ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล - ตอนที่ 493 เอฟเฟกต์ยอดเยี่ยม!
ตอนที่ 493 เอฟเฟกต์ยอดเยี่ยม!
หุบเขาลึก
บ้านพักตากอากาศ
ศพ
เงาผี
องค์ประกอบพื้นฐานของหนังสยองขวัญมีครบหมดแล้ว เอฟเฟกต์ยอดเยี่ยมเสียจนทำเอา ‘ผี’ ทุกตนรวมถึงโจวเจ๋อและผีดิบอีกตัวต่างพากันสะดุ้งโหยงเลยทีเดียว
โจวเจ๋อไม่รีบร้อนออกไปตามหาเงาที่ ‘ลอย’ ออกไปตามคำบอกเล่าของทนายอัน อีกทั้งทุกคนพากันรวบรวมศพทั้งหมดในบ้านพักตากอากาศมากองรวมกัน และค้นน้ำมันเบนซินจากในโรงรถของบ้านพักมาเทราดและจุดไฟ
ตอนค้นหาน้ำมันเบนซินยังพบว่ามีตัวจุดชนวนระเบิดเหลืออีกครึ่งกล่องปิดแน่นสนิทซ่อนเอาไว้ในโรงรถ ไม่รู้เหมือนกันว่าเอาไว้ใช้ทำอะไร แต่โจวเจ๋อไม่ได้เบื่อถึงขั้นที่จะเอาตัวจุดชนวนมาระเบิดศพทิ้ง แม้ว่าสิ่งนี้ให้ผลยับยั้งการกลายร่างศพของพวกเขาได้
อันที่จริง หลายๆ ครั้งที่โจวเจ๋อขี้เกียจจัดการกับศพ แค่ฝากงานควันหลงให้ตำรวจหรือโทรหาเหล่าจางไปตรงๆ ก็ได้แล้ว แต่ศพคราวนี้ต่างกัน หากปล่อยให้พวกเขานอนอยู่ตรงนี้ต่อละก็ เมื่อฤดูร้อนผ่านพ้นไป ในหุบเขามีอุณหภูมิเย็นกว่าภายนอก และภายใต้ข้อสมมติฐานว่าศพไม่น่าจะย่อยสลายได้เองหมดในระยะเวลาอันสั้น ซากศพเหล่านี้อาจจะกลายร่างเป็นผีดิบขนขาวได้สำเร็จ
แม้ว่าที่นี่จะไม่ใช่พื้นที่ภายใต้การควบคุมของเขา แต่เรื่องที่ควรทำก็ต้องทำ เพราะหากผีดิบเหล่านี้กระจายตัวกันออกไป มันอาจจะส่งผลร้ายตามมาก็ได้
เมื่อมองเปลวไฟที่ลุกโชน จู่ๆ โจวเจ๋อก็นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นในหัว ใกล้จะถึง ‘เทศกาลเสื้อกันหนาว’ แล้วนี่นา คำพูดที่แม่นางไป๋เคยบอกเขาไว้ก่อนจะจากไปเริ่มก้องขึ้นในหัวของโจวเจ๋อ โจวเจ๋อหันไปมองไป๋อิงอิงที่ยืนอยู่ข้างๆ เขาโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว
เหอะๆ โจวเจ๋อส่ายหัว สะบัดความคิดเหล่านั้นออกไป
อิงอิงจะต้องอยู่เคียงข้างเขาอย่างแน่นอน ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เธอจะต้องอยู่ข้างๆ เขา
หลังจัดการศพเรียบร้อยแล้ว ทุกคนก็ไม่ได้หารือกันว่าจะเอาอย่างไรกันต่อดี เพราะทนายอันคิดหาวิธีได้แล้ว
