ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล - ตอนที่ 511 ต๋าจี่!
ตอนที่ 511 ต๋าจี่!
เถ้าแก่ร้านค้าแผงลอยที่อยู่หน้าโรงพยาบาลถูกคนตีจนขาหักหนึ่งข้าง ตำรวจมาแล้ว และยังเข้ามาถึงในห้องคนไข้ ตำรวจสามคนพูดกับเด็กผู้ชายใส่ชุดเด็กมีลายคล้ายตัวการ์ตูน ‘หลันเมาเถาชี่ (แมวฟ้าจอมซน)’
เมื่อดูจากลวดลายที่อยู่บนเสื้อผ้าก็รู้ว่าเสื้อผ้าชุดนี้มีความเชยมากแค่ไหน ดูเหมือนบริษัทนี้ใกล้จะเจ๊งแล้ว ครั้งที่แล้วที่โจวเจ๋อเห็นข่าวเกี่ยวกับหลันเมาคือถูกพนักงานแขวนป้ายทวงเงินเดือน
ตำรวจเผชิญหน้ากับเด็กคนหนึ่ง โจวเจ๋อเห็นชัดเจนว่ามีตำรวจคนหนึ่งมุมปากกระตุก จากคำให้การ เถ้าแก่ร้านแผงลอยบอกว่ามีเด็กอายุห้าหกขวบคนหนึ่งวิ่งมาที่ร้าน จับขาของเขาแล้วทุ่มลงไปบนพื้น ตัวเขาโดนเด็กยกขึ้นมาทั้งตัวแล้วทุ่มลงไปสองครั้ง
จากนั้นเด็กจึงใช้เท้าเหยียบขาข้างหนึ่งของเขาจนหัก ก่อนจะปัดมือแล้วเดินออกไป พยานที่เห็นในตอนนั้นมีเพียงเถ้าแก่เจ้าของร้านแผงลอยคนนี้เท่านั้น และก็ไม่มีกล้องวงจรปิดด้วย
ผู้เคราะห์ร้ายบอกว่าเด็กผู้ชายมาซื้อบุหรี่ปลอมจากร้านตัวเอง ดังนั้นจึงมาแก้แค้น!
ตำรวจรู้สึกว่าคนแจ้งความสมองน่าจะมีปัญหา เพราะเด็กที่อยู่ตรงหน้าน่ารักขนาดนี้ ดูแล้วไม่เหมือนคนร้ายเลยและยิ่งไม่ต้องพูดถึงจับขาของผู้ใหญ่แล้วทุ่มไปมา แต่เจ้าของร้านแผงลอยหน้าโรงพยาบาลยืนยันว่าตัวเองไม่ได้โกหก และไม่ได้พูดเกินจริง!
ไม่ได้พูดเกินจริง หรือว่าเด็กคนนี้เป็นผีดิบเหรอ ดูหลินเจิ้งอิงเยอะเกินไปหรือเปล่า
ทนายอันหยิบบัตรประจำตัวของตัวเองออกมา แล้วยื่นนามบัตรของตัวเอง เพื่อให้จบเรื่องนี้
สำหรับตำรวจระดับทั่วไป ทนาย แถมยังเป็นทนายที่มีสำนักงานทนายความ หากไม่จำเป็นก็ไม่อยากไปหาเรื่องจริงๆ นอกจากนี้คำให้การของผู้แจ้งความ ทำไมถึงได้มหัศจรรย์มาก!
