ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล - ตอนที่ 539 หนึ่งแก้ว
ตอนที่ 539 หนึ่งแก้ว
ทนายอันขับรถไปซื้อพลั่วและของอื่นๆ บางส่วนที่อำเภอในละแวกใกล้เคียง หลังจากกลับมาก็เริ่มขุด โจวเจ๋อนั่งยองๆ สูบบุหรี่ ดื่มน้ำอยู่ข้างๆ และไม่มีใจอยากจะลงไปช่วยเลยแม้แต่น้อย ทนายอันก็ไม่บังคับเขา
แรงของทนายอันเยอะมาก ใช้เวลากว่าครึ่งบ่ายขุดหลุมขนาดใหญ่สูงเท่าคนเพียงคนเดียว
“ยังต้องขุดอีกเหรอ ผมดูแล้วยังเหนื่อยแทนเลย” โจวเจ๋อที่นั่งยองๆ อยู่ข้างๆ พูดขึ้น
“ที่ผมฝังน่ะไม่ใช่พวกเขาหรอก แต่ฝังอดีตของผมต่างหาก” ทนายอันเช็ดเหงื่อ ขุดต่อไปเรื่อยๆ ไม่ได้หยุดพัก ถ้าขุดหลุมให้คนอื่นจะต้องคิดอยากขี้โกงทำลวกๆ ทำแบบเช้าชามเย็นชาม แต่ขุดหลุมให้ตัวเองก็ต้องทำให้ตัวเองสบายๆ สักหน่อยสิ นอนอยู่ในนั้น ทั้งมือทั้งเท้าก็สามารถเหยียดออกโดยไม่ต้องทนฝืนคุดคู้
เถ้าแก่โจวเพิ่งเข้าวงการนี้ได้ไม่นานเท่าไร แถมเส้นทางก็ค่อนข้างแปลกแถมเป็นหลุมเป็นบ่อ ต่างจากทนายอันที่เป็นเจ้าหน้าที่ในยมโลกยาวนานกว่าที่ตัวเองใช้ชีวิตบนโลกมนุษย์ในชาติก่อนเสียด้วยซ้ำ
อันที่จริงจุดสำคัญของชีวิตได้เปลี่ยนไปเมื่อนานมาแล้ว เฉกเช่นเดียวกับจวงเซิงเสี่ยวฝันถึงผีเสื้อ แม้จะบอกว่าถูกเพิกเกียรติถอดสถานะ แม้ว่าจะเคยถูกยมโลกไล่ฆ่าจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด แต่ยมโลกทำร้ายหลายพันครั้ง ก็ยังรักและปฏิบัติต่อยมโลกประหนึ่งรักแรกพบอยู่ดี ที่ฝังลงไปนั้นเป็นตาเฒ่าลู่ผิงจื๋อ แต่สิ่งที่ถูกฝังจริงๆ เป็นความรู้สึกจากก้นบึ้งหัวใจของทนายอันที่มีต่อช่วงเวลาที่เขายังอยู่ในระบบต่างหาก
เทียนสองเล่ม เหล้าเหลืองสองถุงล้วนแล้วแต่แวะซื้อจากในอำเภอทั้งนั้น ไม่ใช่ของหรูหราราคาแพงแต่อย่างใด อันที่จริงก็ไม่จำเป็นต้องอลังการมากมาย งานศพน่ะเอาไว้ให้มนุษย์ดู แต่พวกเขาไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไป
ไม่มีแผ่นป้ายหน้าหลุมศพ หนึ่งเป็นเพราะลำบากเกินไป สองเป็นเพราะไม่มีความจำเป็น ต่อให้ตั้งใจสร้างแผ่นป้ายจะให้เขียนบนนั้นว่า ‘หลุมศพของลู่ผิงจื๋อ ขุนนางตำหนักเก้าแห่งยมโลก’ หรือไม่ก็ ‘สุสานรวมของตำหนักเก้าแห่งผิงเติ่งหวัง’ หรืออย่างไร
