ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล - ตอนที่ 505 บรรพบุรุษ!
ตอนที่ 505 บรรพบุรุษ!
ที่ริมถนนข้างชายทุ่ง ทนายอันถูกวางอยู่ในเต็นท์ที่ติดตั้งอย่างเรียบง่าย เขายังอ่อนแอมาก เหงื่อผุดพรายไหลออกมาไม่หยุด อาการอาหารเป็นพิษไม่ได้ลดน้อยลงเรื่อยๆ อย่างที่เขาคาดคิดไว้ ตรงกันข้ามกลับบั่นทอนสุขภาพและจิตวิญญาณของเขาช้าๆ และต่อเนื่อง
ถ้าพูดไม่น่าฟังละก็ ความแน่วแน่ทางจิตใจของทนายอันแข็งแกร่งกว่าคนทั่วไปมากนัก ถึงได้ดูเหมือนคนที่ไม่เป็นอะไรเลย แต่อันที่จริงมีแนวโน้มว่าเขาจะซี้แหงแก๋ภายในครึ่งชั่วโมงได้เลย เพราะไม่ได้รับการรักษาที่มีประสิทธิภาพ
ทุกปีมีคนจำนวนมากที่เสียชีวิตเนื่องจากอาหารเป็นพิษและไม่ได้รับการช่วยเหลืออย่างทันท่วงที อีกทั้งทนายอันยังจัดอยู่ในประเภทที่อาการร้ายแรงอย่างยิ่งอีกด้วย พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ มีแค่สวรรค์ที่รู้ว่ามีอะไรอยู่ในเหล้านั้นกันแน่ หากมันเป็นแค่ฉี่จริงๆ นั่นก็ดีไป บางทีเหล้านั้นอาจจะมีพิษอยู่แล้วก็ได้ แต่เขาดันกระดกมันไปทั้งไหนี่สิ!
เพียงแต่ว่า ในเวลานี้ไม่มีใครมีเวลาพาเขาไปส่งโรงพยาบาล ทุกคนกำลังขุดคว้านกันอย่างบ้าคลั่ง พยายามจะเปิดทางเดินที่ยุบตัวลงขึ้นมาใหม่อีกครั้ง
ทนายอันพยายามออกแรงที่มีทั้งหมดพลิกตัว แถมเขายังถือโทรศัพท์มือถือไว้ในมืออีกด้วย
ในฐานะที่เป็นผู้ป่วยหนักแต่ยังหามส่งโรงพยาบาลไม่ได้ นอนตะแคงเล่นมือถือสักหน่อย คงไม่เกินไปหรอกใช่ไหม
มันก็ไม่เกินไปจริงๆ นั่นแหละ
ตอนนี้เขาไม่มีแม้แต่แรงจะลุกขึ้นยืน และช่วยเหลืออะไรไม่ได้ แค่สามารถยื้อให้ไม่ตายไว้ก็ถือว่าช่วยได้มากสุดๆ แล้ว
ไป๋อิงอิงคล้ายกับคนบ้าดีเดือด ดวงตาทั้งคู่แดงก่ำ ใช้สองมือขุดคว้านลงไปไม่หยุด แต่ทางเดินทั้งบนและล่างตั้งหลายสิบเมตร คุณไม่เรียกรถขุดดินมาพึ่งแค่แรงคน แม้ว่าจะเป็นแรงผีดิบก็เถอะ ก็ยากที่จะขุดออกมาในเวลาอันสั้นอยู่ดี
จางเยี่ยนเฟิงช่วยทำความสะอาดอยู่ข้างๆ อย่างเงียบเชียบไม่ส่งเสียง เขารู้ว่าสาเหตุที่โจวเจ๋อติดอยู่ข้างล่าง เป็นเพราะเขาระเบิดตัวชนวนระเบิดเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งครั้ง
เขายังรู้สึกผิด รู้สึกผิดอย่างสุดซึ้ง
เหล่าจางเป็นคนซื่อสัตย์ โจวเจ๋อมีพระคุณต่อเขา เขามองว่าโจวเจ๋อเป็นเพื่อนและเป็นแม้แต่ผู้มีพระคุณของเขามาโดยตลอด ด้วยเหตุนี้เขาจึงเปลี่ยนไปมาก และยืดหยุ่นมากขึ้นพอสมควร
