ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล - ตอนที่ 527 ซนอีกแล้ว!
ตอนที่ 527 ซนอีกแล้ว!
โจวเจ๋อหันหน้าไปมองเตียงชั้นบนที่อยู่ถัดจากตัวเขา หญิงสาวยังคงถือโทรศัพท์มือถือและสวมหูฟังไว้คาหูเหมือนเดิม คล้ายกับกำลังดูซีรีส์เกาหลีอะไรทำนองนั้นอยู่ เธอหน้าตาละม้ายคล้ายกับน้องภรรยาถึงสามส่วน
อืม สามส่วนที่ว่าคือสวยเหมือนกัน
ความมืดมิดไร้แสงไฟก่อนหน้านี้บวกกับได้ยินประธานหยางกับนักศึกษาเหล่านั้นพูดคุยกันที่แผงขายปิ้งย่าง ทำให้รู้สึกว่าคนที่เหลืออยู่ในห้องพักที่มืดมิดเพียงลำพังอย่างโดดเดี่ยวเดียวดายจะต้องเป็นน้องภรรยาแน่ๆ
ในฐานะที่ตัวเขาเป็นผู้ชายคนหนึ่ง ถ่อมาถึงหอพักหญิงในยามวิกาล ทั้งกระชากผ้าห่มและเที่ยววิพากษ์วิจารณ์ขาเรียวยาวของคนอื่นในใจ นับว่าปล่อยไก่เสียจนหน้าแตกยับเยิน เปรียบได้กับตอนที่เขาโดนพ่นสเปรย์พริกตอนกลางวันได้เลยด้วยซ้ำ
ใครจะไปรู้ว่าตอนที่โจวเจ๋อหันกลับมามอง ผู้หญิงคนนี้ใช้เพียงสายตาที่ตั้งใจมองโจวเจ๋อเป็นพิเศษ ไม่ส่งเสียงร้องโวยวาย ไม่ก่นด่าเปิดเปิง ไม่ตื่นตระหนกตกใจแต่อย่างใด กระทั่งไม่แม้แต่จะขมวดคิ้วมุ่นเลยด้วยซ้ำ
ดูเหมือนว่าการเปิดไฟในห้องพักของน้องภรรยา ส่งผลต่อบรรยากาศการดูซีรีส์ของเธอเลยต้องตะแคงและหันหน้าเข้าด้านใน แต่ผ้าห่มที่โจวเจ๋อกระชากออกก่อนหน้าไม่ได้ห่มคลุมไว้ เมื่อหันไปรอบนี้จึงเผยส่วนเว้าส่วนโค้งมนงอนพร้อมกับขาเรียวยาวต่อหน้าโจวเจ๋อ แถมยังสั่นเล็กน้อยราวกับจงใจประท้วง
หากดวงจันทร์มืดมิดและลมกระโชกแรงในเวลานี้ เถ้าแก่โจวคงอดไม่ได้ที่จะฟาดลงไปสักเพียะ ให้คลื่นบนผืนน้ำทะเลกระเพื่อมซัดสาดอีกครั้ง แต่ใครใช้ให้น้องภรรยายืนอยู่หน้าประตูตอนนี้กันล่ะ แม้ว่าความสัมพันธ์ของเขากับหมอหลินจะใกล้ชิดก็ไม่ใช่จะห่างเหินก็ไม่เชิง และติดต่อกันน้อยมากๆ อีกต่างหาก แต่ก็ยังต้องรักษาหน้าตาต่อหน้าคนรุ่นหลังไว้ โดยเฉพาะคนที่เงียบสงบนิ่งอยู่บนเตียงนี้ยังเป็นเพื่อนร่วมชั้นควบรูมเมตของญาติผู้น้อยอีกด้วย
โชคดีที่น้องภรรยายืนอยู่ตรงหน้าประตูมองไม่เห็นทิวทัศน์ฤดูใบไม้ผลิที่เตียงชั้นบน
โจวเจ๋อเดินเข้ามาหาและพูดอย่างจริงจัง “ผ่านมาเลยแวะมาเยี่ยมเธอ รูมเมตเธอบอกว่าเธอไปอาบน้ำน่ะ”
“เหอะ…” เสียงคลุมเครือดังมาจากเตียงชั้นบน และไม่รู้ว่าคนคนนั้นจงใจทำหรือแค่ขำตอนดูซีรีส์อยู่กันแน่