ไม่ว่าจะเขียนอย่างไรล้วนทำให้ผู้คนเห็นแล้วรู้สึกว่าเพ้อเจ้อ ถ้าวางไว้ข้างบนจริงๆ อาจจะโดนพวกที่เบื่อโลกผ่านมาแล้วขุดเล่นๆ ก็เป็นได้
เทียนไหม้ไปแล้วเกินกว่าครึ่ง เหล้าเหลืองก็ราดโรยหน้าหลุมศพ ทนายอันยืนอยู่เป็นเวลานาน ถึงได้หยิบสูทที่ถอดออกวางไว้ด้านข้างก่อนทำงานและพูดว่า “เถ้าแก่ กลับกันเถอะ”
ระหว่างทางกลับไป โจวเจ๋อเป็นฝ่ายขับรถ เพราะว่ามือของทนายอันถลอกจนเลือดไหลซิบ ปกติไม่ได้ทำงานหนักอะไร จู่ๆ ก็มาถือพลั่วอยู่ตลอดทั้งช่วงบ่ายต้องทนไม่ไหวอยู่แล้ว ทนายอันสูบบุหรี่ ดวงตาพร่ามัวเล็กน้อย โจวเจ๋อไม่ค่อยเห็นทนายอันตกอยู่ในสภาพนี้สักเท่าไร หดหู่เล็กน้อย เศร้าโศกเล็กน้อย แถมยังแฝงไปด้วยความสับสนและทำตัวไม่ถูกเหมือนกับลูกแกะหลงทาง
แบะ~~~~
ครั้งแรกที่เจอทนายอันก็ตอนอยู่ในรถของหมอหลิน ตอนนั้นโจวเจ๋อรู้สึกไม่พอใจเขาโดยสัญชาตญาณ จากนั้นกินข้าวด้วยกัน ทนายอัน ‘สั่งอาหาร’ ทั้งยังเอาบัตรให้โจวเจ๋อไปหนึ่งใบ ต่อมาก็ได้พบเจอกันที่ฉางโจว ทนายอันก็ไร้ยางอายเช่นเดิม แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร เขาก็กระตือรือร้นอยู่เสมอ ใฝ่สูงมาก เป็นคนเก่งเรื่องการบำรุงเลือดไก่[1]ให้คนอื่น และตัวเองต้องดื่มชามแรกก่อน เขาในตอนนี้กลับเป็นภาพที่พบเจอได้ยาก
“นี่ ยังเศร้าอยู่อีกเหรอ”
“เถ้าแก่ ตอนนี้ผมรู้สึกว่าผมเหมือนพนักงานที่ถูกปลดออกตอนปรับโครงสร้างรัฐวิสาหกิจเลย ตำหนักเก้า ตำหนักเก้าเลยนะ ให้ตายเถอะ คุณไม่เข้าใจหรอก เถ้าแก่คุณไม่เคยสัมผัสประสบการณ์แบบนี้ ศาลาว่าการที่สูงส่งจู่ๆ ก็พังทลายลง ในใจของผมมันรู้สึกว่างเปล่าเหลือเกิน”
“อืม”
“เมื่อก่อนในโรงงานมีอาหารและเครื่องดื่มให้ มีโรงเรียนประถมหรือแม้แต่โรงเรียนมัธยมในโรงงานให้ลูกๆ ได้เรียน เจ็บไข้ได้ป่วยก็สามารถเบิกเงินในโรงงานไปหาหมอ บ้านก็สามารถดูแลได้ อะไรก็ดูแลได้ทั้งนั้น จู่ๆ มีอยู่วันหนึ่ง คุณมาบอกผมว่าโรงงานจะปิดตัวลง ไม่มีอีกแล้ว คุณไม่มีใครดูแลแล้วจริงๆ
