนที่โจวเจ๋อลงจากรถสีหน้ากลับดูผ่อนคลายและเอ่ยว่า “ผมคิดว่าอย่างนี้มันดีเลยทีเดียว คุณดูสิ สถานที่ที่พวกเรากำลังจะเข้าไปดันถูกตาเฒ่านั่นทำเครื่องหมายไว้บนแผนที่ในโทรศัพท์ ถ้างั้นต้องมีบางอย่างผิดปกติแน่ๆ ฟังเพลงชาติมาตลอดทางรู้สึกว่าตัวเองเต็มไปด้วยพลังบวก ช่างประจวบเหมาะกับการเข้าไปล่าสำรวจเสียจริง”
ทนายอันกลอกตาใส่โจวเจ๋อ เขารู้สึกว่าจู่ๆ จางเยี่ยนเฟิงเกิดเป็นประสาทขึ้นมาก็ช่างเถอะ แต่ตอนนี้แม้แต่เถ้าแก่ของเขาก็ยังเพี้ยนไปด้วยเลย
“ไปเถอะ เข้าไปสิ”
ในเมื่อมาแล้วก็ต้องเข้าไปดูหน่อยสิ พวกเขาไม่ใช่ทีมงานถ่ายทอดสดรายการอภินิหารอะไรเทือกนั้นที่ต้องการตระเตรียมอุปกรณ์มากมาย ถ้าว่ากันแบบจริงจังแล้ว พวกเขากลุ่มนี้เป็นปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติอยู่แล้วต่างหาก
ประตูใหญ่ของบ้านพักตากอากาศล็อกอยู่ โจวเจ๋อเดินเข้าไปใช้เล็บตัดแม่กุญแจทิ้งและผลักประตูเปิดออก บ้านพักตากอากาศมีอยู่สามชั้น ห้องหับไม่น้อยเลย แต่กลับไม่มีไฟเปิดสว่างแม้แต่ดวงเดียว
‘แจ๊บๆ’ ทนายอันเคี้ยวหมากฝรั่งแล้วเดินไปที่ประตูชั้นหนึ่งก่อน เดิมทีอยากจะตะโกนเรียกเถ้าแก่ของเขาให้มาเป็นช่างสะเดาะกุญแจต่อ แต่แค่ผลักประตูเบาๆ ก็เปิดออกแล้ว
“โอ๊ะ” เข้าไปข้างในได้ไม่กี่ก้าว ทนายอันก็ร้องเสียงเบา แต่ก็ยังเคี้ยวหมากฝรั่งต่อ
ในห้องโถงชั้นหนึ่งมีศพอยู่สามศพ ชายสองหญิงหนึ่งล้วนเป็นผู้ใหญ่ทั้งหมด
เอาเถอะ บ้านพักตากอากาศในหุบเขาลึกที่จะต้องมีปัญหาแน่ๆ มีศพปรากฏขึ้น นี่เป็นเรื่องปกติธรรมดาจริงๆ นี่ก็คล้ายกับคาบาเร่โชว์[3]บนเรือสำราญที่ประเทศไทยที่ต้องมีสาวประเภทสองแน่นอน
โจวเจ๋อและคนอื่นก็เดินเข้ามาแล้ว จางเยี่ยนเฟิงและทนายอันหยิบมือถือออกมา ปรับโหมดไฟฉายและเริ่มสำรวจศพบนพื้น
จากนั้นได้ยินเพียงเสียง ‘แป้ก’
ทันใดนั้นไฟห้องโถงทั้งชั้นหนึ่งพลันสว่างวาบ!