“อ๋อ งั้นพวกเราลงไปเดินเล่นกันหน่อยไหม”
“ดีเลย”
ทั้งสองเดินออกจากหอพักพร้อมกัน ผมของน้องภรรยายังเปียกอยู่ เดิมทีเธออยากกลับไปหยิบไดร์เป่าผมที่หอพักเอาไปเป่าผมที่ห้องพักดื่มน้ำ หอพักจำกัดกำลังไฟฟ้า หากใช้เครื่องใช้ไฟฟ้ากำลังสูงไฟจะถูกตัด
“ไม่หนาวเหรอ” เถ้าแก่โจวรู้สึกว่าคืนนี้เขาพล่ามเรื่องไร้สาระมากไปหน่อย
น้องภรรยาไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้ ตรงกันข้ามกลับยิ้มและหันหน้าไปพินิจมองโจวเจ๋ออย่างละเอียดแล้วพูดขึ้น “บอกตามตรง จู่ๆ นายก็ถ่อมาเยี่ยมฉัน มันทำให้ฉันรู้สึกไม่ชินเอาเสียเลย”
เมื่อนานมาแล้วในอดีต ในสายตาของน้องภรรยาที่หัวดื้อซุกซนและป่าเถื่อน พี่เขยของตัวเองเป็นคนขี้ขลาดตาขาวมากคนหนึ่ง ไร้ความสามารถ ไม่มีวิสัยทัศน์ ไม่มีความกล้า ไร้อารมณ์ นอกจากหน้าตาดีแล้วก็ไร้ประโยชน์จริงๆ
ต่อมาน่าจะช่วงปีก่อนละมั้ง เหมือนพี่เขยนี่จู่ๆ ก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคน ชักสีหน้าใส่พ่อแม่ในบ้านแล้วก็ย้ายออกไปอยู่ในร้านหนังสือแล้ว นับตั้งแต่ไปที่นั่นก็ไม่กลับมาอีกเลย หลังจากได้สัมผัสไม่กี่ครั้ง พี่เขยคนนี้มักจะทำให้เธอเข้าใจผิดคิดว่าเปลี่ยนไปเป็นคนละคน
แต่คนคนนี้ สามารถเปลี่ยนไปได้เหรอ
“เครียดเรื่องเรียนมากไหม” โจวเจ๋อสูดลมหายใจเข้าลึก พล่ามเรื่องไร้สาระอีกประโยคแล้วสินะ
น้องภรรยายักไหล่ “หรือว่าพี่สาวฉันบอกอะไรกับนายใช่ไหม”
โจวเจ๋อพยักหน้า
“ตอนนี้ฉันไม่เป็นอะไรแล้ว มีความสุขมากทีเดียว จริงๆ นะ นั่นน่ะเป็นเรื่องเมื่อครึ่งปีก่อนที่ฝันร้ายอยู่เป็นประจำ ทรมานมาก แต่ตอนนี้ไม่แล้วละ”
“อ้อ งั้นก็ดีแล้ว”
“พรืด…” น้องภรรยาขำพรืด “นี่ นายแน่ใจนะว่าอยากจะวางท่าเป็นญาติผู้ใหญ่ตลอดเวลาน่ะ”
โจวเจ๋อก็หัวเราะออกมา เก้อเขินนิดหน่อย
“ว่าแต่ นายกับพี่สาวฉันเลิกกันแล้วใช่ไหม”
“ประมาณนั้นแหละมั้ง”
“งั้นนายก็ไม่นับว่าเป็นพี่เขยของฉันแล้วน่ะสิ”
“ประมาณนั้นแหละมั้ง”
“งั้นคืนนี้นายมาเยี่ยมฉันถึงที่นี่มีเรื่องอะไรงั้นเหรอ” น้องภรรยาแสดงสีหน้าระแวดระวังและทำท่าทางก้าวถอยหลังที่เกินจริง พร้อมเอามือไพล่หลังพูด “คงไม่ได้หวนรำลึกถึงตูดอีกครึ่งหนึ่งของนายใช่ไหม”
ช่างเป็นยุคที่เปิดกว้างเสียจริง
