ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล - ตอนที่ 492 บ้านพักตากอากาศ!
ตอนที่ 492 บ้านพักตากอากาศ!
โจวเจ๋อเดินเข้ามาและย่อตัวลงตรวจสอบบาดแผลของศพครู่หนึ่ง
“จุ๊ๆ เหมือนโดนผีดิบกัดตายจริงๆ” สาวน้อยโลลิไม่มีฟันงอกนี่
“อีกสองศพก็มีบาดแผลเหมือนกันเหรอ” โจวเจ๋อถาม
“ใช่ครับ” จางเยี่ยนเฟิงยืนยันคำตอบ
“เถ้าแก่ แถวๆ นี้อาจจะมีญาติของคุณอยู่ก็ได้นะ” ทนายอันจุดบุหรี่และพูดต่อ “ตะโกนเรียกให้มารวมตัวดีไหม แล้วค่อยถามว่าเจอหลินเข่อบ้างหรือเปล่า”
โจวเจ๋อไม่ตอบโต้การแซะของทนายอัน แต่กลับใช้เล็บของตัวเองคว้านแผลตรงคอศพแทน ในบาดแผลนี้มีขนขาวงอกยาวออกมาคล้ายกับมีเชื้อราอัดแน่นอยู่จริงๆ
“นี่คือ…” ทนายอันรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
“เดี๋ยวก่อนออกไปช่วยเผาศพทั้งสามศพนี้หน่อยนะ ทิ้งเอาไว้ที่นี่ไม่ได้ ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา หากรอจนขนขาวข้างในงอกยาวจนพ้นผิวหนังขึ้นมา ศพจะกลายสภาพ”
“ศพจะกลายสภาพเหรอ”
เวลานี้จางเยี่ยนเฟิงอยากจะหยิบเอาปากกาอัดเสียงหรือสมุดโน้ตมาจดบันทึกเหลือเกิน สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นประเด็นความรู้ที่ไม่เคยพบเจอในโรงเรียนตำรวจและการจัดการคดีในช่วงหลายปีที่ผ่านมามาก่อนเลย จนตอนนี้เขาละอยากจะเอาท่าทีฮึกเหิมตอนที่เขาเพิ่งได้เป็นตำรวจอาชญากรรมใหม่ๆ มาตั้งใจเรียนรู้วิธีการเป็นยมทูตที่ดี
“โดนผีดิบกัดแล้วมีความเป็นไปได้ที่จะกลายเป็นผีดิบน่ะผมก็พอรู้อยู่บ้าง แต่มีขนขาวงอกยาวออกมา…” ทนายอันเกาหัวแกรกๆ
“จะกลายเป็นผีดิบขนขาวทันที อธิบายได้ว่าผีดิบที่ฆ่าพวกเขาอยู่ในระดับสูงมาก ไม่ใช่ผีดิบทั่วไปแน่ๆ แม้กระทั่ง…” โจวเจ๋อหันหน้าไปเหลือบมองอิงอิงที่ยังคงมองไปรอบๆ เพื่อเรียนรู้ประสบการณ์การตกแต่งอยู่ข้างหลัง “อายุเก่าแก่กว่าอิงอิงเยอะมากเลย”
“น่ากลัวขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย” ทนายอันยิ้มเจื่อน
“ใช่ ถ้างั้นตอนนี้คุณยังอยากจะให้ผมตะโกนเรียกญาติผู้นั้นของผมออกมาอยู่หรือเปล่า แต่ผมบอกคุณไว้ก่อนเลยนะ เจ้านั่นในร่างผมที่เพิ่งจะออกมาฟาดงวงฟาดงา ในช่วงนี้เขากำลังหลับพักผ่อนเป็นตาย เรียกเขายังไงก็ไม่ตื่นขึ้นมาหรอก จนถึงตอนนั้นญาติผู้นั้นอาจจะมองว่าผมกับอิงอิงเป็นเผ่าพันธุ์เดียวกับเขาและปล่อยพวกเราไป แต่สำหรับพวกคุณทั้งสอง…หึๆ”