หลายสิ่งหลายอย่างที่เมื่อก่อนเขาไม่มีทางทำ ตอนนี้ถ้าทำได้ก็ทำ ด้วยเหตุนี้ หากโจวเจ๋อออกมาไม่ได้และเกิดเรื่องขึ้นเพราะเขาระเบิดเพิ่มไปอีกครั้งจริงๆ ละก็ เขาคงไม่มีทางให้อภัยตัวเองได้จริงๆ
ที่จริงแล้ว แม้แต่ไป๋อิงอิงที่โกรธแค้นจนเต้นเร่าๆ ที่สุดก็ไม่คิดจะระบายความโกรธใส่เขา เพราะทุกคนรู้ดีว่า หากในเวลานั้นเหล่าจางไม่ระเบิดละก็ ข้างล่างนั่นคงจะเป็นตอนอวสานกลายเป็นจุดจบของทั้งสามคนไปแล้ว
เหล่าจางระเบิดเพื่อหาทางออกให้กับคนข้างล่างจริงๆ สำหรับสิ่งที่เรียกว่าปริมาณระเบิดมากหรือน้อยนั้น เหล่าจางไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญของทีมสำรวจทางธรณีวิทยาเสียหน่อย พูดก็พูดเถอะ ต่อให้เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญ ภายใต้สถานการณ์ที่ไร้เครื่องมือวัดใดๆ เขาก็ต้องเล็งมั่วๆ อยู่ดี
ถ้าเหล่าจางไม่ละเบิดละก็ อย่างนั้นจุดจบของทั้งสามคนคือถูกทหารไล่ฆ่าจนตาย
ตอนนี้อย่างน้อยๆ ก็ออกมาได้ตั้งสองคนแน่ะ
สาวน้อยโลลิไม่สนเรื่องสกปรกใช้ลิ้นของตัวเองช่วยอิงอิงลำเลียงหิน เธอเป็นคนที่มีความรู้สึกผิดอย่างลึกซึ้งที่สุด เพราะทุกคนมาที่นี่เพื่อช่วยเธอ ตอนนี้เถ้าแก่ยังติดแหงกอยู่ข้างล่างนั่น จะเป็นหรือตายก็ไม่รู้แน่ชัด พูดตามตรง แม้ว่าจะเป็นแค่ก้อนหินหนึ่งก้อนก็ตาม ในเวลานี้ต่างก็ร้อนรนกันไปหมด
ทนายอันใต้ตาคล้ำ ริมฝีปากซีดเซียว แถมยังไข้ขึ้นสูงอีก บอกตามตรงว่าตอนนี้เขารู้สึกว่าตัวเองเหมือนตกอยู่ในไฟชำระ
เวลานี้ สาวน้อยโลลิลิ้นบาดเจ็บเลือดไหลนั่งจุ้มปุ๊กอยู่ข้างๆ ทนายอัน เธอไม่ได้แอบอู้ แต่หยิบขวดน้ำแร่ข้างๆ ขึ้นมาดื่มไปหลายอึก ทว่าสิ่งที่เธอพ่นออกมากลับเป็นเลือดและดินทรายจำนวนมาก
ทนายอันที่มองฉากนี้อยู่ข้างๆ อย่างเงียบๆ ไม่เอ่ยอะไรออกมาสักคำ และไม่เหมาะที่จะพูดอะไรด้วย
หลังจากสาวน้อยโลลิบ้วนปากแล้ว ก็วิ่งไปข้างๆ อิงอิงเพื่อช่วยเปิดทางเดินด้วยกันอีกครั้ง ส่วนทนายอันปิดเปลือกตาเบาๆ บอกตามตรงว่าในตอนนี้ถึงจะดูเหมือนเป็นทีมเดียวกัน ถ้าเขาไม่ล้มป่วยก็คงจะดีไม่น้อย พลางคิดว่าทำไมตอนนั้นเขาถึงจงใจรินเหล้าลงในจอกของเถ้าแก่มากหน่อยกันนะ
ในท้ายที่สุด การดื่มเหล้าก็ทำให้เกิดเรื่องผิดพลาด การดื่มเหล้าทำให้เกิดเรื่องยุ่งยาก เถ้าแก่ คุณต้องฝืนเอาไว้ให้ได้เลยนะ
