ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล - ตอนที่ 510 ดื่มเหล้าพูดเรื่องทำการเกษตร
ตอนที่ 510 ดื่มเหล้าพูดเรื่องทำการเกษตร
เรื่องการรักษาและฟื้นฟูจำเป็นต้องใช้เวลา โจวเจ๋อยังพอไหวในด้านนี้ ถึงอย่างไรเขาก็มีประสบการณ์ หากเป็นเมื่อก่อน ยังจำได้ว่าตอนที่ทะเลาะกับแม่นางชิงอีในครั้งนั้น เขาตกลงมาจากดาดฟ้ากระแทกลงไปในกองขยะ ถูกเจ้าลิงน้อยตะโกนเรียกหมาแมวกลางถนนมาลากเข้าไปในรังของมัน
นับตั้งแต่ตอนนั้น เขาเหมือนได้เปิดประตูเข้าสู่โลกใบใหม่ และเริ่มยอมรับความจริงว่ามีอีกคนอยู่ภายในร่างกายของตัวเองช้าๆ อีกทั้งหากจะพูดอย่างจริงจังแล้ว เขาโจวเจ๋อเป็นแค่คนเฝ้าประตูเท่านั้น
ต้องขอบคุณเขา ที่ทำให้ร่างกายนี้ได้ผ่านการฝึกฝนมาหลายครั้ง ถึงแม้จะไม่ถึงขั้นวิปริตเหมือนผีดิบจริงๆ อย่างอิงอิงและเด็กผู้ชายที่กัดไม่ขาดฉีกก็ไม่ตาย แต่สุดท้ายก็ยังสามารถกระตุ้นพลังแฝงจนแข็งแกร่งมากกว่าคนทั่วไป
วันที่สามหลังจากพักอยู่ในโรงพยาบาล โจวเจ๋อก็ใส่เสื้อผ้าปกติมานั่งสูบบุหรี่อยู่ในศาลาเล็กที่อยู่ใต้ตึกโรงพยาบาล นั่งคิดถึงชีวิตของคน
ทนายอันกลับเจ็บปวดและทรมานกว่า ผลกระทบของอาหารเป็นพิษใกล้จะหายแล้ว แต่ตอนนี้กลับเป็นนิ่วในถุงน้ำดี
เดิมทีทนายอันอยากจะกลับทงเฉิงเร็วขึ้น เพื่อตามหาหญิงสาวตัวดำกลับมา แต่หลังจากนั้นเหล่าจางส่งข่าวมาบอกว่าตามหาตัวเจอแล้ว
นักพรตเฒ่าแบกเธอขึ้นหลังเดินไปที่สวนเพื่อเก็บเกี่ยวผลของดอกพลับพลึงแดง หญิงสาวตัวดำขยับขาไม่ได้ นักพรตเฒ่าแบกไว้บนหลัง ตอนที่เก็บพืชผล นักพรตเฒ่าถูกสิ่งที่อยู่ในนั้นทำให้มึนงง
เหล่าจางค้นหารถเจอโดยดูผ่านกล้องวงจรปิด จากนั้นจึงตามหาเจ้าลิงเจอที่ริมทุ่งข้างรถ เจ้าลิงนำทางเดินเข้าไปในสวน แล้วจึงแบกนักพรตเฒ่ากับหญิงสาวตัวดำออกมา
นี่เป็นเพียงแค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น เรื่องเล็กน้อยที่เสี่ยงแต่ไม่มีอันตราย
หญิงสาวตัวดำมีที่ยึดเหนี่ยวไว้พักพิงแล้ว ดอกพลับพลึงแดงก็มีที่พักพิงเช่นกัน
ทนายอันผ่าตัดนิ่วในถุงน้ำดีที่โรงพยาบาลนี้ไปเลยตามคำแนะนำของโจวเจ๋อ เป็นการผ่าตัดเล็ก ไม่มีปัญหาร้ายแรงมาก แต่โจวเจ๋อสงสัยอยู่บ้าง ทนายอันดื่มกาแฟหมดอายุเยอะเกินไปจนเป็นแบบนี้หรือเปล่า