“การเยี่ยมญาติเป็นเรื่องยุ่งยากที่สุดไม่ใช่เหรอครับ ชาติก่อนตอนผมยังมีชีวิตอยู่น่ะเกลียดการเยี่ยมญาติสุดๆ ไปเลย” ทนายอันลุกขึ้นและยื่นบุหรี่ให้โจวเจ๋อ
โจวเจ๋อปัดมือและพูด “ชั้นแรกนี้ดูพอสมควรแล้ว ขึ้นไปดูข้างบนกันเถอะ”
ทั้งสี่คนเดินขึ้นบันไดจากตรงนั้นตรงไปยังชั้นสอง และเป็นไปตามที่คาดเอาไว้ ที่ชั้นสองก็มีศพอีกสองศพ ศพแรกเป็นศพหญิงสาวสวมสูท และอีกศพเป็นผู้ชายที่ดูมีอายุมากหน่อย
เสียดายนักพรตเฒ่าไม่อยู่ที่นี่ด้วย เขาออกเดินทางพาหญิงสาวผิวเข้มกลับร้านหนังสือไปแล้ว หากเขาอยู่ที่นี่ด้วยละก็ มองแวบเดียวคงจำได้ทันทีว่านี่คือเพื่อนค้ามนุษย์ที่เคยคุยโม้และกินเหล้ากับเขาแน่ๆ
ส่วนศพผู้หญิงอายุประมาณสี่สิบปี สภาพการเสียชีวิตน่าอนาถมาก พูดให้ชัดเจนคือสภาพการเสียชีวิตของทั้งสองศพนี้น่าอนาถมาก
“ร่างของศพผู้หญิงมีรอยแผลถูกกระจกแทงเป็นวงกว้าง น่าจะมาจากโคมไฟระย้าที่เดิมทีห้อยอยู่เหนือศีรษะ แถมศพทั้งสองยังมีร่องรอยถูกมัด แต่ตรงคอของศพผู้ชาย…”
จางเยี่ยนเฟิงทำท่าไขว้กัน และส่งเสียง ‘กึก’ ออกจากปาก
“อู้ว รู้สึกคุ้นเคยอยู่หน่อยๆ นะ”
โจวเจ๋อยิ้มขำ ใช่แล้ว ทนายอันก็ขำด้วย เหล่าจางอยากหัวเราะแต่ฝืนไว้
เผชิญหน้ากับที่เกิดเหตุคดีฆาตกรรมจะหัวเราะมันไม่ถูกต้อง เป็นการไม่ให้เกียรติศพผู้เสียชีวิต แต่เห็นศพมาเยอะแล้ว จะให้เคารพหมดยังไงไหว
เจอร่องรอยของสาวน้อยโลลิบนร่างของศพสองศพนี้แล้ว หากไม่มีอะไรผิดพลาดละก็ น่าจะถูกลิ้นของสาวน้อยโลลิฆ่าตาย
เขาและคนอื่นๆ เข้ามาในหุบเขาอีกครั้งก็เพื่อตามหาสาวน้อยโลลิไม่ใช่หรือ ไม่อย่างนั้นทุกคนคงจะกลับทงเฉิงไปปลูกผักกับหญิงสาวผิวเข้มตั้งนานแล้ว จะว่างมาเที่ยวเล่นในหุบเขาแห่งนี้ที่ไหนกันล่ะ
อย่างน้อยๆ ตอนนี้ก็พิสูจน์ได้ว่า ทิศทางการค้นหาของทุกคนนั้นถูกต้อง สาวน้อยโลลิเคยอยู่ที่นี่และยังพลั้งมือฆ่าคนอีก
“เธอไม่ได้ฆ่าศพชั้นหนึ่ง แต่เธอฆ่าศพชั้นสอง นี่มันหมายความว่ายังไง” ทนายอันเอ่ยพูด “บางทีผีดิบตัวนั้นอาจจะถูกสาวน้อยโลลิพบเข้างั้นเหรอ”
“ยังมีอีกชั้น ขึ้นไปดูก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
โจวเจ๋อจับราวบันไดเดินขึ้นไป ที่จริงพื้นที่ด้านบนเรียบง่ายกว่ามาก ห้องนั่งเล่นขนาดใหญ่ ประกอบกับห้องน้ำและห้องนอน ประตูที่หันหน้าไปทางบันไดคือประตูห้องหนังสือ