คนที่ยืนพูดโดยไม่ปวดเอว[2]กลับบอกกับคุณว่า คุณมีมือมีเท้าทำไมไม่ทำธุรกิจเองหรือไม่ไปทำงานเองล่ะ แม่ง พวกเขาไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าในตอนนั้นโรงงานมีความหมายกับพวกเรายังไง มันไม่ใช่แค่การทำงานหรือแค่ข้าวชามหนึ่ง แต่มันคือชีวิต คือความเชื่อและศักดิ์ศรี ในใจของผมตอนนี้มันว่างเปล่าเหลือเกิน”
“แค่หายไปตำหนักหนึ่ง ยังเหลืออีกเก้าตำหนักไม่ใช่หรือไง”
“นี่มันไม่ใช่การกินซาลาเปา กินไปลูกหนึ่งแล้วยังเหลืออีกเก้าลูก ภัยซ่อนเร้นเล็กๆ นำไปสู่หายนะครั้งใหญ่ หายไปหนึ่งเหลือเพียงเก้า อันที่จริงมันถูกสั่นคลอนแล้ว ทั้งยมโลก ทั้งนรก ฟ้ากำลังจะเปลี่ยนไปจริงๆ เมื่อก่อนผมนึกว่ามันเป็นแค่ลมพัดมาโดยตลอด ใครจะไปรู้ว่าฟ้าจะถล่มลงมา”
“ก็ได้ งั้นคุณคร่ำครวญต่อไปเถอะ”
“จริงสิ” ทนายอันส่ายหน้าพลางเอ่ย “อีกเดี๋ยวผ่านสถานีเซี่ยวซีตรงนั้นหน่อยนะ ไปรับเจ้าผีดิบน้อยน่ะ”
“ดึกขนาดนี้แล้วเขายังไม่เลิกเรียนอีกเหรอ”
“หวังหรุ่ยสมัครเรียนเปียโนไม่ใช่เหรอ หลังเลิกเรียนไปเรียนเปียโนทุกวัน ผมก็สมัครเรียนให้เขาด้วยซะเลย”
“เหอะๆ”
“ผมยังซื้อเปียโนให้เขาอีกต่างหาก คาดว่าน่าจะมาถึงในร้านวันพรุ่งนี้”
“คุณช่างทุ่มทุนเสียจริง”
“ไม่ใช่ปัญหาเรื่องทุ่มทุนหรือไม่ทุ่มทุนหรอก ในฐานะพนักงานที่ถูกเลิกจ้างไร้ที่พึ่งพิง ตั้งตารอคอยจะได้นอนหลับฝันดีในตอนกลางคืน คำขอนี้ไม่มากไปใช่ไหม”
“ไม่หรอก”
“หลังกลับไปแล้ว ผมจะลองติดต่อสอบถามสถานการณ์เบื้องล่างดู เถ้าแก่ คุณรู้ไหมว่าสิ่งที่ทำให้ผมตื่นตระหนกที่สุด จริงๆ แล้วไม่ใช่เรื่องตำหนักเก้าสูญสิ้นไปหรอก”
“งั้นเรื่องอะไร”
“ตำหนักเก้าสูญสิ้นแล้ว แต่ผมกลับไม่ได้ยินข่าวคราวอะไรเลยสักนิด นี่ถึงจะเป็นสิ่งที่น่ากลัวที่สุด”
โจวเจ๋อพยักหน้า
“ถ้าเป็นอย่างนี้แล้ว ไม่ถูกต้อง มันไม่ถูกต้อง ผมขอนึกย้อนก่อน เดี๋ยวนะ…” จู่ๆ ทนายอันก็นึกอะไรออกจึงรีบหลับตาเริ่มครุ่นคิดทันที ไม่นานนักเขาก็ตบหน้าขาตัวเองฉาดหนึ่งและอุทานขึ้น “ให้ตายเถอะ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง!”