อันที่จริง เพื่อนร่วมชาติชายแท้หลายคนต่างมีประสบการณ์คล้ายๆ กัน จงใจเล่าเรื่องตลกลามกต่อหน้าเด็กสาว หวังว่าจะทำให้เด็กสาวตรงหน้าก้มหน้าเหนียมอายแล้ว ‘เชอะ’ ใส่ตัวเองและด่าว่า ‘อีตาบ้า’ แต่หลายต่อหลายครั้งที่สาวๆ ไม่ได้ก้มหน้าเขินอายในแบบที่คุณต้องการ แต่กลับตอบคุณด้วยมุกลามกจกเปรตยิ่งกว่า จนสุดท้ายทำให้คุณรู้สึกอาย ในฐานะผู้ชายคุณกลับก้มหน้าเขินอายก่อนด้วยซ้ำ
“ดูๆ แล้วเธอน่าจะไม่มีปัญหาอะไรแล้วนะ” โจวเจ๋อพูด
“ไอ้สวีเล่อบ้า สวีเล่องี่เง่า นายก็คิดว่าฉันป่วยด้วยใช่ไหมยะ!” น้องภรรยาพุ่งเข้ามาเตะโจวเจ๋อ แน่นอนว่าไม่แรง
จริงๆ แล้ว มีเรื่องหนึ่งที่น้องภรรยาไม่พูดมาโดยตลอด นั่นก็คือตั้งแต่คืนนั้นเป็นต้นมา เธอฝันร้ายมาโดยตลอดและปีศาจร้ายที่ปรากฏซ้ำแล้วซ้ำเล่าในฝันร้ายหน้าตาคล้ายสวีเล่อเอามากๆ มันตามไล่ล่าเธอ มันเขมือบเธอ เธอฝันอย่างเดียวกันนี้ทุกครั้งที่เข้านอน เธอวิ่งหนีกระเจิงทุกวัน นี่เกือบจะทำให้จิตใจของเธอเข้าสู่สภาพอ่อนแอและแตกสลาย
โชคดีที่เมื่อเวลาผ่านไปอาการแบบนี้ก็หายไปด้วย แต่ก็ยังฝันเห็นพี่เขยของตัวเอง เพียงแต่ว่าเขาไล่ตามเธอช้าลงเท่านั้นเอง
เนิ่นนานจนไม่รู้ว่าถูกข่มเหงมานานแค่ไหนแล้ว เธอเองก็ชินชาไร้ความรู้สึกไปแล้วเช่นกัน และไม่รู้ว่าช่วงของปัญหาทางจิตใจผ่านไปแล้วหรือยัง ความฝันก็เริ่มค่อยๆ เปลี่ยนไป
จากพี่เขยของเธอเขมือบเธอ ภาพก็ค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็น ‘กลืนกิน’ ตัวเธอ เธอรู้สึกอับอายอยู่ช่วงหนึ่ง ตื่นขึ้นมาทุกเช้ามองเห็นชุดเครื่องนอนของตัวเองแล้วก็รู้สึกละอายแก่ใจแทบตาย นี่ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่เธอไม่กล้าไปหาโจวเจ๋อที่ร้านหนังสืออีกในตอนหลัง แม้เธอจะรู้ว่าโจวเจ๋อเปิดร้านหนังสือที่ถนนหนานต้า แม้เธอจะเคยผ่านที่นั่นตอนไปซื้อของอยู่หลายครั้งก็ตาม แต่ก็ไม่ได้เข้าไป
ในจิตใต้สำนึก เธอรู้สึกว่าสภาพจิตใจและความคิดของเธอเพี้ยนไปแล้ว พี่เขยคนนี้ แม้ว่าจะหย่าร้างแล้วก็ตาม เขาก็ยังเป็นของพี่สาวอยู่ดี
เถ้าแก่โจวยังไม่รู้ว่าตัวเองถูกเด็กสาวข้างกายปู้ยี่ปู้ยำในความฝันอยู่หลายต่อหลายครั้งแล้ว เมื่อเห็นน้องภรรยาพูดคุยอย่างร่าเริงแล้ว ก็รู้สึกว่าความรู้สึกละอายแก่ใจลดลงไปไม่น้อยเลย