ทนายอันคิดว่าตอนนี้เขาสามารถช่วยอะไรได้บ้างนะ
เอาโทรศัพท์มือถือเปิดเพลงพื้นหลังดีไหม เพลง ‘เราเหล่ากรรมกรมีพลัง’ ดีหรือเปล่า
พอคิดๆ ดูแล้ว เพื่อเลี่ยงการถูกอิงอิงฆ่าตายภายใต้ความโมโหโกรธา ทนายอันก็ปล่อยวางความคิดนี้ไป
…
“ข้าชอบนางเหลือเกิน” ร่างของเด็กชายโงนเงนไม่หยุด ร่างที่เดิมว่าเล็กอยู่แล้ว ในเวลานี้ยังเผยให้เห็นถึงกลิ่นอายของไม้ใกล้ฝั่งออกมา
“ข้าชอบนางมากเหลือเกิน ตั้งแต่ข้าเจอนางในบ้านพักตากอากาศครั้งแรก นางมีเอกลักษณ์และสะดุดตามาก ข้าตกหลุมรักนางตั้งแต่แรกพบ เหมือนมีคนกระซิบบอกในใจว่านางเป็นของข้า ข้าอยากพานางกลับบ้านของข้า นางจะต้องอยู่กับข้าตลอดไป ตลอดไป…”
เด็กชายสารภาพรัก แต่เหมือนประกาศคำพิพากษาเสียมากกว่า เขามองโจวเจ๋อ เทียบเท่ากับคนเลี้ยงโคกำลังมองเจ้าแม่หวังหมู่
ถึงอย่างไรหากโจวเจ๋อไม่โผล่เข้ามา ตอนนี้สาวน้อยโลลิก็ยังคงอยู่ในกำมือเขา และไม่ช้าก็เร็วคงตกเป็นของเขาอย่างแน่นอน
อันที่จริง โดยปกติทั่วไปแล้ว ความหวงแหนของเด็กน้อยนั้นรุนแรงที่สุด เพราะหลายต่อหลายครั้งเด็กมักจะไม่มีเหตุผล ไม่เหมือนผู้ใหญ่ที่มีเรื่องต้องคำนึงถึงมากมาย แต่เด็กชายตรงหน้ากลับไม่อาจใช้คำว่า ‘เด็กน้อย’ มาแทนที่ได้ เพียงแต่เขาตายตอนที่ยังเป็นเด็กก็เท่านั้น มีเพียงสวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าเขามีชีวิตอยู่ในเงามืดใต้ดินแห่งนี้มานานกี่ปีแล้ว
ถึงอย่างไรโจวเจ๋อก็รู้สึกว่าอายุของไอ้หมอนี่คงไม่น้อยไปกว่าอิงอิงเป็นแน่
ไม่อย่างนั้นเป็นไปไม่ได้ที่จะรับลูกน้องและแผ่ขยายกิ่งก้านสาขา แม้กระทั่งสถานที่แห่งนี้ก่อนจะระเบิดก็ราวกับว่าเป็นสวนสนุกของเขาเพียงคนเดียว เขาสร้างสังคมนี้และสร้างระบบระเบียบในสถานที่แห่งนี้ด้วยมือของเขาเอง
เด็กคนอื่นๆ ที่รุ่นราวคราวเดียวกันนี้ดูเหมือนจะทำได้แค่ต่อบล็อกเท่านั้น เขากลับมีอาชีพของตัวเองแล้ว แถมยังมีอาณาจักร…ของตัวเขาเอง
วันนี้สิ่งที่เขาสูญเสียอาจไม่ได้มีแค่หญิงสาวที่ตัวเองรักใคร่เท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาเคยบริหารจัดการในอดีตด้วย
ปีศาจทั้งหลายและวิญญาณที่ติดอยู่ในสถานที่แถบนี้ ผีดิบในอาณัติที่เขาฝึกฝนและรวบรวมมาด้วยตัวเอง เขาเพียรพยายามวันแล้ววันเล่า ปีแล้วปีเล่า เพื่อสร้างทุกสิ่งขึ้นมา แต่ทั้งหมดกลับพังพินาศในชั่วพริบตาเพียงเพราะโจวเจ๋อโผล่เข้ามา!