เรียบง่ายและน่ายำเกรง
ที่นี่กลับไม่เจอศพเลย ค่อนข้างสะอาดมากทีเดียว เพียงแต่ว่าประตูห้องหนังสือที่ปิดสนิทนี้ กลับให้ความรู้สึกกดดันอย่างมาก ราวกับว่าที่นี่กำลังปกปิดซ่อนเร้นและบอกคุณว่าหลังประตูบานนี้ต้องมีอะไรบางอย่างแน่ๆ
จางเยี่ยนเฟิงลองเปิดประตูเข้าไป แต่พบว่ามันล็อกอยู่
โจวเจ๋อส่งสัญญาณให้เหล่าจางหลีกไป และเดินเข้าไปด้วยตัวเองพลางใช้เล็บสะเดาะลูกบิด จากนั้นประตูห้องหนังสือก็เปิดออกเองอย่างช้าๆ
การตกแต่งในห้องหนังสือเรียบง่ายมากเช่นกัน บนพื้นเป็นพรมสีแดง มีโต๊ะหนึ่งตัวและเก้าอี้โยกหนึ่งตัว ทั้งสี่ด้านล้อมรอบไปด้วยชั้นวางหนังสือแบบโค้งติดผนัง ชั้นวางหนังสือมีหนังสือกองพะเนินเต็มไปหมด
ที่น่าแปลกใจก็คือ เหมือนจะมีคนนั่งอยู่บนเก้าอี้โยก หากมองจากตรงหน้าประตู ดูเหมือนสามารถมองเห็นชายชราผมหงอกคนหนึ่งนั่งบนเก้าอี้โยกและหันหลังให้
ความรู้สึกแบบนี้คล้ายกับชายชราคนนี้กำลังนั่งรอให้ใครสักคนเข้ามาอยู่ตรงนั้น อีกอย่างเพราะหน้าต่างห้องหนังสือเปิดทุกบานจึงมีลมพัดโกรกเข้ามาอยู่เนืองๆ เก้าอี้โยกสั่นไหวเบาๆ อยู่ตลอด รู้สึกคล้ายกับผู้รู้เหตุการณ์ล่วงหน้าในภาพยนตร์ตะวันตก
แต่โจวเจ๋อไม่รู้สึกถึงลมหายใจของอีกฝ่ายเลย นี่อธิบายได้สองอย่าง หนึ่งคือชายชราแข็งแกร่งเหลือคณานับ สองคือเป็นคนตาย
โจวเจ๋อจำได้ว่าตอนที่อยู่หน้าร้านสะดวกซื้อในตอนแรก จางเยี่ยนเฟิงทำให้ชายชราสวมแว่นกันแดดตกใจอย่างไร ด้วยเหตุนี้ ในเวลานี้โจวเจ๋อจึงไม่ลังเลเลยสักนิด เมื่อสามคนข้างๆ ยังคงละล้าละลังอยู่ก็โพล่งออกไปตรงๆ “หนังสือพิมพ์!”
มวลหมอกดำพุ่งออกจากเล็บห้านิ้วของโจวเจ๋อพุ่งตรงไปหาเก้าอี้โยกจนเกิดเสียงดัง ‘แกรก’ คมชัด เก้าอี้โยกแหลกละเอียด ชายชราบนนั้นก็ร่วงลงมานอนแอ้งแม้งอยู่บนพื้นโดยไม่กระดุกกระดิกตัว
“เฮือก…”
คนตายนี่เอง
“เฮือก…”
ทนายอันและคนอื่นๆ ที่อยู่ข้างๆ ต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอกพร้อมกัน เห็นได้ชัดว่าตอนที่เพิ่งเปิดประตูทุกคนต่างตกใจกับภาพที่เห็นไปตามๆ กัน
“ลองค้นหาดูหน่อยแถวๆ นี้หน่อย เผื่อมีเบาะแสอื่นๆ อีกหระ…”
“เถ้าแก่ มีคนอยู่ตรงหน้าต่าง!” ไป๋อิงอิงตะโกนพลางชี้ไปที่หน้าต่างทางทิศตะวันตกของห้องหนังสือ
โจวเจ๋อมองตามไปพบว่ามีเงาคนหายวับไปทางหน้าต่างตรงนั้นจริงๆ!