มหาวิทยาลัยมีชื่อเสียง ประกาศนียบัตรอะไรในอนาคตนั้นดูเหมือนจะสำคัญมาก แต่เมื่อเทียบกับสุขภาพร่างกายและจิตใจแล้วไม่คุ้มค่าที่จะเอ่ยถึงเลยด้วยซ้ำ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือยัยเด็กนี่ไม่ขาดแคลนเงินสักแดง ไม่แน่ว่าในอนาคตอันใกล้นี้ พ่อตาและแม่ยายของเขาอาจจะเล่นละครเอาเขยแต่งเข้าบ้านอย่างเขาให้น้องภรรยาอีกก็ได้
“จริงสิ อยู่ในมหาวิทยาลัยน่ะ อันไหนควรเล่นก็เล่น อันไหนควรเรียนก็เรียน กิจกรรมชมรมสมาคมนักศึกษาพวกนั้นน่ะ ก็ไม่ต้องไปเข้าร่วมมันหรอก”
“อย่าพูดเลย เมื่อกี้สมาคมนักศึกษาแล้วก็ประธานอะไรนั่น ยังให้รูมเมตของฉันโทรหาแล้วเรียกให้ฉันไปเจออยู่เลย ถ้าไปฉันก็บ้าแล้ว” น้องภรรยากลอกตา เห็นได้ชัดว่านิสัยของเธอก็เป็นอย่างนี้แหละ คนที่เธอมองแล้วขัดหูขัดตาก็คือขัดหูขัดตา ไม่พอใจอยู่วันยังค่ำ
“อืม” โจวเจ๋อไม่ได้บอกว่าประธานหยางนั่นเมื่อกี้ถูกเขาซัดหมอบไปยกหนึ่ง เขามักจะคิดว่านี่มันไม่สลักสำคัญอะไรพูดไปก็ไม่มีประโยชน์ คล้ายกับเด็กเหลือขอถ่อไปแย่งเอาความดีความชอบกับเด็กเหลือขออีกคนเสียอย่างนั้น
“จริงสิ กิจการร้านหนังสือของนายเป็นไงบ้าง”
“ขาดทุนอยู่”
“อ้อ ขาดทุนได้นานขนาดนี้ก็ไม่ง่ายเลยนะ พี่สาวฉันให้เงินนายอีกหรือเปล่า”
เดิมทีโจวเจ๋ออยากบอกว่า ‘ไม่เลย ไม่มีจริงๆ’ แต่มาคิดๆ ดูแล้ว ’ร้านขายยาประชาชน’ ที่อยู่ติดกับร้านหนังสือมีชื่อของเขาอยู่ด้วย ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากไม่พูดอะไร ถือเป็นการยอมรับกลายๆ
“นี่ พี่สาวฉันดีกับนายสุดๆ ไปเลยใช่ไหม”
“อืม”
ใจดีมีมนุษยธรรมช่วยเหลือกันสุดๆ ไปเลย พี่สาวเธอน่ะ แม้ว่าฉันจะตายแล้วยังคงเป็นห่วงเป็นใยฉัน อาลัยอาวรณ์ฉันแทบตาย เฝ้าห่วงหาจนฉันมีชีวิตอีกครั้ง
พอคิดมาถึงตรงนี้ จู่ๆ โจวเจ๋อก็อยากจะหัวเราะออกมา แม้ว่าจะกลั้นไว้แต่มุมปากของเขาก็ยังกระตุกยิกๆ จนน้องภรรยาสังเกตเห็นอยู่ดี
น้องภรรยาอึ้งงัน และรีบกุมท้องหัวเราะขึ้นมา “ให้ตายสิ นายยังภูมิใจในตัวเองได้อีกจริงๆ เหรอเนี่ย ไม่เคยเห็นคนจริงที่หน้าด้านไร้ยางอายเกาะผู้หญิงกินอย่างนายขนาดนี้มาก่อนเลย จริงเสียจนรู้สึกว่านายน่ารักหน่อยๆ นะเนี่ย”
“…” โจวเจ๋อ
“ดื่มชานมไหม”
“ดื่ม”
ทั้งสองคนเดินไปถึงหน้าร้านชานมที่เปิดในมหาวิทยาลัย และคนที่ทำงานในร้านก็ยังเป็นนักศึกษาอยู่
“ฉันเอารสเผือก สวีเล่อนายล่ะ”
“มัทฉะ”
ไม่นานชานมก็ทำเสร็จเรียบร้อย หนึ่งคนต่อชานมหนึ่งแก้ว ถือไว้ในมือและเดินเล่น คล้ายกับคู่รักในมหาวิทยาลัย