บ้านพักตากอากาศแห่งนี้เลี้ยงหมาป่าลูกผสมตัวใหญ่ไว้สองตัว แต่หมาป่าลูกผสมสองตัวนี้ก็ตายจนแข็งกระด้างเหมือนกับคนที่อยู่ในบ้านพักตากอากาศหลังนี้ แต่หมาป่าลูกผสมไม่ได้ถูกกัดตาย เดาว่าเจ้าผีดิบที่กัดคนตายยังไม่เคยลิ้มลองอาหารเลิศรสของร้านเนื้อสุนัขหวังหมาจื่อที่สวีโจว ถึงได้ไม่สนใจเนื้อสุนัข
ปุ่มที่ 4 ใน 4 ตอนถัดไป
ปุ่มที่ 3 ใน 4 ตอนก่อนหน้า
ปุ่มที่ 2 ใน 4 ความคิดเห็น
ปุ่มที่ 1 ใน 4 สารบัญ
0
บ้านพักตากอากาศแห่งนี้เลี้ยงหมาป่าลูกผสมตัวใหญ่ไว้สองตัว แต่หมาป่าลูกผสมสองตัวนี้ก็ตายจนแข็งกระด้างเหมือนกับคนที่อยู่ในบ้านพักตากอากาศหลังนี้ แต่หมาป่าลูกผสมไม่ได้ถูกกัดตาย เดาว่าเจ้าผีดิบที่กัดคนตายยังไม่เคยลิ้มลองอาหารเลิศรสของร้านเนื้อสุนัขหวังหมาจื่อที่สวีโจว ถึงได้ไม่สนใจเนื้อสุนัข
สุนัขสองตัวถูกเตะจนตาย นี่คือข้อสรุปจากจางเยี่ยนเฟิง
ใช่ จางเยี่ยนเฟิงเป็นโรคบ้างานขึ้นมา ไม่เว้นแม้แต่สืบหาสาเหตุการเสียชีวิตของสุนัขด้วยซ้ำ!
การเตะกลางตัวสุนัขทั้งสองอย่างแรง จนบนตัวของพวกมันทิ้งร่องรอยคล้ายรอยเท้าเอาไว้ นี่จะต้องมีแรงมากมายขนาดไหนถึงได้เตะจนหมาป่าลูกผสมตายได้ แถมยังทำให้กระดูก เครื่องใน และอวัยวะอื่นๆ เสียหายแทบจะทันที เตะทีเดียวถึงตาย!
เพียงแต่ว่า หลังจากพบประเด็นนี้ จู่ๆ จางเยี่ยนเฟิงก็ตกอยู่ในห้วงความคิด เขานึกถึงตอนที่ตัวเองหยิบกระเป๋าเดินทางออกจากรถเมื่อคืนนี้ ตอนนั้นชายชราที่อยู่ข้างในดูเหมือนคิดจะแอบหนีออกมาจึงถูกเจ้าลิงสกัดไว้ แล้วเขายังเตะกระเป๋าเดินทางไปสองสามที ต่อมากระเป๋าเดินทางใบนั้นก็ไม่ขยับอีก เขายังนึกว่าชายชราเป็นคนว่านอนสอนง่ายอยู่เลย
ซี้ด…
นี่มัน!
จางเยี่ยนเฟิงกวาดตามองทนายอันที่เพิ่งรับเอาเชือกจูงสุนัขจากมือของเขาไปเมื่อสักครู่อย่างกระอักกระอ่วน ชายชราในกระเป๋าเดินทางคนนั้นคงไม่ได้ถูกเขาเตะจนตายหรอกใช่ไหม
ชายชราคนนั้นถูกเก็บใส่ในกระเป๋าเดินทาง ไม่มีใครรู้ว่าเขาอยู่ในลักษณะแบบไหน ตอนที่ตัวเองเตะอัดเป็นไปได้มากว่าจะเป็นส่วนสำคัญอย่างเช่นส่วนหัวของเขา จากนั้น…
สาเหตุการเสียชีวิตจริงๆ นอกจากการชันสูตรพลิกศพ คงไม่มีทางอื่นที่จะตรวจสอบให้ชัดเจนได้แล้ว กระทั่งอาจจะเป็นเพราะบาดแผลบนร่างของชายชรามีมากจนซับซ้อนเกินไป จนแม้แต่การชันสูตรพลิกศพก็ไม่อาจสรุปการเสียชีวิตได้อย่างแม่นยำ