คราวนี้ทนายอันตอบสนองเร็วสุด พุ่งตรงไปข้างหน้าต่างทันทีและแหวกผ้าม่านออก พอโจวเจ๋อและจางเยี่ยนเฟิงเข้ามากลับไม่เจออะไรแล้ว
“ผมเห็นแล้ว” ทนายอันพูด “เมื่อกี้สิ่งนั้นยังอยู่ข้างหน้าต่างตรงนี้ พอผมวิ่งมาถึงที่นี่ปุ๊บ เขาก็วิ่งออกไปทางหน้าประตูใหญ่ตรงนู้นปั๊บ และวิ่งออกไปข้างนอกเลย ฟ้ามืดเกินไป ไกลกว่านั้นผมมองไม่ชัดแล้วละ”
โจวเจ๋อพยักหน้า เมื่อกี้การเคลื่อนไหวของทนายอันเร็วมาก จากประตูถึงหน้าต่างใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาที แต่คนนั้นกลับสามารถกระโดดลงจากชั้นสามตรงๆ ได้ แถมยังวิ่งออกไปนอกประตูอีกต่างหาก ความเร็วระดับนี้ ทักษะนี้เกินขอบเขตของคนธรรมดาอย่างแน่นอน
“มีบางอย่างที่ผมไม่ค่อยแน่ใจนิดหน่อย ตอนที่ไอ้หมอนั่นวิ่งมันคล่องแคล่วมาก” ทนายอันขมวดคิ้วและพูดต่อ “คล่องแคล่วจนเหมือนลอยเสียอย่างนั้น”
“ลอยเหรอ” จางเยี่ยนเฟิงอยากจะหยิบสมุดโน้ตออกมาจดบันทึกอีกแล้ว
“ถ้าหากลอยละก็ คงลอยจากชั้นสามเฉียงลงมาถึงหน้าประตูตรงนั้น น่าจะเร็วเอามากๆ เลย หรือว่าจะเป็นเงาผีสวมเสื้อผ้า แต่ดึกดื่นผีนี่จะมาวุ่นวะ…”
โจวเจ๋อยังพูดไม่ทันจบ จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงอึกทึกดังมาจากข้างหลัง
ชายทั้งสามคนที่พิงข้างๆ หน้าต่างหันกลับมาพร้อมกันทันที ชายชราผมหงอกที่ก่อนหน้านี้นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น ในตอนนี้ดันลุกขึ้นมาเสียได้ แถมยังแยกเขี้ยวยิงฟันอีกต่างหาก!
นี่มันแม่งเป็นศพต้มตุ๋นเรอะ!
อย่างไรก็ตาม จู่ๆ ศพชายชราก็ขยับเคลื่อนไหว รวมถึงภาพความรู้สึกตอนที่เปิดห้องหนังสือก่อนหน้านี้ ทำให้หัวใจของโจวเจ๋อเต้น ‘ตึกตัก’ เบาๆ ครู่หนึ่ง
ในฐานะยมทูต ดันเจอเข้ากับความรู้สึกตื่นเต้นของการดูหนังผีสมัยที่เขายังเป็นคนธรรมดา เดิมทีโจวเจ๋ออยากลงมือ แต่เขาตามไม่ทัน เพราะไป๋อิงอิงอยู่ใกล้กับชายชราที่จู่ๆ ก็ลุกขึ้นมาที่สุด
“แงๆๆ ข้าตกใจหมดเลย!”
หากหญิงสาวทั่วไปเผชิญหน้ากับสถานการณ์แบบนี้ก็แทบจะตกใจจนเป็นลมล้มพับไป ดีขึ้นมาหน่อยก็ตกใจจนตัวสั่นเทิ้ม แต่อิงอิงร้อง ‘แงๆๆ’ พร้อมกับปล่อยหมัดออกไปโดยไม่รู้ตัว!