ความเกลียดชังของเขา โจวเจ๋อเข้าใจดี
หลายครั้งที่นักบุญชอบสอนให้ผู้อื่นเรียนรู้ความเห็นอกเห็นใจ แต่ความเห็นแก่ตัวต่างหากถึงจะเป็นธรรมชาติของมนุษย์
“ข้าชอบนาง เจ้ากลับแย่งนางไปจากข้างกายข้า…”
ระยะห่างระหว่างเด็กชายกับโจวเจ๋อมีไม่ถึงสิบเมตร เขาอ่อนแอ่มาก และบาดเจ็บสาหัสมาก แต่เขายังมีลมหายใจพอฝืนทนไว้ แต่โจวเจ๋อก็ไม่จัดว่าเละตุ้มเป๊ะเป็นโคลน แต่ก็นับว่าเป็นลูกพี่ลูกน้องกับโคลนแล้ว
เมื่อศักยภาพถูกกระตุ้นครั้งหนึ่ง นั่นคือมนุษย์สามารถพิชิตธรรมชาติได้ แต่สองครั้ง สามครั้งล่ะ จะเป็นไปได้ไหม
โจวเจ๋อรู้สึกว่าวันนี้เขาใช้ชีวิตได้หลากหลายมาก ช่างมหัศจรรย์และเต็มอิ่มมากจริงๆ ถ้าเป็นไปได้ละก็ เขาไม่อยากเติมจุดจบประโยคให้ตัวเองตอนนี้เลยจริงๆ
‘พรืด’ เลือดไหลออกมาอย่างต่อเนื่อง แต่โจวเจ๋อยังอดทนต่อความเจ็บปวดที่ปอดฉีกขาด และฝืนเอ่ยปากพูด “แกน่าจะ…น่าจะ…”
“ข้าน่าจะอะไร” เด็กชายยังเดินมาข้างหน้าต่อไป ดูเหมือนเขาไม่ปฏิเสธที่จะคุยกับโจวเจ๋อในเวลานี้ หรือบางทีนี่อาจจะเป็นการมอบความเคารพครั้งสุดท้ายให้คนที่เคยเป็นพันธมิตรแต่ตอนนี้เป็นคู่ต่อสู้ของเขาก็ได้
อันที่จริง ระหว่างทั้งสองคนยังมีความเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกันเล็กน้อย เช่นเดียวกับก่อนหน้านี้ที่โจวเจ๋อเห็นเด็กน้อยพยายามอย่างหนัก ก็ยังสามารถเค้นแรงเฮือกสุดท้ายในร่างกายของตัวเองออกมาได้อีก
“การไล่ตาม…ไล่ตามใครสักคน…ไม่ใช่แบบนี้…สักหน่อย…แกน่าจะมอบของให้เธอ…อย่างเช่น…มอบหัวใจ…ที่ทำมาจากหิน” โจวเจ๋อไอสองสามทีและกระอักเลือดออกมาอีกสองสามครั้ง “หัวใจหินชนิดนี้…สามารถซื้อขายส่งได้”
“หัวใจหินหรือ” จะเห็นได้ว่าเด็กชายไม่สามารถเข้าใจโลกภายนอกได้ และไม่รู้ว่าของสิ่งนี้กลายเป็นของขวัญที่ตั้งแต่เด็กผู้หญิงธรรมดาไปจนถึงดาราหญิงชั้นนำโปรดปรานที่สุดและใช้ได้ผลที่สุด
“ข้าสามารถมอบให้นางได้ มอบให้นางทั้งเหมืองแร่ไปเลย!” เด็กชายแย้งกลับ