ปากคาบบุหรี่ มองคลื่นมนุษย์เดินผ่านไปมา จริงๆ แล้วคนไข้ในโรงพยาบาลแห่งนี้มีไม่น้อย แต่เป็นโรคเล็กๆ น้อยๆ ในมุมมองของหมอ ก็คือไม่มีความท้าทายอะไร และไม่มีความรู้สึกประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานมากนัก
ภาพโดยรวมของโรงพยาบาลแห่งนี้ ให้บรรยากาศอึมครึมแก่ผู้คน คล้ายกับเมืองระดับอำเภอเล็กๆ แห่งนี้เป็นอย่างมาก
คนหนุ่มสาว คนมีสมอง สามารถออกไปได้ต่างก็ออกไปหมดแล้ว คนที่เหลืออยู่จึงน้อยลง นี่คือภาพจำลองทั่วประเทศจีนในขณะนี้ บางครั้งโจวเจ๋อก็คิดว่า เมื่อก่อนตอนที่เรียนหนังสือพูดถึงการปฏิรูปหรือยุคปี 90 ว่าเป็นยุคแห่งคลื่นลมและวุ่นวายทุกครั้ง
แต่ในความเป็นจริง ถ้าหากยืนในมุมมองของคนทั่วไป ตำแหน่งที่ตัวเองอยู่ในตอนนี้ ตัวเองอาจจะไม่รู้สึก แต่ก็อยู่ทามกลางคลื่นลมเช่นกัน
เถ้าแก่โจวไม่ใช่นักคิด และไม่ใช่นักปรัชญา เขาแค่ขี้เกียจทำอะไรเท่านั้น จึงมีเวลาคิดเรื่องไร้สาระมากพอ แล้วก็สาเหตุอีกอย่างหนึ่งคือ พยาบาลในโรงพยาบาลแห่งนี้ส่วนใหญ่อายุมากแล้ว มีสองสามคนที่ยังดูสาวแต่ก็แบนสุดๆ
ผู้ชายหลังจากวิเคราะห์และจินตนาการในด้านนั้นแล้ว ขอบเขตของความคิดจะยกระดับขึ้นทันที โดยเฉพาะหลังจากเสร็จกิจแล้วสูบบุหรี่หนึ่งมวน ราวกับว่าทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นชื่อเสียง ประเพณี หน้าที่การงาน เป็นต้น ล้วนเงียบสงบ
เขาทิ้งก้นบุหรี่ เหยียดขาแล้วขยี้มัน ผีดิบน้อยที่นั่งอยู่ด้านหน้าโจวเจ๋อหันหน้ากลับมา มองโจวเจ๋อหยิบบุหรี่อีกหนึ่งมวนมาจุดไฟอย่างเงียบๆ จากนั้นเขาจึงหันหน้ากลับไป
โจวเจ๋อนั่งอยู่ในศาลา เขานั่งอยู่บนบันไดของศาลา เมื่อทอดมองไกลๆ ดูเหมือนพ่อลูกกันจริงๆ แต่เสื้อผ้าของพ่อลูกคู่นี้ดูน่าสงสารและไม่เข้ากันเท่าไร
ท่าทางคาบบุหรี่ในปากของพ่อ มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นภาพลักษณ์ของผู้ชายขี้เกียจตามแบบมาตรฐาน ไม่รู้ว่าหลายคนที่เดินผ่านหลังจากเห็นฉากนี้รู้สึกเสียดายในใจที่มีลูกน่ารักขนาดไหน แต่ทำไมถึงมีพ่อที่แย่ขนาดนี้
พวกเขาไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้า เสื้อผ้าชุดเดิมก็ขาด แค่สั่งให้อิงอิงซักก่อนแล้วก็เอามาใส่เลย เถ้าแก่โจวยากจนจนชินแล้ว เขารู้ว่าอิงอิงซื้อเสื้อผ้าราคาแพงให้ตัวเองทั้งนั้น ขาดนิดหน่อยยับนิดหน่อยเท่านั้น ไม่ใช่ปัญหา