แต่หลังจากคิดมาถึงตรงนี้ ในใจจางเยี่ยนเฟิงยิ่งรู้สึกว่ามีความเป็นไปได้ แถมความเป็นไปได้ดูเหมือนว่าจะมีมากขึ้นเรื่อยๆ และเมื่อมองทนายอันที่ผูกเชือกจูงให้ ‘แบดเจอร์’ อย่างยิ้มแย้มอยู่ข้างๆ จู่ๆ จางเยี่ยนเฟิงก็รู้สึกละอายแก่ใจ ดูเหมือนว่าทนายอันแบกรับความผิดแทนเขา ตอนกลางวันเขายังหยิบเอาเรื่องนี้มาแย้งจนทำให้อีกฝ่ายเข้าตาจน
ช่างเถอะ ไม่จำเป็นต้องเดามั่วซั่วอะไรอีกแล้ว แค่ไม่ต้องพูดอะไรอีก คนตายไปแล้วก็ให้ไปสู่สุคติเถอะ
“ผูกเสร็จแล้ว”
ทนายอันดึงเชือกจูงขึ้นมาและปล่อยให้แบดเจอร์อยู่ตรงหน้า
“ในดวงตาของเจ้าสิ่งนี้มีแสงสว่าง คล้ายกับติดเชื้อจากกลิ่นอายบางชนิด และไม่ใช่สัตว์ธรรมดาๆ ในหุบเขาลำเนาไพรอีกแล้ว”
“งั้นคุณก็พาหมาไปเดินเล่น ไม่สิ พาแบดเจอร์ไปเดินเล่น จุดประสงค์ในการพาแบดเจอร์ไปเดินเล่นคืออยากให้มันพาพวกเราไปหารังเก่าเหรอ” โจวเจ๋อถาม
“ถูกต้อง ลองดูเถอะ อาจจะสำเร็จก็ได้ อีกอย่างนอกจากเจ้านี่แล้ว ตอนนี้พวกเราก็ไม่มีเบาะแสอื่น เงาผีนั่นก็หายวับไปตั้งนานแล้ว”
“อืม ลองดูกันเถอะ” ก็ตามนี้
ในหุบเขากลางดึกสงัด ชายสามหญิงหนึ่งเดินตามแบดเจอร์เงียบๆ หากขับรถก็ต้องใช้ทางถนนแน่นอน แต่ขับแบดเจอร์น่ะ มันไม่จำเป็นต้องใช้ถนนเสมอไป
สรุปแล้ว จนเวลาล่วงเลยมาถึงเกือบตีสาม ทุกคนก็ยังวนไปมาในป่าอยู่เลย
โจวเจ๋อเดินจนเมื่อยเท้าเล็กน้อย เริ่มหมดความอดทนแล้ว
ทนายอันก็รู้สึกลำบากใจนิดหน่อย ถึงอย่างไรเขาก็เป็นคนเสนอวิธีนี้ออกมา ตอนนี้อย่าว่าแต่ไม่ได้ผลเลย ยังพาเพื่อนร่วมทางเดินเอื่อยๆ ในป่าในเขานานขนาดนี้อีก
“แบดเจอร์นี่ดูเหมือนจะฉลาดสู้สุนัขไม่ได้จริงๆ สินะ”
ทันทีที่พูดจบ จู่ๆ แบดเจอร์ที่ถูกผูกเชือกจูงอยู่นั้นก็มุดเข้าไปในซอกหลืบตรงหน้า ทนายอันจับเชือกทั้งสองมือและออกแรงดึงออกมาข้างนอก เป็นผลให้ปลายเชือกเส้นนั้นคลายออก เชือกถูกดึงออกมา แต่ปรากฏว่าแบดเจอร์ได้หายไปเสียแล้ว
“ฉลาดเป็นกรดจริงๆ ยังรู้อีกว่าทำยังไงถึงจะหลุดออกไปได้” ทนายอันจับปลายเชือกอีกข้างหนึ่งแล้วพูด “ขอโทษด้วยนะทุกคน ทำให้พวกคุณเสียแรงทำงานทั้งคืนโดยเปล่าประโยชน์”
“ไม่นะ เถ้าแก่ ทนาย พวกคุณรีบดูนั่น” จางเยี่ยนเฟิงหมอบคลานอยู่ตรงจุดที่แบดเจอร์ตัวนั้นมุดหายไป และส่งสัญญาณให้ทุกคนเข้ามา พอทุกคนเข้ามาใกล้ๆ แล้ว ก็พบว่าเหล่าจางกำลังใช้มือขุดดินอยู่
แม้ว่าที่นี่จะอยู่ติดกับทางเหนือ และไปทางเหนืออีกหน่อยก็จะออกชายแดนแล้ว แต่ยังไม่ถึงขั้นที่ชั้นดินจะเยือกแข็ง อีกทั้งฝนก็เพิ่งตกลงมาในหุบเขาเมื่อไม่นานมานี้ ทำให้ดินไม่แข็งตัว