“ผมขับรถอยู่” โจวเจ๋อเอ่ยเตือน “ถ้าคุณยังทะเล่อทะล่าตกใจแรงขนาดนี้อีก หลังรถชนพวกเราก็ไม่ต้องไปถามแล้ว สามารถลงไปตามหาคำตอบได้เองเลย”
“ไม่ใช่ เถ้าแก่ ผู้พิพากษาที่จัดฝึกอบรม ขะ เขา เขาแซ่ลู่!”
“หือ” โจวเจ๋อชะงักไปที “เกี่ยวอะไรกับตำหนักเก้า”
ตำหนัก[3]แรก พระยมฉินกวงหวังแซ่เจียง ตำหนักสอง พระยมฉู่เจียงหวังแซ่ลี่ ตำหนักสาม พระยมซ่งตี้หวังแซ่อวี๋ ตำหนักสี่ พระยมอู่กวนหวังแซ่หลี่ว์ ตำหนักห้า พระยมเหยียนหลัวเทียนจื่อแซ่เปา ตำหนักหก พระยมเปี้ยนเฉิงหวังแซ่ปี้ ตำหนักเจ็ด พระยมไท่ซานหวังแซ่ต่ง ตำหนักแปด พระยมตูซื่อหวังแซ่หวง ตำหนักเก้า พระยมผิงเติ่งหวังแซ่ลู่ ตำหนักสิบ พระยมจ่วนหลุนหวังแซ่เซวีย
แต่ละตำหนักมีเขตอำนาจและส่วนรับผิดชอบของตนเอง ตัวอย่างเช่น ตำหนักแรก พระยมฉินกวงหวังแซ่เจียงมีหน้าที่ตรวจสอบบัญชีวิญญาณและพิจารณาโทษของแต่ละดวงวิญญาณ หากวิญญาณใดบุญกุศลสูงก็จะส่งไปสวรรค์ แต่พระยมผิงเติ่งหวังแซ่ลู่แห่งตำหนักเก้าดูแลเมืองเฟิงตู ขณะที่ปราบปรามวิญญาณชั่วร้ายในนรกก็ยังรับผิดชอบลงโทษทัณฑ์ไปพร้อมๆ กัน
อันที่จริง แต่ละตำหนักเปรียบได้กับเจ้าครองนครที่ปกป้องดูแลเขตแดนหนึ่งในสมัยโบราณ และ ‘สุนัขรับใช้ใต้ประตู’ ของพระยมแต่ละตำหนักที่เรียกว่าข้าราชการอำมาตย์ นอกเหนือจากกรณีพิเศษ จริงๆ แล้วส่วนใหญ่จะเปลี่ยนแซ่ตัวเองให้เหมือนกับแซ่ของราชาในแต่ละตำหนัก ซึ่งความหมายคล้ายกับทาสในเรือนสมัยโบราณ ดังนั้นชายชรานามลู่ผิงจื๋อเป็นการใช้ตามแซ่ของพระยมผิงเติ่งหวัง
“ผมจำได้แล้ว ผู้พิพากษาผู้นั้นออกมาจากตำหนักเก้าในปีนั้นนี่เอง” ทนายอันพูดไปพูดมาก็ยิ่งเริ่มร้อนรนมากขึ้นเรื่อยๆ คว้าไหล่ของโจวเจ๋อด้วยมือทั้งสองข้างและเริ่มเขย่าพลางกัดริมฝีปากแน่น
โจวเจ๋อจำต้องจอดรถริมถนน
“เถ้าแก่ เป็นไปได้มาก เป็นไปได้เหลือเกิน เป็นไปได้ว่าการอบรมครั้งนี้ จริงๆ แล้วผู้พิพากษาผู้นั้นอาจจะรับผิดชอบการจัดระเบียบตำหนักเก้าทั้งหมด!” ทนายอันสูดหายใจเข้าลึกๆ หอบหายใจ สูดหายใจ หอบหายใจอย่างต่อเนื่อง