เสื้อผ้าของเด็กผู้ชายกลับไม่สามารถซักแล้วใส่ได้อีก เพราะมันขาดวิ่น โจวเจ๋อจึงสั่งให้อิงอิงไปร้านเสื้อผ้าหน้าโรงพยาบาลแล้วซื้อเสื้อผ้าเด็กมาหนึ่งชุด ถึงแม้จะดูเชยและปัญญาอ่อนเล็กน้อย แต่เด็กผู้ชายก็ยังพอใส่ได้ เด็กคนนี้ไม่เรื่องมาก โจวเจ๋อพอใจเป็นอย่างยิ่ง
“เฮ้!” ทนายอันก็เดินลงมาแล้ว เขาที่เพิ่งผ่าตัดเสร็จนับว่ายังมีชีวิตชีวา ชุดคนไข้ค่อนข้างใหญ่ และช่วงนี้ทนายอันก็ดูผอมลงไม่น้อย เสื้อผ้าที่หลวมโคร่งหลังจากโดนลมยามบ่ายพัดขึ้นมา เหมือนกับหุ่นไล่กาที่ชาวนาทำไว้เพื่อไล่นกกาในไร่ให้ตกใจ
แต่หุ่นไล่กาไม่มีความตื่นรู้ของหุ่นไล่กาเอาเสียเลย โจวเจ๋อรู้ว่าช่วงนี้เขากำลังสนิมสนมกับหัวหน้าพยาบาลในโรงพยาบาล ตามทฤษฎีของหุ่นไล่กาแล้ว เรื่องกินไม่คิดจะกินแล้ว แต่ได้พูดคุยแก้ความเหนื่อยล้ายังพอไหว
เหล่าอันก็มีนิสัยแบบนี้ ได้ยินเฝิงซื่อเอ๋อร์บอกว่าเมื่อก่อนเขามีผู้หญิงที่ชอบคนหนึ่งและรักมากๆ รักมากจนแม้แต่เฝิงซื่อเอ๋อร์ก็ไม่ต้องการแล้ว
แต่ภาพลักษณ์ของทนายอันไม่เข้ากับความรักที่ศักดิ์สิทธิ์เลยสักนิด กินเที่ยวซื้อ เล่นให้สนุกสุดเหวี่ยง ไม่รู้สึกว่าตัวเองทำผิด ประมาณว่าบอกให้ปล่อยวางก็สามารถทำได้จริงๆ แต่เด็กผู้ชายที่นั่งอยู่ที่บันไดตรงหน้าตัวเองนี้ มาพร้อมกับความหดหู่และเศร้าใจ ทำเอาโจวเจ๋อเห็นแล้วอยากจะถีบสองสามครั้ง
ทนายอันก็เข้าไปนั่งในศาลา อิงอิงไม่อยู่ ออกไปซื้อกับข้าว เตรียมจะเปิดเตาตุ๋นน้ำซุปไก่ตอนเย็น
ทนายอันรับบุหรี่มาจากมือโจวเจ๋อแล้วจุดมัน สำหรับร่างกายร่างนี้ เขาไม่ถึงกับทะนุถนอมมาก จริงๆ แล้วแค่ปล่อยไปตามวาสนา
และความจริงก็เป็นเช่นนี้ คนหนุ่มสาวส่วนใหญ่บนโลกใบนี้กระทั่งคนวัยกลางคน ก็ยังไม่รู้จักทะนุถนอมร่างกายของตัวเอง คุณจึงอย่าได้หวังว่าคนจะให้ความสำคัญกับร่างกายมือสอง
ทั้งสองคนสูบบุหรี่ได้ครึ่งหนึ่ง จากนั้นด้านนอกศาลาก็มีผู้ชายวัยกลางคนใส่ชุดคนไข้คนหนึ่งวิ่งออกมา มีหม้อใบหนึ่งอยู่บนศีรษะ วิ่งพร้อมกับตะโกนไปด้วย สักพักก็มีคนวิ่งออกมาอีกสองสามคน ดูแล้วน่าจะเป็นครอบครัวเดียวกัน แล้วลากเขากลับไป
“สมองมีปัญหานิดหน่อย มาโรงพยาบาลผ่าตัดไส้ติ่งอักเสบ” ทนายอันกล่าว
“สงสัยคุณจะคุยกับหญิงชู้ของคุณเยอะมากเลยทีเดียว”