โจวเจ๋อเม้มปากครู่หนึ่ง ดูเหมือนว่าจบบทสนทนาไปดื้อๆ อีกแล้ว ถ้าหากเขาเป็นเด็กสาวละก็ เหมือนว่าจะเลือกเหมืองแร่นะ เหมืองแร่แห่งหนึ่ง อย่างน้อยก็ปาไปแปดร้อยล้านแล้วละมั้ง
“แกชอบเธอ…น่าจะไปหะ…หาพ่อของเธอ…” ไปหาหวังเคอ พี่ชายแสนดีของฉันสิ
โจวเจ๋อรู้สึกว่าเขาบ้าไปแล้ว แต่ก็ชินแล้วละ ทุกครั้งก่อนตายหรือเมื่อเกิดวิกฤตยิ่งใหญ่ วงจรสมองของเขามักจะแปลกๆ ไปเสมอ ตอนนี้เขาเข้าใจโจโฉมาหน่อยหนึ่งแล้วว่าทำไมก่อนที่เขาจะตายไม่สั่งงานราชงานหลวง แต่เป็นการจัดการชีวิตในอนาคตของเหล่าบรรดานางสนมอันแสนรักของเขา
บางทีนี่อาจจะเป็นความผันผวนปรวนแปรของชีวิตมนุษย์ที่เคยชินกับสภาพความเป็นความตายละมั้ง เอาแต่หวนนึกถึงสิ่งที่ยิ่งใหญ่ มีเกียรติ และถูกต้อง มันน่าเบื่อ ตัวอย่างเช่น ตอนนี้เขากำลังพยายามพร่ำสอนเด็กชายและปลูกฝังมุมมองเกี่ยวกับความรักที่ถูกต้อง
“ให้จับพ่อของนางมาด้วยกันเลยหรือ”
“…” โจวเจ๋อ
ดูเหมือนว่าน่าจะได้นะ
ด้วยสติปัญญาของหวังเคอที่แม้แต่ยมทูตยังประทับใจได้ ถ้าหวังเคออยู่ที่นี่ด้วย บางทีอาจจะพัฒนาให้เด็กชายคนนี้กลายเป็น ‘ว่าที่ลูกเขย’ ของเขาเลยก็ได้
ฉากนี้ช่างงดงามเหลือเกิน
โจวเจ๋อไม่เชี่ยวชาญด้านการพูดจาเลย ชาติก่อนเขาเป็นคนทำมากกว่าพูดมาก ครั้งก่อนตอนที่โน้มน้าวจูเซิ่งหนาน ยังกระตุ้นเสียจนจูเซิ่งหนานกลายเป็นบ้าดีเดือดไปเสียได้
ถ้ารู้อย่างนี้ละก็ ตอนที่หวังเคอบอกว่าจะมาตามหาลูกสาวพร้อมกับเขาด้วย เขาไม่น่าห้ามไว้เลยสิน่า
บางทีหวังเคออาจจะ ‘พูดพล่าม’ อยู่ที่นี่ในเวลานี้ และทำเอาเด็กชายรู้สึกประทับใจจนคุกเข่าลงเรียกเขาว่า ‘พ่อ’ จากนั้นทั้งสองก็จับมือพากันสร้างครอบครัวที่สวยงามและมีความสุขไปแล้วก็ได้
‘พรืด…’ กระอักเลือดออกมาอีกระลอกหนึ่ง
โจวเจ๋อรู้สึกว่าแม้เด็กชายจะไม่ลงมือ การกระอักเลือดด้วยความเร็วแบบนี้ของเขาคงจะไม่ไกลจากความตายแล้วละ
ในที่สุดเด็กชายก็เดินไปตรงหน้าโจวเจ๋อ แล้วย่อตัวลงตรงหน้าโจวเจ๋อ ทันใดนั้นเด็กชายหันหน้ามาอ้าปากและกัดทันที