“นี่ คุณอยากไปวัดความดันโลหิตหน่อยไหม”
“ต้องใช่ ต้องใช่แน่ๆ ลู่ผิงจื๋อนั่นน่าจะขึ้นมาได้สักพักแล้ว รวมกับข่าวคราวการฝึกอบรมของผู้พิพากษาอีกก็ใกล้แล้ว ใกล้แล้ว ตำหนักเก้าสูญสิ้น แต่นรกปิดข่าว ราชาตำหนักอื่นๆ จะต้องจัดระเบียบและสร้างมันขึ้นมาใหม่แน่ๆ แม้จะไม่รู้ว่าทำไมมันถึงถูกทำลายได้ แต่น่าจะไม่ผิดแน่ๆ ครั้งนี้เป็นการอบรมฝึกซ้อมในนาม แต่ความเป็นจริงแล้วน่าจะเป็นการประเมินและเลือกกำลังสำคัญเอง เมื่อถูกเลือกและถูกคัดเลือกแล้วมีแนวโน้มว่าจะกลายเป็นกระดูกสันหลังแกนกลางของตำหนักเก้าที่สร้างขึ้นใหม่!”
“แล้วไงต่อ”
“จากนั้น จากนั้นเลื่อนขึ้นตำแหน่งสูงๆ โดยไม่เปลืองแรงไงเล่า เถ้าแก่คุณลองคิดดูนะ จากผู้กำกับสถานีตำรวจท้องที่ไปดำรงตำแหน่งในกระทรวงและคณะกรรมาธิการที่ปักกิ่ง นี่มันเฟื่องฟูขึ้นมาแค่พริบตาเดียว!”
“อันที่จริง ผมคิดว่าเป็นผู้กำกับสถานีตำรวจท้องที่ก็ค่อนข้างดีทีเดียว ไกลหูไกลตา…” ขณะที่โจวเจ๋อกำลังพูด ก็ไม่พูดต่อแล้ว เพราะเขาเห็นทนายอันกำลังมองมาที่เขาด้วยสายตาโศกเศร้าระคนโกรธเคืองที่เขาไม่รู้จักต่อสู้แย่งชิง
“เอ่อ…”
“เฮ้อ” ทนายอันถอนหายใจเฮือก ยื่นนิ้วชี้จิ้มไปที่ทรวงอกของโจวเจ๋อ
“…” โจวเจ๋อ
คุณปกติหน่อยได้ไหมเนี่ย
“เฮ้ ลูกพี่ใหญ่”
“คุณตะโกนเรียกใคร”
“ผมตะโกนเรียกเจ้านั่นไง” ทนายอันตอบ “ลูกพี่ใหญ่ ลองคิดดูนะ แม้ผมจะรู้ว่าคุณไม่เห็นไอ้สารเลวตำหนักเก้านี่อยู่ในสายตา และตำหนักเล็กๆ แบบนั้นก็เชิญคุณไปไม่ไหวเหมือนกัน แต่ว่านะ ลองคิดดูสิ มีวิญญาณชั่วร้ายถูกปราบปรามในเมืองผีเฟิงตูตั้งเท่าไร ยังมีอีกนะ ทุกช่วงเวลาทุกวินาทีในนรกล้วนมีวิญญาณที่จำเป็นต้องได้รับการลงโทษและทรมานถูกส่งไปลงทัณฑ์ทรมานที่นรกบริวารทั้งสิบหกขุมของตำหนักเก้า
คุณลองคิดดูสิ ถ้าคุณไปที่นั่น นอนนิ่งไม่เคลื่อนไหวอยู่ที่นั่นทุกวัน มีความสุขกลืนกินผีร้ายสักตน ไม่มีความสุขก็กลืนผีร้ายสักสองตน เบื่อไม่มีอะไรทำก็กลืนผีร้ายสักสามตน ใช้ชีวิตแบบนี้มันจะหอมหวานสักแค่ไหนกันนะ”