“ข้างล่างนี้มีอิฐ มันเป็นก้อนอิฐ” ทนายอันชี้ข้างล่างและพูด
“ใช่เลย ดูเหมือนจะเป็นก้อนอิฐจริงๆ ด้วย” โจวเจ๋อหยิบไฟฉายมือถือมาส่องอยู่ครู่หนึ่ง ขณะเดียวกันก็ยื่นมือไปตบไหล่ทนายอัน “เหล่าอัน วิธีนี้ของคุณไม่เลวเลยนะเนี่ย บางทีแบดเจอร์ตัวนั้นพาเรามาถูกที่แล้วจริงๆ มาเลย มาเริ่มขุดกันเถอะ ดูซิว่ามีหลุมหรือโพรงอะไรพรรค์นี้หรือเปล่า”
ทุกคนกุลีกุจอทำงานกันทันที แม้ว่าไม่มีเครื่องมือ แต่โชคดีที่นอกจากเหล่าจางแล้ว คนอื่นๆ มีทักษะ ‘ลงมือปฏิบัติ’ ที่ค่อนข้างแข็งแกร่งกันทั้งนั้น การขุดก็รวดเร็วทันใจอีกด้วย
“เถ้าแก่ เจอแล้วเจ้าค่ะ!” อิงอิงตะโกนบอก
ตามคาด อิงอิงขุดเจอทางเข้าอุโมงค์อยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ เมื่อส่องไฟฉายมือถือลงไปดู ยังมองเห็นขั้นบันไดข้างล่างอีกด้วย
“ทำไมถึงรู้สึกเหมือนกับปล้นสุสานอย่างไรอย่างนั้นเลย” หายากที่ตำรวจอาชญากรรมอาวุโสจอมเข้มงวดอยากจะเล่นมุกให้บรรยายกาศมีชีวิตชีวา
ทนายอันเหลือบมองเหล่าจางและพูด “ในทีมเรามีผีดิบตั้งสองตัว นี่เรียกว่าปล้นสุสานที่ไหนกัน เรียกว่ากลับบ้านต่างหาก มันเหมือนได้กลับบ้านจริงๆ เลย”
“เหล่าอัน” โจวเจ๋อตะโกนเรียก
“ครับ เถ้าแก่”
“คุณลงไปก่อนสิ”
“…” ทนายอัน
แม้จะรู้สึกว่านี่ต้องเป็นการโต้กลับแน่ แต่ทนายอันกลับไม่มีทางเลือก จึงกัดฟันแข็งใจเดินลงไปก่อนโดยดี โจวเจ๋อลงไปเป็นคนที่สอง ต่อไปเป็นเหล่าจาง และอิงอิงเป็นคนสุดท้าย การจัดเรียงแบบนี้ก็เพื่อปกป้องดูแลตำรวจอาชญากรรมอาวุโสที่เนื้อหนังบอบบางที่สุดในบรรดาคนทั้งสี่ แน่นอนว่าเป็นเพราะถ้าปล่อยให้เหล่าจางขนาบหลังทุกคนก็ไม่สบายใจอยู่ดีด้วย
ระหว่างทางที่ลงไปค่อนข้างราบรื่นมากทีเดียว นอกจากกลิ่นราอับชื้นที่ทำให้คนทนไม่ได้แล้ว ก็ไม่เจออะไรเลย หลังจากเดินลงไปประมาณเจ็ดสิบถึงแปดสิบเมตรเห็นจะได้ ก็เจอทางเดินอุโมงค์ปรากฏขึ้นข้างหน้า
“ดูเหมือนสุสานจริงๆ ไม่ได้ถูกฝังใต้วิหารหรืออะไรทำนองนั้น” ทนายอันวิเคราะห์
ที่จริงมีซากปรักหักพังของวัดวาอารามเก่าแก่อยู่หลายแห่ง บางแห่งยังถูกฝังไว้ใต้ดิน แต่ของอย่างเช่นวัดวาอารามเทือกนี้ จะต้องมีไว้สำหรับให้คนไปสักการะบูชาสมัยที่ยังรุ่งโรจน์อยู่แน่ๆ ฉะนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะสร้างอุโมงค์ลักษณะนี้ขึ้นมา มีเพียงสุสานที่สร้างขึ้นใต้ดินเป็นพิเศษเท่านั้นถึงจะสร้างโครงสร้างประเภทนี้