หยกผีที่พยายามลอบโจมตีถูกสะบัดออกไปร่วงตกลงไปที่มุมหนึ่ง จนกลายเป็นกลุ่มก้อนที่เกือบจะโปร่งใส มันก็เกินขีดจำกัดเช่นเดียวกับโจวเจ๋อ
“เอาละ ตอนนี้เจ้าไร้ที่พึ่งแล้วใช่ไหม” เด็กชายถามโจวเจ๋อ “ที่จริง ข้าสงสัยมากจริงๆ ว่าเจ้าเป็นผีดิบไม่ผิดแน่ มีกลิ่นอายผีดิบบนร่างกายของเจ้า เล็บก็คมกว่าของข้า เขี้ยวนี่ก็น่ากลัวกว่าของข้าเสียอีก แต่ร่างกายของเจ้ากลับอ่อนแอปวกเปียกเช่นนี้ อาจจะแกร่งกว่าคนธรรมดานิดหน่อย สรุปแล้วเจ้าเป็นตัวอะไรกันแน่”
โจวเจ๋อจำได้ว่า ตัวเองตอบคำถามเขาไปไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว นับตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกันก็บอกคำตอบที่ถูกต้องให้กับเขาแล้ว แต่เขาไม่เคยเชื่อ ซึ่งมันทำให้โจวเจ๋อผิดหวังนิดหน่อย ผิดหวังที่พูดความจริงแล้วยังไม่ยอมรับและไม่ยอมเข้าใจอีก
“ที่จริง ข้าก็เคยนึกสงสัยว่าโลกภายนอกเป็นอย่างไรกันแน่ แต่ข้าเอาแต่ร่อนเร่อยู่ในภูเขาลูกนี้ ไม่กล้าออกไปไหน เพราะข้ามีลางสังหรณ์ว่า ถ้าข้าออกไป ข้าจะต้องตาย!”
โจวเจ๋อจำได้ว่า สาวน้อยโลลิเคยพูดไว้ เพราะอิงอิงอยู่ข้างกายเขาตลอดจึงได้รับอิทธิพลจากสถานะยมทูตของเขา และยมโลกกับสังสารวัฏก็เป็นส่วนหนึ่งของกฎแห่งธรรมชาติ ฉะนั้นอิงอิงที่อยู่ข้างกายเขามาตลอดจึงมีความคล้ายคลึงกับผู้ช่วยตำรวจในอดีต ลูกจ้างชั่วคราว หรือคนในองค์กรครึ่งหนึ่งละมั้ง อิงอิงถึงได้ดูมีอิสระอย่างเห็นได้ชัด
ก่อนได้มาเจอกับเขานั้น แม่นางไป๋ผนึกอิงอิงไว้ในโลงศพ เป็นเวลาร่วมสองร้อยปีแล้วที่เธอไม่เคยได้รับอนุญาตให้ออกมา เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่เพราะแม่นางไป๋ใจร้ายและเห็นแก่ตัว แต่เพราะแม่นางไป๋รู้ว่าหากตัวเองปล่อยอิงอิงออกมาสูดอากาศบริสุทธิ์โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็อาจจะเป็นภัยต่อเธอได้
ต่อให้เทพเซียนทางตะวันออกเฉียงเหนือจะยิ่งใหญ่สักเพียงใด หากเข้าสู่วงสังคมก็ยังต้องหัวหดเป็นเด็กน้อยไม่ใช่เหรอ