ทนายอันรู้ว่าโน้มน้าวโจวเจ๋อไม่ได้ ถึงได้วางแผนรายงานเจ้านั่นโดยตรง
ทนายอันช่างพยายามอุตสาหะจริงๆ เขาวิเคราะห์ทุกอย่างออกมาหมดแล้ว โอกาสอันยิ่งใหญ่อยู่ตรงหน้า ยมทูตตนอื่นๆ ไร้วิสัยทัศน์และข้อมูลเชิงลึกนี้ และเป็นไปไม่ได้ที่จะรู้ความลับนี้
“ตอนนี้เขาไม่ได้ยินสิ่งที่คุณพูดหรอก เขาเพิ่งออกมาก็เลยจะต้องนอนหลับไปอีกสิบวันหรือไม่ก็ครึ่งเดือน”
เอ่อ…” ทนายอัน
“อีกอย่าง เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะกลับนรกไปอย่างโจ่งแจ้ง และเป็นไปไม่ได้ที่จะไปกินอิ่มหนำสำราญในตำหนักเก้า เขาเป็นแค่หมาพูเดิลหยิ่งยโสตัวหนึ่งเท่านั้น ดุร้ายเมื่ออยู่ในบ้านแหกปากอยากปกครองฟ้า พอออกจากบ้านก็ขลาดเขลาแล้ว “
ทนายอันไม่กล้าต่อปากต่อคำแล้ว คำพูดนี้เถ้าแก่โจวพูดได้และล้อเลียนได้ เขาอันปู้ฉี่ไม่กล้าตอบหรอกนะ ไม่อย่างนั้นรอคราวหน้าถ้าเจ้านั่นตื่นขึ้น ไม่พูดพร่ำทำเพลงมาต่อยเขาเหมือนลู่ผิงจื๋อก่อนจะทำอย่างไร
เจ้านั่นเป็นคนอารมณ์ร้ายอีกต่างหาก
“ถ้าเรื่องที่เขายังมีชีวิตอยู่ถูกชนชั้นสูงในนรกรู้เข้าแล้วละก็” โจวเจ๋อพูดพลางยักไหล่ จากนั้นก็ “หึๆ”
“งั้นก็แล้วไป เถ้าแก่คุณก็ควรจะใช้ประโยชน์จากมันสักหน่อยเถอะ ไม่สิ เถ้าแก่หากคุณเข้าตาแล้วคนอื่นบังคับ…นั่นก็เป็นไปไม่ได้ อย่างคุณนี่ไม่มีหัวหน้าหรือผู้นำคนไหนอยากได้”
“…” โจวเจ๋อ
“งั้นกลับไปผมจะพูดกับเหล่าจางให้มากหน่อยแล้วกัน ดูว่าจะสามารถฝึกอบรมอย่างรวดเร็วได้ไหม สิ่งแรกที่ต้องทำเลยก็คือปรับความคิดและทัศนคติของเหล่าจางก่อนเลย ประชาชนในโลกมนุษย์คือประชาชน ประชาชนที่ตายแล้วก็ไม่ใช่ประชาชนแล้วเหรอ ผมจะบอกเขา ประชาชนในนรกกำลังรอคอยให้เขาไปช่วย!”
………………………………………………….
[1] เลือดไก่ ในสมัยก่อนเชื่อว่าใครได้ฉีดเลือดไก่เข้าไปหนึ่งเข็มจะขับไล่โรคร้ายและร่างกายแข็งแรง
[2] คนที่ยืนพูดโดยไม่ปวดเอว หมายถึง คนที่ดีแต่พูดโดยไม่ได้อยู่ในสถานการณ์เดียวกันไม่เข้าใจเรื่องราว
[3] ตำหนักหรือขุมนรก
——