ตำรวจกลับไปแล้ว อิงอิงถือน้ำซุปไก่ออกมา โจวเจ๋อกับทนายอันนั่งด้วยกันสองคน แล้วดื่มน้ำซุปไก่ อิงอิงยืนอยู่ข้างๆ คอยตักน้ำซุปให้โจวเจ๋อ ส่วนเด็กผู้ชายกลับนั่งอยู่บนเก้าอี้ที่ติดริมหน้าต่างห้องคนไข้ เขาทอดสายตามองออกไปข้างนอก นั่นคือทิศทางที่เธอจากไป
โจวเจ๋อชินชากับ ‘รักอันศักดิ์สิทธิ์’ ของเด็กผู้ชายคนนี้แล้ว ปล่อยเขาไปเถอะ เมื่อกินข้าวเสร็จ โจวเจ๋อสั่งให้อิงอิงไปทำเรื่องออกจากโรงพยาบาลล่วงหน้า วันพรุ่งนี้จะออกจากโรงพยาบาลแล้ว
เมื่ออยู่ในโรงพยาบาลมาระยะหนึ่ง ก็ควรจะกลับบ้านได้แล้ว หุ่นไล่กาแซ่อันออกมาจากห้องคนไข้ตอนกลางคืน เพื่อไปบอกลาหัวหน้าที่มี ‘นิสัยคล้ายกัน’ คนนั้น ตอนที่กลับมาใบหน้าของเขามีความเศร้าใจเล็กน้อย ถ้าใช้คำพูดของทนายอันคือ เธอคนนั้นเข้าใจความรู้สึกของคนอื่น ได้พูดคุยกับเธอแล้วสบายใจ ไม่อึดอัดเลย
ทุกคนตอนแรกอาจจะเป็นฟืนแห้งมาเจอไฟที่ร้อนแรง แต่พอคุยไปเรื่อยๆ จู่ๆ กลับพบว่ายิ่งชื่นชอบความสัมพันธ์ที่บริสุทธิ์ ก็เลยไม่พูดถึงการมีความสัมพันธ์ทางร่างกายอะไร โบราณจริงๆ
การตอบสนองต่อเรื่องนี้ของโจวเจ๋อคือเปิดเสียงข่าวที่ออกอากาศในทีวีให้ดังขึ้น ไม่มีการพูดจากันตลอดคืน พอถึงตอนเช้าวันถัดมา ทุกคนออกจากโรงพยาบาล โจวเจ๋อเข้าไปนั่ง แต่กลับพบว่ารถไม่ว่าจะทำอย่างไรก็สตาร์ทไม่ติด
บางทีคราวที่แล้วขับมาที่โรงพยาบาลรีบเกินไป อาจจะไม่ได้ปิดใฟในรถ ในรถมีน้ำมันก็จริง แต่แบตเตอรี่หมด รถจึงสตาร์ทไม่ติด
โจวเจ๋อสั่งให้อิงอิงไปขอยืมแบตเตอรี่ในร้านซ่อมรถแถวนี้กลับมา เปิดฝากระโปรงแล้วชาร์จแบตเตอรี่ หลังจากรอรถสตาร์ทติดแล้ว จึงสั่งให้อิงอิงเอาไปคืน จากนั้นทั้งสี่คนก็ได้ขึ้นรถเดินทางกลับในที่สุด
โจวเจ๋อกับทนายอันขับรถกันอยู่สองคนตลอดทั้งวันจึงกลับมาถึงทงเฉิง เนื่องจากทั้งสองคนมีร่างกายที่อ่อนแรง ดังนั้นจึงสลับกันขับรถ
ตอนที่โจวเจ๋อขับรถ ทนายอันอยู่ด้านหลังนั่งซบเด็กผู้ชายเพื่อนอนกลางวัน ตอนที่ทนายอันขับรถ โจวเจ๋อก็นอนหนุนตักของอิงอิงเพื่อพักผ่อน
จนถึงร้านหนังสือ ก็เป็นเวลาหนึ่งทุ่มแล้ว ตอนที่ลงจากรถ พวกเขาเห็นนักพรตเฒ่ากำลังหอบกระดาษถ่ายเอกสารปึกหนึ่งออกมาจากร้านหนังสือ กำลังจะล็อกประตู เมื่อเห็นเถ้าแก่กลับมาแล้ว จึงไม่ได้ล็อกประตู