วันก่อนอิ๋งโกวยังพูดว่า ‘ตอนที่ข้าถือกำเนิด โลกไร้พุทธะ’ อยู่เลย อย่างนั้นโจวเจ๋อก็พูดว่า ‘ตอนที่ฉันเกิด กลายเป็นเซียนปีศาจไม่ได้’ ได้เหมือนกัน โลกแตกต่างกัน กฎก็แตกต่างกันตามไปด้วย
“แกยะ…อยากออกไป…ไหม” เถ้าแก่โจวรู้สึกว่าเขาควรจะปลุกไฟแห่งชีวิตของตัวเองบ้าง และดิ้นรนต่อสู้อีกครั้ง
“ข้าอยาก!” เด็กชายพูด
นี่มันง่ายมาก แกอยากเป็นลิงไหม
ไม่สิ
“แกอยากไปโรงเรียนไหม…อยากอ่านหนังสือหรือเปล่า” เด็กชายเอียงหัวนิดหน่อย เห็นได้ชัดว่าไม่เข้าใจความหมาย “บ้านฉัน…มี…หนังสือเยอะแยะ…” เพราะว่าหนังสือขายไม่ออก
เด็กชายยิ้มร่า “ข้ารู้ว่าเจ้าจะพูดอะไร”
แววตาของโจวเจ๋อพลันเศร้าหมองลงเล็กน้อย ก็ใช่สิ ไอ้หมอนี่หลอกไม่ง่ายเหมือนเจ้าลิงน้อย จะดีแค่ไหนถ้าทุกคนบนโลกนี้เป็นเหมือนเจ้าลิงน้อยน่ะ
“ข้าออกไปแน่ แม้ว่าออกไปแล้วจะตายก็ตาม แต่ข้าจะออกไปแน่ ข้าจะออกไปตามหานาง ข้าจะต้องออกไปตามหานางแน่นอน!”
“ตอนนี้…นาง…ก็อยู่…ข้างบน…ไปตามหาสิ…” โจวเจ๋อเตือนสติ
รีบขึ้นไปตามสิเฮ้ย พวกเขาต้องรอฉันอยู่ข้างบนแน่ๆ แกรีบไปสิฟะ ไล่ตามรักแท้ของแก ไล่ตามความรักของแกไป จากนั้นก็โดนอิงอิงอัดจนตาย!
โจวเจ๋อรู้สึกว่าสภาพของเด็กชายในตอนนี้ อิงอิงสามารถอัดเขาให้ตายฝ่ายเดียวได้!
“ข้าทำแน่ เจ้าก็เห็นแล้ว ที่นี่อาศัยไม่ได้แล้ว ข้าทำแน่ แต่ก่อนจะไปข้าจะฆ่าเจ้าก่อน”
“ทะ…ทำไม…”
“เพราะข้าสัมผัสได้ว่าเจ้าทำเหมือนข้าเป็นเด็กน้อยคนหนึ่ง และทำกับข้าเหมือนเป็นคนโง่มาโดยตลอดน่ะสิ”
“…” โจวเจ๋อ
มันดูชัดเจนขนาดนี้เลยเรอะ
“ดังนั้นก่อนเจ้าตาย ข้าหวังว่าเจ้าจะบอกความจริงแท้แน่นอนกับข้าว่าเจ้าเป็นตัวอะไรกันแน่”
เด็กชายวางมือไว้บนหน้าผากโจวเจ๋อ ขอแค่เขาออกแรงนิดหน่อยก็สามารถบี้กะโหลกของโจวเจ๋อแหลกกระจุยได้ ขณะเดียวกัน เขาก็ยื่นหน้าไปใกล้ตรงหน้าโจวเจ๋อ และจ้องมองนัยน์ตาของโจวเจ๋ออย่างละเอียด
“ข้ารู้มาประโยคหนึ่งว่า คนใกล้ตายมักจะพูดความจริงจากใจ เจ้าใกล้ตายแล้ว ข้าจะให้โอกาสเจ้าพูดเป็นครั้งสุดท้าย
ตอบข้ามา
สรุปแล้วเจ้า
สรุปแล้วว่าเจ้า
สรุปแล้วว่าเจ้าเป็นตัวอะไรกันแน่!”