“เถ้าแก่ คุณว่าหลินเข่อจะอยู่ในนี้หรือเปล่า” ทนายอันถาม
“ผมไม่รู้ ลองเดินไปดูเถอะ ถ้ามันไม่ได้จริงๆ ยังสามารถเอาเครื่องภาชนะที่ฝังกับคนตายติดไม้ติดมือกลับไปได้”
เหล่าจางที่ตามมาข้างหลังได้ยินสิ่งนี้เข้า ลังเลที่จะพูดออกไป เขาอยากบอกเหลือเกินว่าของใต้ดินล้วนเป็นของชาติทั้งหมด สิ่งที่ขุดออกมาจะต้องส่งมอบให้กับชาติถึงจะถูก แต่พอลองนึกถึงสถานะปัจจุบันของเขาแล้วเงียบไว้จะดีกว่า
“ให้ตายสิ เถ้าแก่ คุณนี่ไม่ปล่อยให้พลาดไปเลยนะ” ทนายอันน้ำท่วมปากเช่นกัน
มาถึงขั้นนี้แล้ว เถ้าแก่ของเขายังไม่วายนึกถึงโจรจะไม่กลับออกไปมือเปล่าอยู่อีก
“เมื่อก่อนขายข้าวของในหลุมศพอิงอิงไปไม่น้อย เลือกของดีๆ มาสักสองสามอย่างมอบให้เธอไป” โจวเจ๋อพูด
“โถ่เอ๊ย ให้ตายเถอะ ขอร้องละ ในสุสานกลางดึกคุณก็ยังทำให้คนโสดอิจฉาอีกเนี่ยนะ” ทนายอันส่ายหน้าและเดินไปข้างหน้าต่อ
อาจเป็นไปได้ว่าโจรปล้นหลุมศพทั่วไปมีสิ่งต้องห้ามหลายสิ่งหลายอย่างในสุสานประเภทนี้ กระทั่งอาจต้องตั้งแท่นสักการะบูชาเคารพเจ้าของหลุมศพก่อนก็เป็นไปได้ แต่ทั้งสี่คนไม่จำเป็นต้องทำตามกฎอะไรพวกนี้หรอก และในทีมนี้ถ้าไม่ใช่ยมทูตก็เป็นผีดิบ ตามหลักการแล้วเจ้าของหลุมศพจะต้องถวายเครื่องสักการะให้พวกเขาถึงจะสมน้ำสมเนื้อ
เมื่อเดินไปตามทางได้สักระยะหนึ่ง ด้านหน้าก็มีทางเลี้ยว แต่ทนายอันหยุดอยู่ในมุมทางเลี้ยวก่อน ขณะเดียวกันก็ยกมือขึ้นส่งสัญญาณให้พรรคพวกที่อยู่ข้างหลังเขาหยุดเช่นเดียวกันด้วย
“ข้างหน้ามีหมอกพิษ! ใช้มุมนี้เป็นเส้นแบ่งเขต สีก้อนอิฐบนพื้นต่างกัน เห็นได้ชัดว่าเป็นผลจากการแทรกซึมของหมอกพิษเป็นเวลานาน ถ้าเดินไปข้างหน้าละก็จะเกิดภาพหลอนเอาได้ง่ายๆ นี่ไม่ใช่หมอกควันบริสุทธิ์ มันก่อตัวจนเกือบจะเทียบเคียงกับสิ่งที่จับต้องได้จริงๆ มันคล้ายกับหมอกสีชมพูที่กระจายออกมาจากมือกระดูกของผม เถ้าแก่ หลุมศพนี้ไม่ธรรมดาเลย หลุมศพของคนธรรมดาหรือแม้แต่หลุมศพของฮ่องเต้ก็ไม่สามารถมีของระดับสูงประเภทนี้ได้เลยด้วยซ้ำ”
เมื่อพูดจบ ทนายอันมองไปที่โจวเจ๋อ ไปต่อสิ ต้องเดินไปต่อแน่นอนอยู่แล้ว แต่หนทางข้างหน้าอันตรายเกินไป แถมหมอกพิษยังทำให้เกิดภาพลวงตาอีกต่างหาก เท่ากับว่าเป็นภาพลวงตาที่มั่นคงและยาวนาน