เมื่อถามว่าเขาจะไปไหน เขาบอกว่าเด็กในเขตภูเขาขาดหนังสือแบบฝึกหัด เขียนจดหมายมาหาเขา เขาจึงไปถ่ายเอกสารมาบางส่วนเพื่อจะส่งไปรษณีย์ด่วนไปให้เด็กๆ ทำแบบฝึกหัด
“สมองของเขามีปัญหาเหรอ ค่าถ่ายเอกสารบวกค่าไปรษณีย์ด่วน สู้ซื้อแบบสำเร็จรูปยังจะดีกว่า…แหม ผมว่านะเถ้าแก่ คงไม่ใช่เพราะ…”
โจวเจ๋อตกตะลึงเล็กน้อย แล้วส่ายหน้าพูดว่า “เป็นไปไม่ได้มั้ง” ถ้าเป็นแบบนั้น คงเหลวไหลเกินไป
เถ้าแก่กลับมาแล้ว แต่ในร้านหนังสือไม่มีพิธีต้อนรับใดๆ และที่น่าแปลกใจที่สุดคือ แม้แต่คนทำกับข้าวก็ไม่อยู่เดิมทีคิดว่ากลับถึงบ้านแล้วจะได้กินข้าวอร่อยสักมื้อ
เขาจึงหยิบโทรศัพท์ออกมาโทรหาเหล่าสวี่ เหล่าสวี่บอกว่าเขาอยู่ร้านข้างๆ ทั้งยังบอกว่าเดดพูลแบกหญิงสาวตัวดำออกไปหาดินกับปุ๋ยแล้ว
โจวเจ๋อเดินออกไปข้างนอกสองสามก้าว หากดูจากรูปแบบแล้ว ด้านซ้ายของร้านหนังสือเป็นร้านขายยา นั่นก็นับว่าเป็นธุรกิจของโจวเจ๋อ ด้านขวาของร้านหนังสือคือร้านขายเสื้อผ้า แต่สองปีนี้เปลี่ยนคนไปสองรุ่นแล้ว สองสามปีนี้ธุรกิจขายเสื้อผ้าไม่ค่อยน่าทำจริงๆ และที่นี่ก็ค่าเช่าแพง
ทนายอันกับโจวเจ๋อเดินออกมาด้วยกัน มองไปด้านข้างแล้วพูดอย่างโอเวอร์ว่า “ข้อเสนอของคุณเหรอ”
โจวเจ๋อส่ายหน้า
“ก็จริง เหมาร้านข้างๆ ทุบให้ทะลุหากัน แล้วปลูกผัก ไม่ว่าคิดยังไงก็ดูโอเวอร์มาก”
“เป็นข้อเสนอของคุณ” จู่ๆ โจวเจ๋อก็เอ่ยขึ้น
“อะไรนะ” ทนายอันตกตะลึง
“ไหนคุณบอกว่ากลับไปจะหาที่ดินที่เหมาะสมให้สาวน้อยตัวดำปลูกดอกพลับพลึงแดงให้พวกเราไม่ใช่เหรอ ผมก็หาให้คุณแล้ว”
“เดี๋ยวนะ เถ้าแก่ คุณรอก่อน” ทนายอันยื่นนิ้วชี้ไปที่จมูกของตัวเองแล้วเอ่ยว่า “ผมออกเงินเหรอ”
“ใช่แล้ว”
“เถ้าแก่ นี่มัน…”
“คุณน่าจะมีเงินพอ”
“แต่ว่า นี่…”
“ของที่ปลูกออกมา คุณก็ได้กินเหมือนกัน จริงๆ แล้วถ้าจะปลูก ก็ต้องให้อยู่ในสายตาของพวกเรา ไม่อย่างนั้นใครจะมีเวลาไปจ้องมันทุกวัน”
“เถ้าแก่ คุณเปิดร้านหนังสือในย่านธุรกิจที่ค่าที่ดินแพงมากก็มีชื่อเสียงมากพอแล้ว ถ้าผมเหมาร้านใหญ่ข้างๆ ไม่ต้องทำอะไรแค่ปิดร้านปลูกผักก็พอ ผมจะไม่ยิ่งกว่าคุณ…”
“ผมถามมาแล้ว ดอกพลับพลึงแดงไม่ต้องการแสงแดด”
“เอ่อ…” ทนายอันลังเลเล็กน้อย แต่ก็ยังพยักหน้า ถือว่าตกลงแล้ว
เงิน เขามี เป็นทนายความทำเงินได้เยอะจริงๆ