“จริงสิ สวีเล่อ พ่อฉันนอนโรงพยาบาลแหละ” น้องภรรยาเอ่ยพูด
“เป็นอะไรน่ะ”
น้องภรรยาชี้หน้าอก “โรคหัวใจ” จากนั้นก็พูดอีกประโยค “โกรธนายและพี่สาวฉันน่ะ”
“พี่สาวเธอไม่เคยบอกฉันเลย”
“อืม”
“งั้นฉันทำเหมือนไม่รู้แล้วกัน”
“อืม”
“เอาละ ฉันไปแล้วนะ ขอบใจสำหรับชานมของเธอด้วย”
“โอเค งั้นฉันก็จะขึ้นไปแล้ว อีกไม่กี่วันจะมีการแข่งขันสุนทรพจน์ภาษาอังกฤษน่ะ ยัยรุ่นพี่ปีสองคนนั้นคอยขอให้ฉันช่วยแก้ต้นฉบับให้ตลอด แย่ชะมัด เห็นๆ กันอยู่ว่าเธอเองก็มีแฟนหนุ่มต่างชาติ แต่ก็ไม่ไปขอให้แฟนหนุ่มของเธอเขียนให้”
“รุ่นพี่คนนั้น แซ่สวีใช่ไหม”
“ใช่น่ะสิ นายรู้จักเหรอ”
“เธอเกลียดอีกฝ่ายหรือไง”
“ใช่ แถมชอบมาขวางประตูหอพักแบบนั้นยากจะปฏิเสธ อยากให้เธอหายตัวไปเลยจริงๆ”
‘เป๊าะ!’ โจวเจ๋อดีดนิ้ว “เอ้านี่ เธอหายตัวไปแล้ว”
“อุ๊บส์!” น้องภรรยาเกือบจะพ่นชานมออกมา ขำพลางดุว่า “สวีเล่อ นายคิดว่านายเป็นปีศาจหรือไง บอกให้คนหายไปก็จะหายไปน่ะ”
โจวเจ๋อพยักหน้าพูด “ฉันเป็นยมทูตไง มีหน้าที่รับผิดชอบพรากวิญญาณคนออกไปโดยเฉพาะ มันเป็นงานหลักของฉันอยู่แล้วนี่นา”
“พอแล้วๆ ยิ่งพูดยิ่งเลอะเทอะไปกันใหญ่แล้ว”
“เฉินหย่านั่นไม่พรากวิญญาณของเธอไปด้วยเหรอ”
จู่ๆ น้องภรรยาก็เข้าใกล้โจวเจ๋อจนหน้าแทบจะชิดติดกับเขาแล้ว
“เฮอะ ฉันจะบอกอะไรนายให้ นายไม่ได้หย่ากับพี่สาวของฉันหนึ่งวัน ก็เท่ากับนายยังเป็นผู้ชายของพี่สาวฉัน อย่างน้อยๆ ก็ในนามและตามกฎหมายมันเป็นแบบนี้ อย่าคิดว่าเมื่อกี้ฉันไม่เห็นนะ ตอนเข้ามาก็เห็นนายยืนอยู่ข้างเตียงแถมจ้องมองคนอื่นเขาตาเป็นมันเต็มสองตาอีกต่างหาก!”
อ้าว ถูกเธอจับได้แล้ว
“แต่ว่าถึงยังไงนายกับพี่สาวฉันก็ดูเหมือนพร้อมจะหย่ากันทุกเมื่อเชื่อวันอยู่แล้ว จะมีความคิดแบบนี้บ้างมันก็เป็นเรื่องอารมณ์ธรรมดาของมนุษย์ หรือว่าฉันจะเอาไอดีวีแชตของเธอให้นายดี เอาไหม” จู่ๆ น้องภรรยาก็ถามอย่างจริงจัง
โจวเจ๋อยิ้มพลางเอ่ยว่า “เอาสิ เธอเองก็รู้ พี่สาวเธอออกจะแกร่ง ฉันไม่รู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้ชายตอนอยู่ต่อหน้าเธอเลย ไม่รู้สึกถึงการมีตัวตนอยู่ ไม่มีศักดิ์ศรีเอาเสียเลย…”
ระหว่างที่พูดอยู่นั้น จู่ๆ น้องภรรยาก็ผงะไปด้านข้างและตะโกนไปด้านหลังโจวเจ๋อ “พี่คะ!”
“…” โจวเจ๋อ
………………………………………………………….