“แค่คุยกับจับมือเท่านั้น ไม่ได้ทำอย่างอื่น” ทนายอันส่ายหน้า พ่นควันบุหรี่ออกมา
“เธอไม่ยอมเหรอ”
“ผมไม่ยอม” ทนายอันหัวเราะ แล้วพูดเสริม “สะสมพลังความเข้มแข็ง”
สักพักหนึ่ง ผู้ชายวัยกลางคนที่เอาหม้อคลุมศีรษะคนนั้นก็วิ่งออกมาอีก แล้วต่อว่าโจวเจ๋อกับคนอื่นๆ ที่นั่งอยู่ในศาลา ประหนึ่งว่าผู้นำกำลังพูด อ้อไม่ ท่าทางของเขาเป็นมากกว่าผู้นำ เหมือนพระเจ้ากำลังสั่งสอนประชาชนมากกว่า
จากนั้นครอบครัวของเขาก็วิ่งไล่ตามมา ครั้งนี้หยิบเชือกมามัดตัวเขากลับไป
“หลงใหลชี่กงมากเกินไป คนจึงเป็นบ้า บ้าจนถึงตอนนี้” ทนายอันทิ้งก้นบุหรี่ลงบนพื้น แล้วถอนหายใจ “อ้อ ใช่แล้ว ตอนนั้นคุณยังเด็ก จึงไม่น่าจะรู้” อายุของทนายอันมากกว่าโจวเจ๋อยี่สิบสามสิบปี
“ตอนนั้นทั่วประเทศนิยมชี่กงกันมาก ปรมาจารย์ชี่กงนับว่าเป็นผู้ที่มีความรู้ความชำนาญสูงส่ง ชาวบ้าน พ่อค้าหาบเร่ ขุนนางระดับสูงหรือคนยศฐาสูงศักดิ์ ต่างก็เชื่อเรื่องนี้ เดิมทีมีบางคนไม่เชื่อ แต่ทนคำโฆษณาชวนเชื่อไม่ไหว แล้วจึงเชื่อ ฮิๆ จำได้ว่าในร้านหนังสือของคุณมีนิยายกำลังภายในไม่น้อย ก่อนหน้านั้นผมว่างๆ ก็จะเปิด…”
โจวเจ๋อไม่เคยอยู่ในยุคนั้น แต่เรื่องที่เอาหม้อไว้บนศีรษะ เขารู้อยู่บ้าง ดูเหมือนจะเป็นการฝึกชี่กงอะไรสักอย่าง ใส่หม้อแล้วจะสามารถรับสัญญาณจากมนุษย์ต่างดาวได้
เมื่อก่อนโจวเจ๋อเคยดูภาพภาพหนึ่ง ในภาพเป็นห้องโถงใหญ่แห่งหนึ่ง มีคนนั่งเต็มไปหมด บนศีรษะของทุกคนล้วนมีหม้อหนึ่งใบเพื่อฝึกชี่กงด้วยกัน ซึ่งยากที่จะจินตนาการได้ นั่นเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในยุค 90 คนในยุคนั้นกลับกลายเป็นคนโง่เขลาอย่างไม่น่าเชื่อ
“จริงๆ แล้วก็พอกัน ไม่ต่างกันมากจริงๆ” ทนายอันไม่รู้ว่านึกถึงอะไร ทันใดนั้นจึงพูดขึ้นมาด้วยความปลงอนิจจังจากนั้นยื่นมือขอบุหรี่จากโจวเจ๋อ โจวเจ๋อจึงทิ้งซองบุหรี่เปล่าไปบนพื้น
ทนายอันมองไปที่เด็กผู้ชายแล้วพูดว่า “เด็กน้อย ไปซื้อบุหรี่หน่อย”
เด็กผู้ชายเหลือบตามองทนายอันด้วยแววตาเย็นชา ทนายอันเม้มปากทันที
โจวเจ๋อหยิบเงินออกมาจากกระเป๋าสตางค์ แล้วยื่นให้เขา “บุหรี่จงหวา”
เด็กผู้ชายรับเงินมาแล้วออกไป