แน่นอนว่า พวกทนายความที่ได้รับการยืนยันตัวตนในเวยป๋อที่ชอบโพสต์ข้อคิดเห็นแปลกใหม่น่าทึ่งเพื่อสร้างความแตกต่าง ส่วนใหญ่เป็นพวกที่มีความลำบากมากกว่า
ในเมื่อโจวเจ๋อต้องการ ทนายอันจึงต้องตกลง หาเงินก็เพื่อทำให้ตัวเองสบายขึ้นไม่ใช่เหรอ ดูเหมือนจะไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าการแก้ปัญหาเรื่องปากท้องแล้ว
“แต่ เหล่าสวี่ทำไมยังเจรจาอยู่ งั้นเอาแบบนี้ ผมจะไปดู”
“ได้ ถ้าอย่างนั้นเถ้าแก่ก็ไปดูเถอะ ผมจะไปชงกาแฟดื่ม ไม่ได้ดื่มมันนานแล้ว คิดถึงเหลือเกิน”
มองเงาหลังที่ตื่นเต้นดีใจของทนายอันแล้ว โจวเจ๋ออยากจะเตือนเขาว่าถ้าหากดื่มต่อไป จะอยู่ห่างจากโรคนิ่วในไตไม่ไกลแล้ว แต่พอคิดดูแล้ว ไม่พูดดีกว่า นี่ก็เหมือนกับคนสูบบุหรี่มีกี่คนที่ไม่รู้ว่า ‘สูบบุหรี่ทำลายสุขภาพ’
โจวเจ๋อเดินมาข้างๆ ร้านเสื้อผ้ายังเปิดอยู่ แต่ไม่ค่อยมีลูกค้า โจวเจ๋อเดินเข้าไปดูหนึ่งรอบ แต่ก็หาสวี่ชิงหล่างไม่เจอ พอถามพวกเขาว่าเห็นผู้ชายหน้าตาสวยคนหนึ่งไหม พวกพนักงานในร้านพอจำได้บ้าง บอกว่าเถ้าแก่ของพวกเธอรวมทั้งเขาแล้วก็ใครอีกคนหนึ่งที่อยากขอเช่าต่อจากเถ้าแก่ออกไปด้วยกันแล้ว
เหล่าสวี่หลอกเขาเหรอ คำถามคืออยู่ข้างๆ แค่นี้ อีกฝ่ายกลับหลอกเขาเหรอ เป็นเพราะว่าอีกฝ่ายรู้สึกว่าถึงแม้จะอยู่ข้างๆ ห่างกันแค่เล็กน้อย แต่เขาก็ขี้เกียจมาถามเพื่อวิเคราะห์ข้อเท็จจริงเหรอ
โจวเจ๋อหยิบโทรศัพท์ออกมา คิดครู่หนึ่ง แต่เขาก็ไม่ได้โทรศัพท์ บังเอิญว่าตรงประตูร้านอินเทอร์เน็ตคาเฟ่ที่อยู่บนถนนฝั่งตรงข้าม ฉวีหมิงหมิงกับฉวีเจินเจินกำลังยืนอยู่ตรงนั้นทั้งสองคน
ดูเหมือนรถของฉวีหมิงหมิงจะมีปัญหานิดหน่อย สองคนพี่น้องจึงดูรถอยู่ตรงนั้น
“ข้าไม่อยากนอนกับเขา” เด็กผู้ชายโผล่มาอยู่ด้านหลังโจวเจ๋อตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้
“ครั้งหน้าเวลาเดิน ต้องใช้แรงหน่อย ต้องออกเสียงหน่อย อย่าจู่ๆ โผล่มาทำให้คนตกใจแบบนี้” โจวเจ๋อพูดอย่างไม่พอใจ
เด็กผู้ชายพยักหน้า เดินไปทางโจวเจ๋อสองสามก้าว ทุกก้าวที่เดินเป็นรอยเท้ายุบลงไป
“…” โจวเจ๋อ
“ช่างเถอะ ทำตัวปกติเหมือนเดิมดีกว่า แล้วแต่นายชอบ”
เด็กผู้ชายพยักหน้าอีก
“นายนอนกับเขาชั่วคราวไปก่อน เขาต้องการนาย” โจวเจ๋อย่อมรู้ว่าเด็กผู้ชายพูดถึงอะไร ตอนนี้ทนายอันมองเด็กผู้ชายเหมือนสิ่งล้ำค่า