“เถ้าแก่ ทางข้างล่างน่ะ ให้ผมเข้าไปกับคุณแค่สองคนเถอะ”
ทนายอันรู้ว่าในบรรดาสี่คน คนที่ทนต่อภาพลวงตาได้ดีที่สุดคือตัวเขาและเถ้าแก่ของเขาเอง สำหรับอิงอิงและจางเยี่ยนเฟิงเป็นไปได้ว่าอาจจะได้รับผลกระทบจากภาพลวงตาจนเสียสติไปเลยก็ได้
“อิงอิง คุณกับเหล่าจางกลับออกไปทางเดิม ถ้าให้ดีที่สุดคือขับรถไปที่ถนนบนเขาใกล้ๆ รอพวกเราออกไปแล้วมารับพวกเรา” โจวเจ๋อสั่งกำชับ
“แต่ว่า เถ้าแก่ ข้าอยากอยู่ปกป้องท่านด้วย…”
ขณะที่พูดอิงอิงทำหน้ามุ่ยแต่ก็ยังพยักหน้าอย่างเชื่อฟังอยู่ดี เธอไม่รู้วิธีปฏิเสธคำสั่งและคำขอร้องจากเถ้าแก่จริงๆ แม้ว่าจะเป็นพล็อตเรื่อง ‘คุณไป’ ‘ฉันไม่ไป’ ‘คุณไป’ ‘คุณไม่ไปฉันก็ไม่ไป’ แนวนี้ที่มักปรากฏในละครทีวี ล้วนไม่สามารถตีความออกมาได้อย่างสมบูรณ์
บางสิ่งบางอย่างมันฝังลึกอยู่ในกระดูกและสายเลือดจริงๆ
“เถ้าแก่ งั้นพวกคุณระวังตัวกันด้วย ผมจะอยู่รอพวกคุณอยู่ข้างบน จริงสิ ในบ้านพักตากอากาศยังมีตัวจุดชนวนระเบิด อีกเดี๋ยวผมจะกลับไปเอามันมา พวกเรานัดหมายเวลากันก่อน ตอนนี้อีกสิบห้านาทีจะตีสี่แล้ว งั้นเก้าโมงเช้าเป็นไง ถ้าพวกคุณยังออกมาไม่ได้ละก็ ผมจะลองใช้ตัวจุดชนวนระเบิดสุสานนี้ โอเคไหมครับ”
ใต้ดินไร้สัญญาณจึงติดต่อทางมือถือไม่ได้
ทนายอันครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้า “ได้สิ งั้นเก้าโมงเช้า เราค่อยมาเช็กเวลากัน”
หลังจากกำชับเสร็จแล้ว จางเยี่ยนเฟิงและอิงอิงก็กลับออกไปทางเดิม ทางข้างล่างนั่นไม่เหมาะจะให้พวกเขาตามลงไปด้วยจริงๆ นั่นแหละ
“เถ้าแก่ ต่อไปถึงตาพวกเราสองคนสำรวจกันต่อแล้ว” ทนายอันยิ้ม ก่อนจะสูดหายใจเข้าลึกๆ และเดินเข้าไปข้างใน ส่วนโจวเจ๋อเดินตามข้างหลัง
ทันทีที่เลี้ยวผ่านมุมนี้ เกิดความรู้สึกแตกต่างทันทีทันใด ราวกับว่าอากาศเบาบางลงมากแถมยังเกิดความรู้สึกถึงสภาวะไร้น้ำหนักเล็กน้อย
โจวเจ๋อยื่นมือออกไปจับผนังอุโมงค์โดยไม่รู้ตัว ส่วนทนายอันพูดขึ้นมา “ไม่ใช่สภาวะไร้น้ำหนักจริงเสียหน่อย แต่เป็นประสาทสัมผัสของเราที่ผิดเพี้ยนไป เถ้าแก่คุณทนได้ไหม”
“ไม่มีปัญหา” โจวเจ๋อตอบ
“โอเค งั้นไปต่อ ภาพลวงตาเริ่มปรากฏขึ้นตรงหน้าผมแล้ว”
โจวเจ๋อเดินต่อไปอีกสักระยะหนึ่ง ตรงหน้าของเขาก็ปรากฏภาพลวงตาขึ้นมาเช่นกัน