‘พลั่ก!’
โจวเจ๋อเชื่อว่าเมื่อกี้อิงอิงน่าจะตกใจเข้าจริงๆ เพราะเขาก็ตกใจเหมือนกันน่ะสิ แต่หมัดของอิงอิงเสยเข้าศีรษะชายชราตรงๆ จนระเบิดออก ใช่แล้ว ระเบิดออกไปแล้ว แต่ชายชราหัวขาดยังโยกเยกอยู่ คล้ายกับการเต้นดิสโก้ยุคเก่า
“มันคือตัวอะไรกันแน่เนี่ย!” ทนายอันก้าวไปข้างหน้าและเตะไปที่ชายชราหัวขาด
‘พลั่ก!’ ชายชราถูกเตะล้ม หลังร่วงลงพื้นหน้าท้องของเขาก็ยุบลงไป สิ่งที่ขนยาวปุกปุยผุดออกมา
“มานี่เดี๋ยวนี้!”
ชั่วพริบตามือซ้ายของทนายอันพลันเปลี่ยนเป็นมือกระดูกคว้าหมับไปข้างหน้า เขาจับสิ่งที่มีขนาดใหญ่ไว้ในมือ คล้ายแมวแต่ก็ใหญ่กว่าแมวมากนัก แถมมีหางอีกต่างหาก จะว่าเหมือนสุนัขจิ้งจอกแต่ก็ไม่ใช่อยู่ดี สรุปว่ามันเป็นตัวอะไรที่หน้าตาแปลกประหลาดมาก
ในดวงตาของเจ้าสิ่งนี้มีแสงสีเทากำลังกะพริบอยู่ มันคลั่งขึ้นมาแม้ว่าจะถูกจับอยู่ก็ตาม และยังกระเสือกกระสนดิ้นรนไม่หยุด
เมื่อมองชายชรานั่นอีกครั้ง คิดไม่ถึงว่าภายในร่างกายของชายชรานั้นจะกลวงจริงๆ เพราะก่อนหน้านี้มีเสื้อห่อไว้จึงดูไม่ออก ตอนนี้สามารถมองเห็นชัดเจนแล้วว่าร่างกายของชายชราถูกกินจนกลวงโบ๋ไปหมดแล้ว ฉะนั้นเมื่อเจ้าสิ่งนี้เคลื่อนไหวไปมาในร่างกายของชายชราจึงทำให้ร่างของชายชราขยับเต้นตามไปด้วย
“เถ้าแก่ คุณรู้จักไหมว่านี่คืออะไร” ทนายอันถามโจวเจ๋อ
“ผมจะรู้ได้ไง สุนัขจิ้งจอกก็ไม่ใช่ แมวก็ไม่เชิง” โจวเจ๋อส่ายหน้า
“ผมรู้จัก” ทันใดนั้นจางเยี่ยนเฟิงก็เอ่ยขึ้น “ผมโตที่บ้านนอกน่ะ ตอนเด็กๆ มีสิ่งนี้อยู่ริมแม่น้ำในทุ่งนา เรียกว่า ‘แบดเจอร์!’”
“แบดเจอร์เหรอ” โจวเจ๋อพูดทวนชื่อนี้อีกครั้งแล้วมองจางเยี่ยนเฟิง
“เหล่าจาง งั้นตอนคุณเป็นเด็กมีเพื่อนเล่นที่บ้านนอกด้วยหรือเปล่า…”
“เพื่อนเล่นเหรอ”
“ถูกต้อง เขาชื่อรุ่นถู่[1]”
………………………………………………………….
[1] รุ่นถู่ เป็นชื่อตัวละครจากนวนิยาย ‘บ้านเกิด’ ของหลู่ซวิ่นที่สร้างภาพลักษณ์ของหนุ่มน้อยรุ่นถู่เป็นคนฉลาด กล้าหาญ และรอบรู้ในสายตาของหลู่ซวิ่น