จางเยี่ยนเฟิงและทนายอันสะดุ้งสุดตัวจนตัวสั่น พวกเขาไม่ได้ตกใจศพบนพื้นนี่หรอก แต่ไฟที่จู่ๆ ก็สว่างไสวกลับทำให้สันหลังพวกเขาเย็นวาบในชั่วพริบตาต่างหาก
“โทษทีที่ทำให้พวกคุณตกใจ” โจวเจ๋อยักไหล่พลางชี้สวิตช์ไฟข้างๆ ตัวเอง “มันสามารถเปิดไฟตรวจสอบได้น่ะ”
ทนายอันและจางเยี่ยนเฟิงสบตากันครู่หนึ่ง ก่อนจะเก็บมือถืออย่างเงียบๆ และเริ่มตรวจสอบศพ
เมื่อเทียบกับศพแล้ว โจวเจ๋อกลับสนใจการตกแต่งและเครื่องเรือนในบ้านหลังนี้มากกว่าเสียอีก ค่อนข้างหรูหราโออ่ามาก แต่ดูไม่เลี่ยนและไร้รสนิยม ซึ่งมันหมายความว่าเจ้าของบ้านค่อนข้างมีสไตล์พอตัว โดยเฉพาะโดราเอมอนของเล่นที่วางเรียงเป็นแถวบนโต๊ะรับแขกกลางห้องนั่งเล่น ดูๆ แล้วก็น่ารักไม่เบา
โจวเจ๋อจำได้ว่าตอนเด็กๆ เคยอ่านการ์ตูนและดูแอนิเมชันโดราเอมอนตอนอยู่สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า นี่นับว่าเป็นหนึ่งในความบันเทิงไม่กี่อย่างของเขาสมัยที่ยังเป็นเด็ก
“เถ้าแก่ รู้สึกว่าของเล่นบนโต๊ะนี้แปลกๆ” อิงอิงที่ติดตามอยู่ข้างๆ โจวเจ๋อพูด “ข้างล่างก็มีด้วยนะเจ้าคะ ดูแล้วไม่ค่อยเข้ากับที่นี่เท่าไรนัก”
“มันคือความสง่างาม” โจวเจ๋อเอ่ยแก้ “อิงอิง อีกหน่อยตอนที่คุณซื้อบ้านและตกแต่ง อย่าเอาแต่คิดตกแต่งแบบหรูหราฟู่ฟ่าอย่างเดียวนะ แบบนั้นไร้รสนิยมเกินไป”
“สง่างามหรือ ไร้รสนิยมหรือ เถ้าแก่ จะแยกแยะได้ยังไงเจ้าคะ”
โจวเจ๋อลังเลครู่หนึ่ง แยกแยะอย่างไรงั้นเหรอ
“ยกตัวอย่างนะ ถ้าชายคนหนึ่งมีเงินเดือนสองพัน หลังเลิกงานก็เอาแต่หมกตัวเล่นเกม เล่นฟิกเกอร์โมเดลอยู่ในบ้าน นี่น่ะเรียกว่าไม่ก้าวหน้า แล้วถ้าชายคนหนึ่งมีเงินเดือนปีละล้าน หลังเลิกงานก็ไม่ไปไหนทั้งนั้น เอาแต่อยู่บ้านเล่นเกมคนเดียวและซื้อฟิกเกอร์โมเดลบ้างบางครั้ง นี่น่ะเรียกสง่างาม”
“อ๋อ ลึกซึ้งมากเจ้าค่ะ”
“อืม”
ขณะที่เถ้าแก่โจวและสาวใช้ของเขาเยี่ยมชมบ้านชั้นหนึ่งของคนอื่นและเรียนรู้ประสบการณ์การตกแต่งบ้านในอนาคต ทนายอันและจางเยี่ยนเฟิงกำลังวิจัยศพทั้งสามด้วยกัน
“เวลาเสียชีวิตน่าจะสิบกว่าวันได้แล้วละ” จางเยี่ยนเฟิงเดาคร่าวๆ
“สาเหตุการณ์การเสียชีวิตคือสิ่งนี้” ทนายอันจับหัวศพหงายขึ้นและชี้ตรงตำแหน่งคอของศพ ตรงนั้นมีรูเลือดอยู่สองรู รูเลือดเล็กมากแต่ก็ลึกมากด้วยเช่นกัน มีจุดม่วงคล้ำใกล้บาดแผล ส่วนตำแหน่งอื่นๆ กลับไม่พบบาดแผลเลย
“ถูกแทงด้วยของมีคม คือส้อมเหรอ” จางเยี่ยนเฟิงขมวดคิ้ว เขาเริ่มวิเคราะห์จากประสบการณ์และสัญชาตญาณตำรวจอาชญากรรมของตัวเอง “ไม่ใช่นี่นา มีส้อมที่มีแค่สองแฉกด้วยเหรอ แผลก็เล็ก มันก็ไม่น่าใช่ของจำพวกฉมวกด้วย แถมไม่ใช่รูเข็มจากการฉีดยาด้วย หลินเข่อเป็นคนทำเหรอ ดูเหมือนหลินเข่อจะใช้แค่ลิ้นเองนะ ต้องไม่สร้างบาดแผลแบบนี้ถึงจะถูก”
ทนายอันได้ยินจางเยี่ยนเฟิงวิเคราะห์อยู่ตรงนั้นคนเดียวตั้งนานสองนานจนอดขำไม่ได้ เขาเอ่ยว่า “อยากทราบสาเหตุการเสียชีวิตและอาวุธที่ใช้สังหารว่าคืออะไรใช่ไหม”
“คุณรู้เหรอ” จางเยี่ยนเฟิงตะลึงเล็กน้อย
“อืม”
ทนายอันเอี้ยวตัวไปด้านข้างและตะโกนเรียกสองคนที่ยังเยี่ยมชมการตกแต่งอยู่ตรงโน้น
“เถ้าแก่ คุณเข้ามากัดมันที!”
…………………………………………………………….
[1] แบตเตอรี่หนานฝู เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายแบตเตอรี่อัลคาไลน์ชั้นนำของจีน
[2] เพลงชาติจีน
[3] คาบาเร่ โชว์ หมายถึง การแสดงของสาวประเภทสอง