ในระยะอันสั้น ความรู้สึกวิงเวียนศีรษะก็เริ่มปรากฏขึ้น โจวเจ๋อต่อต้านและดิ้นรนอย่างสุดกำลัง ความสามารถในการทนต่อภาพลวงตาของเขาแกร่งมาก ทนายอันเองก็เป็นจ้าวแห่งวิชาภาพลวงตาอีกด้วย ฉะนั้นทั้งสองจึงสามารถจัดการกับมันได้
แต่ทันใดนั้น โจวเจ๋อได้ยินเพียงเสียงทนายอันร้อง ‘เชี่ย!’ ก่อนที่โจวเจ๋อจะทันได้เงยหน้าขึ้นมอง ก็รู้สึกว่าใต้ฝ่าเท้าของเขาว่างเปล่า
“เชี่ย!” จากนั้นทั้งตัวก็ไถลลื่นลงไป ทั้งหมุนคว้าง กระโดดกระเด้ง กลิ้งลงไปกระแทกอย่างต่อเนื่อง โจวเจ๋อรู้สึกแค่ว่าสติสตังที่ค่อนข้างสับสนแต่เดิมกำลังสูญเสียการควบคุมไปในชั่วพริบตา และไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหนแล้ว เมื่อบังคับให้ตัวเองตั้งสติและลืมตาขึ้นก็พบว่าเขานั่งอยู่ในถ้ำใต้ดิน ข้างๆ มีเตาไฟที่ไฟยังลุกโชนอยู่ข้างใน
ปวดหัวมาก โจวลูบหัวตัวเองพลางยืนขึ้นอย่างโงนเงน
“เถ้าแก่…”
โจวเจ๋อหันไปมองตามเสียงข้างๆ ตัวเองและเห็นทนายอันอยู่ข้างๆ
“นี่มันแม่งต้องจงใจแน่ๆ วางผังหมอกพิษ ประกอบกับพื้นที่ลาดเอียงเป็นจุดบอดสายตา ไม่ว่าจะเป็นลักษณะทางฟิสิกส์หรือไม่ใช่ฟิสิกส์ เมื่อรวมกันแล้วต่อให้เราจะเป็นคนประเภทที่สามารถอาศัยเจตจำนงของตัวเองต่อต้านได้ ก็ต้านทานไม่ไหวหรอก”
“ที่นี่ที่ไหน” โจวเจ๋อถาม
“ใต้ดิน หรือไม่ก็พวกเราเข้ามาในดงหมอกพิษอย่างสมบูรณ์แล้ว” ทนายอันสูดหายใจเข้าลึกและถอนหายใจออกมาหนักๆ “เล่นใหญ่เกินไปแล้ว ไม่ธรรมดาๆ”
ข้างนอกถ้ำมีเสียงเอะอะราวกับมีคนจำนวนมากกำลังดื่มอยู่ตรงนั้น
“ออกไปดูไหม” โจวเจ๋อถาม
“ไม่ต้อง อย่าเพิ่งรีบร้อน” ทนายอันยื่นมือไปคว้าไหล่ของโจวเจ๋อไว้และพูดต่อ “เราต้องแน่ใจก่อนว่าระหว่างพวกเราล้วนเป็นตัวจริง ไม่ใช่ฉวยโอกาสตอนหกล้มสติพร่าเลือนจับแยกกัน และหนึ่งในนั้นถูกสับเปลี่ยนไปแล้ว พูดอีกอย่างคือ เถ้าแก่ต้องมองจากมุมมองของคุณและยืนยันว่าผมเป็นตัวจริง ส่วนผมก็ต้องมองจากมุมมองของผมและยืนยันว่าเถ้าแก่เป็นตัวจริงหรือไม่เช่นกัน เข้าใจใช่ไหมว่าผมหมายถึงอะไร”
ตอนที่ทั้งสองคนพูดก็หอบหายใจหนักไปด้วย คล้ายกับว่าอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ขาดออกซิเจนบนที่ราบสูง
“ได้สิ จะแน่ใจได้ยังไง” โจวเจ๋อถาม
ทนายอันยื่นมือของตัวเองออกมา เลือดเนื้อบนมือซ้ายของเขาค่อยๆ เหือดหายไปจนกลายเป็นมือกระดูก