เด็กชายคำรามขึ้นมา ลมกระโชกแรงพัดผ่านใบหน้าของโจวเจ๋อ
‘เจ้าไป…หา…บ่อน้ำร้อน…จากที่ไหน…แช่แล้ว…สบาย…ทีเดียว…’ โจวเจ๋อไม่ได้กำลังพูด แต่เสียงนี้ออกมาจากในใจของโจวเจ๋อ!
โจวเจ๋ออ้าปากค้าง สีหน้าพลันตกตะลึง
เด็กน้อยมองสีหน้านี้ของโจวเจ๋อแล้วนึกสงสัยเล็กน้อย ใกล้ตายเลยเป็นบ้าไปแล้วหรือ
‘เวรเอ๊ย ผมจะตายอยู่รอมร่อแล้ว คุณรู้บ้างไหมหา! ไม่ถูกสิ เราใกล้จะตายไปพร้อมกันอยู่แล้ว!’ โจวเจ๋อตะโกนก้องในใจ ห่างอิ๋งโกวไปแค่วันเดียวก็คิดถึงเขาแล้ว
‘รู้สิ…มิฉะนั้น…เจ้าคิดว่า…เมื่อครู่ที่เจ้า…ยังสามารถ…กลายร่างผีดิบได้…เป็นใครกัน…ที่ให้พลัง…แก่เจ้า…’
‘…’ โจวเจ๋อ
‘คุณเอาแต่ดูเรื่องสนุกๆ อยู่ข้างๆ มาตลอดเลยเหรอ คุณตื่นนานแล้วงั้นเหรอ ทำไมคุณไม่บอกผมให้เร็วกว่านี้เล่า!’
‘เจ้า…ไม่…ตะโกน…เรียก…ข้า…’
‘คุณจงใจสินะ’ นี่มันจงใจแน่ๆ!
’ถูก…ต้อง…’
ทันใดนั้นโจวเจ๋อรู้สึกอยากกัดลิ้นฆ่าตัวตายให้รู้แล้วรู้รอด เป็นแรงปฏิกิริยาเดียวกันกับตอนที่อิ๋งโกวได้ยินว่า ‘กาแฟ หนังสือพิมพ์ และเพิ่มน้ำตาล’ ในตอนแรกเป๊ะ!
‘ตอน…เพิ่งลงแช่…ในสระน้ำ…ข้าก็…ตื่นแล้ว…ประสิทธิภาพ…ส่วนใหญ่…ในสระน้ำ…ถูกข้า…ดูดซับไปหมด…เจ้าและ…เจ้า…เด็กนั่น…ถึงได้…ฟื้นอาการบาดเจ็บ…ได้ช้า…เพียงนี้…’
“รีบตอบข้ามาเร็วเข้า เจ้าเป็นตัวอะไรกันแน่! หรือถ้าเจ้าไม่ตอบข้าละก็ ตอนนี้ข้าจะฆ่าเจ้าซะ!”
เด็กชายเงื้อฝ่ามือขึ้นเตรียมจะลงมือ!
จู่ๆ โจวเจ๋อก็อ้าปากและแย้มยิ้ม แม้ว่าใบหน้าจะเปื้อนเลือดจนยิ้มออกมาได้น่าเกลียดแน่ๆ จากนั้นโจวเจ๋อก็ใช้สายตายั่วยุมองเด็กชายและพูดทีละคำ
“ข้า
เป็น
บรรพบุรุษ
เจ้าไง!”
………………………………………………….