“เอ๊ะ” ทนายอันเบ้ปาก จากนั้นทนายอันจึงยื่นมือชี้ไปที่ศีรษะแล้วเอ่ยว่า “คุณคิดว่าไม่มีคนเข้าใจว่าพวกนี้คือการหลอกคนเหรอ คุณคิดว่าตอนนั้นทุกคนเป็นคนโง่เหรอ โดยเฉพาะตอนที่อเมริกาขึ้นไปเหยียบดวงจันทร์ตั้งแต่เมื่อหลายสิบปีก่อนแล้ว ทุกคนยังจะเชื่อชี่กงกันอยู่เหรอ”
โจวเจ๋อส่ายหน้า
“จริงๆ แล้วคนฉลาดไม่ยอมออกมาพูด และไม่กล้าพูด เพราะว่าใครพูด คนนั้นก็จะโดนคลื่นซัดล้มระเนระนาด ปัญหาใหญ่สุดของคนฉลาดคือพวกเขารักชีวิต ข้อดีที่สุดของคนฉลาดคือพวกเขารู้ว่าตอนไหนควรปล่อยให้ตัวเองเป็นคนโง่ จริงๆ แล้ว คล้ายกับนรกในตอนนี้มาก มีหลายคนที่รู้ปัญหาของนรก ยมทูตที่อยู่ข้างล่างก็เริ่มมีจิตใจว้าวุ่น หาที่พึ่งได้ก็หา ทำงานลักลอบได้ก็ทำ
แต่ไม่มีใครกล้าพูดออกมา และไม่มีใครกล้าตะโกนออกมา ทุกคนต่างอยู่ในตึกสูง แต่ทุกคนกำลังรอว่าตึกนี้จะพังลงเมื่อไร วันที่มันพังลงมา คนที่อยู่บนดาดฟ้าพร้อมระเบียงดอกไม้ สามารถนั่งเฮลิคอปเตอร์ออกไปได้เลย คนที่อยู่ในตึกส่วนใหญ่ต้องตายกันหมด แต่ทุกคนเลือกที่จะนั่งรอความตาย ไม่อยากกลายเป็นคนนั้นที่ตึกยังไม่พังทลายก็ถูกจับโยนทิ้งนอกหน้าต่างตายก่อนแล้ว”
“ไม่มีสักคนเลยเหรอ” โจวเจ๋อสงสัยอยู่บ้าง
“มี” ทนายอันส่ายหน้า วันนี้เขาพูดเยอะพอสมควร กระทั่งเผยเรื่องราวในอดีตที่ตัวเองไม่คิดอยากจะพูดออกมา “ตอนแรก ผมก็ช่วยพวกเขาส่งข่าว จึงเกิดเรื่อง” ทนายอันเม้มปาก “ยมโลกมีกฎระเบียบ กฎแห่งความตายไร้ความปรานี” ทนายอันลุกขึ้น บิดเอวของตัวเอง จากนั้นจึงถอนหายใจ “ผมชอบประโยคนี้จริงๆ”
เด็กผู้ชายกลับมาแล้ว ถือบุหรี่อยู่ในมือและยังมีเงินทอน โจวเจ๋อแกะซองบุหรี่ หยิบให้ทนายอันหนึ่งมวน แล้วตัวเองก็เอามาคาบหนึ่งมวน
ทั้งสองคนจุดบุหรี่ตามๆ กัน สูบกันคนละหนึ่งที ทันใดนั้นก็วางบุหรี่ แล้วสบตากัน จากนั้นทิ้งบุหรี่ที่อยู่ในมือไปบนพื้นพร้อมกัน
เด็กผู้ชายเห็นดังนั้นจึงทำปากจู๋ ได้บุหรี่ปลอมเหรอ
“ข้าจะไปต่อว่าเขา” เด็กผู้ชายเก็บบุหรี่ที่โจวเจ๋อทิ้งลงไปบนพื้นขึ้นมา โจวเจ๋อสั่งสอนเขา วันหลังอย่าใช้ความรุนแรงบ่อยๆ ต้องรู้จักยับยั้งชั่งใจ เวลาเจอเรื่องอะไร ต้องพูดด้วยเหตุผล
“อืม” โจวเจ๋อพยักหน้า ทำท่าพอใจที่เด็กคนนี้สอนได้
เด็กผู้ชายพยักหน้า เตรียมจะเดินออกไป
“เดี๋ยวก่อน” โจวเจ๋อตะโกนเรียก
“หืม” เด็กผู้ชายหยุดเดิน
“พูดด้วยเหตุผล แล้วค่อยเตะขาหักหนึ่งข้างนะ”
………………………………………………………………………..