“สิ่งที่โชคดีก็คือ อะไรก็สามารถปลอมได้แต่ความรู้สึกมันปลอมไม่ได้ เราทั้งคู่บังเอิญมีลักษณะพิเศษที่สามารถยืนยันตัวตนได้ ดีที่เหล่าจางไม่ลงมาด้วย ไม่งั้นคงไม่มีทางยืนยันตัวตนของเขาได้ เอางี้ เถ้าแก่ ผมลองใช้มือกระดูกของผมแทงคุณก่อน จากนั้นคุณค่อยใช้เล็บของคุณแทงผมกลับ อย่างนี้ก็สามารถยืนยันตัวตนกันและกันได้แล้ว”
“คุณเริ่มก่อนเหรอ”
“ครับ ผมเริ่มก่อน” ทนายอันคว้าต้นแขนของโจวเจ๋อและใช้มือกระดูกแทงเข้าที่แขนโจวเจ๋อ
“ซี้ด…”
โจวเจ๋อเจ็บจนร้องซี้ดออกมา มันปวดเสียด ราวกับโรคไขข้ออักเสบอายุร้อยปีกำเริบฉับพลัน กล้ามเนื้อทั้งแขนเกร็งไปหมด เจ็บจนแทบทนไม่ไหว
“รู้สึกหรือยังครับ” ทนายอันถามแต่เขายังไม่ปล่อยมือ
โจวเจ๋อเจ็บจนกระตุกไปทั้งตัว อยากจะพูดแต่ก็พูดไม่ออก
“รู้สึกหรือยังครับ เถ้าแก่”
ยังจะมีห่าเหวอะไรอีก ปล่อยมือสิวะ!
“สรุปว่ารู้สึกหรือยังครับ เถ้าแก่”
ไอ้ชั่ว ปล่อยมือ!
“หรือว่าจะไร้ความรู้สึก เป็นไปไม่ได้สิ ผมไม่ใช่ตัวจริงเหรอ” ในที่สุดทนายอันก็ชักมือกระดูกของเขาออกมาแล้ว
“เถ้าแก่ เถ้าแก่ครับ”
“รู้สึกแล้ว” โจวเจ๋อหายใจหอบพลางกุมต้นแขนของตัวเองไปด้วยขณะที่พูดขึ้น
“อ๋อ งั้นค่อยยังชั่ว”
“ตอนนี้ตาผมแล้วใช่ไหม” โจวเจ๋อถาม
“อืม เริ่มเลยครับ เถ้าแก่” ทนายอันยื่นแขนของตัวเองออกมา
โจวเจ๋อพยักหน้า เล็บมือขวาค่อยๆ งอกยาวออกมาแล้วแทงลงไปในแขนของทนายอันทันที มันเป็นการแทงลงไปจริงๆ!
“จ๊ากกกก!!!!!!!!
โอ๊ยๆๆ อูยๆๆ !!!!
โอ้ๆๆ โอ๊ยๆๆ!!!!!
ฮือๆๆ ฮือๆๆ!”
ทนายอันเจ็บจนกระโดดเต้นเร่าๆ กระเด้งขึ้นมาสุดตัว
พลังทำลายล้างของเล็บโจวเจ๋อน่ากลัวแค่ไหน อิงอิงมีสิทธิ์พูดที่สุด ถ้าหากชีวิตมีเพียงตอนที่พบกันครั้งแรก อิงอิงน่าจะถูกเล็บของโจวเจ๋อทารุณอย่างน่าสังเวช
“รู้สึกหรือยัง”
“อ๊ากกก!!!”
“อย่าร้องสิ รู้สึกหรือยัง” โจวเจ๋อถาม
“ซี้ดๆๆ!!!!” สีหน้าทนายอันเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเขียวแลบลิ้นห้อยออกมาแล้ว
“สรุปว่ารู้สึกหรือยังล่ะ พูดสิ”
“อูยๆๆ…”
“หรือว่าผมจะเป็นตัวปลอมกันนะ นี่มันเป็นไปไม่ได้ ผมรู้สึกว่าผมคือตัวจริงนะ”
“…” ทนายอัน
ในที่สุดก็ฟุบกองลงไปกับพื้นดื้อๆ และหอบหายใจไม่หยุด
“เฮือก…ฮะ…เฮือก…”
“รู้สึกหรือยังล่ะ” โจวเจ๋อก้มหน้าถาม
ทนายอันพยักหน้าอย่างฝืนใจมากและพูด “รู้สึกรวดร้าวมากทีเดียว”
………………………………………………….