“ให้ข้านอนเป็นเพื่อนเขา ได้ แต่ข้าอยากเจอนาง” เด็กผู้ชายเอ่ย
“ตอนนี้เธอไม่ใช่เธอ เป็นแค่เด็กที่อายุมากกว่านายสองสามปีเท่านั้น”
“ไม่ต้องพูดอะไร ขอแค่ได้มองนางไกลๆ ก็พอ ข้าจะรอนางตื่นขึ้นมา” เด็กผู้ชายยังคงดึงดัน
“อย่างนั้นตอนเย็นนายไปพูดกับคนที่นายต้องนอนด้วย สั่งให้เขาพานายไปหาเธอ ไม่อย่างนั้นก็ไม่นอนกับเขา”
เด็กผู้ชายตาเป็นประกายทันที เขารู้สึกว่าโจวเจ๋อพูดจามีเหตุผลมาก
“กลับมาแล้วเหรอ” เวลานี้ ฉวีหมิงหมิงและน้องที่อยู่ฝั่งตรงข้ามก็เห็นโจวเจ๋อที่ยืนอยู่ริมถนนแล้วเหมือนกัน
โจวเจ๋อจึงยิ้มทักทาย ฉวีเจินเจินเดินเข้ามา ยื่นมือลูบใบหน้าของเด็กผู้ชายแล้วเอ่ยว่า “น้องน่ารักจังเลยค่ะ”
เด็กผู้ชายไม่พูด โจวเจ๋อจำได้ตอนแรกฉวีเจินเจินตกใจกลัวอิงอิงจนเสียขวัญ ถ้าหากเธอรู้ว่าที่ตัวเองลูบเมื่อครู่เป็นผีดิบที่น่ากลัวกว่าอิงอิง…
“ได้ยินว่าคุณบาดเจ็บ ตอนเย็นผมจะตุ๋นอาหารยาให้คุณบำรุงเลือดครับ” เพื่อนนักเรียนฉวีหมิงหมิงกระตือรือร้นมาก
จริงๆ แล้ว หลายวันที่ผ่านมานี้ เขาคิดอยากจะคืนดีกับร้านหนังสือมาตลอด โดยเฉพาะหลังจากที่เริ่มยับยั้งความกลัวได้แล้ว ความปรารถนาที่จะคืนความสัมพันธ์แบบนี้ยิ่งรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ
โจวเจ๋อพยักหน้า ถือว่าเห็นด้วยแล้ว ไม่ว่าอย่างไรตอนเย็นก็ไม่มีคนทำกับข้าว ไม่สิ พ่อครัวสาวของฉันล่ะ
พอพูดถึงพ่อครัวสาว พ่อครัวสาวก็มา ตรงหัวมุมถนนด้านหน้า มีเงาร่างของชายหญิงคู่หนึ่งเดินออกมา
ผู้ชาย โจวเจ๋อมองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นสวี่ชิงหล่าง ผู้หญิง ดูแล้วอายุไม่น่าจะน้อยแล้ว อายุสามสิบปีเห็นจะได้
เหล่าสวี่มีแฟนแล้วเหรอ
“เจ้าผิดหวังเหรอ” เด็กผู้ชายเอ่ย
“หุบปาก”
“เจ้าผิดหวังมากจริงๆ”
“ลงโทษนายห้ามไปเจอเธอหนึ่งสัปดาห์”
เด็กผู้ชายหุบปากทันที
ความสนใจของเหล่าสวี่เหมือนจะถูกดึงดูดจากผู้หญิงที่อยู่ข้างๆ อย่างสิ้นเชิง จึงไม่เห็นว่าหน้าร้านหนังสือของตัวเองยังมีคนสนิทยืนอยู่ หลังจากเดินมาใกล้แล้ว สายตาของโจวเจ๋อจึงจ้องนิ่ง ผู้หญิงคนนั้น เขาเห็นหน้าตาของเธอชัดเจน เป็นหน้าตาที่คุ้นเคยมากที่สุด มีความคล้ายคลึงเป็นอย่างมาก!
“ต๋าจี่”
………………………………………………………………