ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล - ตอนที่ 571 เคยเห็นมังกรหรือไม่
ตอนที่ 571 เคยเห็นมังกรหรือไม่
หลายครั้งที่โจวเจ๋อไม่เข้าใจพฤติกรรมของเจ้าโง่นี่มากนัก แต่ไม่ว่าจะเข้าใจหรือไม่ตอนนี้สามารถวางเอาไว้ข้างๆ ก่อนไม่ต้องพูดถึงมันแล้ว เพราะว่าเจ้าโง่นี่ได้กระโจนลงไปแล้ว
ประโยคที่ว่าฝั่งตรงข้ามนั้นมี ‘พวกรั้งท้ายห้าคน’ ช่างหยิ่งผยองสุดขีดจริงๆ
เราสองคนในวันนี้ก็เหมือนดอกไม้ไฟที่งดงาม เพียงต้องการความสะใจ ต้องการแค่เพียงชั่วครู่เท่านั้น หากยังดึงดันด้วยเหตุผลอะไรอีกละก็ มันก็จะไร้ความหมาย
หากไม่นับชายดุจสตรีที่บาดเจ็บสาหัสซึ่งต้าฉางชิวพามาด้วยตลอดทางผู้นั้นละก็ คนที่สามารถต่อสู้และเคลื่อนไหวได้ก็มีขันทีทั้งห้าคน อันที่จริง มีอยู่จุดหนึ่งที่ต้าฉางชิวค่อนข้างน่าชื่นชมทีเดียว เขาถูกอิ๋งโกวไล่ตามและวิ่งหนีกระเจิงไปตลอดทาง เล่นงานไปหลายเผ่าพันธุ์ เล่นงานแม้กระทั่งซ่งตี้หวังอวี๋ แต่กลับยังแบก ‘น้องชาย’ ที่บาดเจ็บสาหัสของเขาหนีไปด้วยกันมาโดยตลอด และไม่คิดจะทิ้งภาระนี้ไว้ข้างหลัง นับว่าเป็นความสัมพันธ์ที่แท้จริง
เวลานี้ ต้าฉางชิวยืนอยู่ตรงตำแหน่งที่ยื่นออกมา ด้านหลังมีขันทีขนาบข้างสี่คน บนไหล่ของขันทีแต่ละคนต่างมีแมวอยู่หนึ่งตัว แค่สีต่างกันก็เท่านั้น ขันทีหนึ่งคนประกบแมวหนึ่งตัว ดูเหมือนจะเป็นอาวุธประจำกายของขันที คล้ายกับธรรมเนียมทั่วไปขององครักษ์เสื้อแพรที่ต้องสวมชุดเฟยอวี๋[1]พกดาบซิ่วชุน[2]
เมื่ออิ๋งโกวเหาะร่อนลงมา ต้าฉางชิวและขันทีทั้งสี่ก็แยกกันทันที แมวทั้งสี่ตัวแปลงร่างเป็นธรรมกายขนาดใหญ่ยักษ์เพื่อช่วยขันทีแต่ละคนของตัวเองต่อสู้กับศัตรู ดูเหมือนจะเป็นการต่อสู้ที่ชุลมุนวุ่นวาย แต่ระหว่างกันมีเสียงร้องเรียกขานรับและร่วมมือกันราวกับสวรรค์สรรสร้างขึ้นจริงๆ ถ้าหากหนึ่งในพญายมแดนนรกเผลอกระโดดพรวดพราดเข้ามาเมื่อไร เดาว่ากายและวิญญาณคงจะดับสูญมลายสิ้นไปทันทีเช่นกัน แต่น่าเสียดาย คนที่พวกเขาเผชิญหน้าด้วยคืออิ๋งโกว
เมื่อพูดถึงการต่อสู้ ไม่ใช่ว่าอิ๋งโกวดูแคลนใคร แต่ทุกคนที่นี่ล้วนเป็นขยะเปียกทั้งสิ้น ในสมัยโบราณเขาอยู่ภายใต้อำนาจบังคับบัญชาของจักรพรรดิเหลืองยกทัพจับศึกไปทั่วแดน จากนั้นก็มาถึงนรกเพียงลำพังเข่นฆ่าเทพปีศาจในนรกจนแตกพ่ายหนีกระเจิดกระเจิง โจวเจ๋อรู้สึกเสมอมาว่า คนนิสัยอย่างเจ้าโง่นี่ยากที่จะมีอายุยืนยาว แต่ทำไมตอนนั้นเขาถึงมีอายุยืนและมีชีวิตที่ดีได้ เหตุผลมันง่ายมาก เพียงคำเดียวเท่านั้น
แกร่ง!
ข้าทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง แต่ข้าต่อสู้รบราเก่ง!
เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว
ชกสามเตะสอง ไม่มีอาวุธ กระทั่งไม่มีแม้แต่ฉาก ‘ภูเขาถล่มดินแตกระแหงน้ำไหลย้อนกลับ’ แบบนั้น การต่อสู้ปะทะระหว่างทั้งสองฝ่าย จริงๆ แล้วมันเหมือนจากแนวแฟนตาซีเข้าสู่แนวกำลังภายในของคุณปู่กิมย้งในชั่วพริบตา กำปั้นมาบาทาไป ติดดินเรียบง่ายเป็นพิเศษ แต่มือสมัครเล่นดูความสนุก ผู้เชี่ยวชาญถึงจะดูหนทาง การต่อสู้ที่ดู ‘เย็นเยียบเงียบงัน’ ประเภทนี้ ที่จริงแล้วทั้งสองฝ่ายได้คำนวณการใช้พลังไปจนถึงการสำแดงอิทฤทธิ์ที่ละเอียดแม่นยำที่สุดไว้แล้ว
ไม่เหมือนกับผิงเติ่งหวังลู่กับชายดุจสตรีก่อนหน้านี้ ทั้งสองฝ่ายดึงดันต่อสู้ถึงที่สุดเป็นครั้งสุดท้ายภายใต้การบาดเจ็บสาหัส พลังที่แผ่ซ่านรั่วไหลออกมากระแทกซัดเอายมทูตที่ดูความสนุกอยู่บนพื้นตายคาที่ทันที ฉากประเภทนั้นดูเหมือนจะยิ่งใหญ่และคึกคักเหลือแสน แต่ในความเป็นจริงมันกลับด้อยกว่านัก
“เมี้ยว!” ร่างธรรมของแมวสีส้มตัวหนึ่งถูกอิ๋งโกวใช้นิ้วบดขยี้ แม้แต่หน้าอกของขันทีคนนั้นยังถูกอิ๋งโกวปล่อยหมัดกระแทกจนล้มทรุดลงไป จากนั้นอิ๋งโกวแยกเขี้ยวกัดลงไปที่คอของขันทีอีกคน พร้อมกับฟาดเล็บกวาดเอาแมวลายทางกระเด็นลอยละลิ่ว สถานการณ์ที่ทั้งห้าปิดล้อมร่วมมือกันอย่างชำนาญ การเชื่อมโยงที่ไร้รอยต่อ เมื่อเผชิญกับความแข็งแกร่งและประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใครของอิ๋งโกวกลับพังทลายลงไปอย่างรวดเร็ว
“โฮก!” ภายใต้เสียงคำราม อิ๋งโกวใช้มือทั้งสองข้างฉีกทึ้งขันทีคนหนึ่ง พร้อมทั้งใช้เท้าข้างหนึ่งถีบขันทีอีกคน ในที่สุดการต่อสู้ก็เข้าสู่การหยุดชะงักลง โดยที่ขันทีทั้งห้าล่าถอยและกระจายออกไป ขันทีที่ฉีกขาดเริ่มฟื้นร่างกาย แม้แต่แมวที่ถูกบดขยี้ก็ได้รับการฟื้นฟู ส่วนขันทีที่ไม่ได้รับผลกระทบจากการโจมตีหนักหน่วงก็ตกอยู่ในสภาวะจิตใจเซื่องซึมในเวลานี้ จิตใจสั่นคลอนจนแทบจะพังทลาย
“น่า…สน…ใจ…” อิ๋งโกวยิ้ม
ความเสียหายของฝ่ายตรงข้ามทั้งห้าคนกระจายออกไปและต่างคนต่างรักษาซึ่งกันและกัน ดังนั้นแม้เขาจะทำร้ายอีกฝ่ายอย่างรุนแรงสำเร็จซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ก็ไม่มีคนตายอยู่ดี
ขันทีเหล่านี้ไร้ทายาทแต่กลับแบ่งปันพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ทายาทสืบสกุลมีไว้เพื่อสืบทอดสายเลือดของตัวเอง แต่ตราบใดที่พวกเขารวมตัวกันมันก็เทียบเท่ากับความเป็นอมตะ ดังนั้นทำไมต้องเป็นภาระของทายาทด้วยล่ะ
‘ยังสู้ได้อยู่อีกเหรอ’ โจวเจ๋อถามด้วยความกังวลเล็กน้อย
‘ไม่…เหนื่อย…’ แม้ว่าอิ๋งโกวจะตอบแบบนี้ แต่โจวเจ๋อรู้สึกได้ถึงความอ่อนล้าจากภายในร่างกายของอิ๋งโกว
สายตาของขันทีทั้งห้าโดยรอบที่มองอิ๋งโกวล้วนแฝงไปด้วยความหวาดกลัวสุดขีด ไม่มีใครกล้ารุกคืบขึ้นไปอีกเป็นการชั่วคราว เพราะพวกเขารู้ดีว่า ถ้าหากยังถูกอีกฝ่ายฉีกทึ้งอีกในครั้งหน้า เมื่อทุกคนอยู่ภายใต้การใช้พลังเกินขีดจำกัด คนที่ถูกฆ่าตายคนนั้นจะไร้หนทางฟื้นตัว
คนเดียว อาศัยความแข็งแกร่งของตัวเอง คิดไม่ถึงว่าจะสู้จนขันทีทั้งห้าที่ร่วมมือกันยังรู้สึกสะพรึงกลัว!
หกสิบปีให้หลัง พวกเขาจะต้องเข้ามาแทนที่การดำรงอยู่ของพญายมทั้งสิบตำหนัก แต่วันนี้ แต่ ณ ตอนนี้ กลับถูกคนที่อยู่ตรงหน้าปลูกฝังความกลัวที่ลบไม่ออกและฝังอยู่ในใจ!
กระทั่งพวกเขารู้สึกว่าอีกฝ่ายดูเหมือนยังไม่ได้ใช้พลังทั้งหมดอย่างสิ้นเชิง แต่มีสิ่งหนึ่งที่ชัดเจนมากคืออีกฝ่ายยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่!
อิ๋งโกวถอนหายใจ สีหน้าฉายแววครุ่นคิด มีภาพหนึ่งผุดขึ้นในหัว โจวเจ๋อรู้ว่านี่คือความทรงจำของอิ๋งโกว และเนื่องจากสภาวะ ‘พิเศษ’ ของเขาในเวลานี้จึงได้เห็นความทรงจำของอิ๋งโกวด้วย
…
โลกที่กว้างใหญ่ ความเวิ้งว้างอันไร้ขอบเขต อิ๋งโกวเปลือยท่อนบนยืนอยู่บนยอดเขา ยอดเขาใต้ฝ่าเท้าของเขาเป็นกระดูกจากซากศพกองพะเนิน
ซากศพกองเป็นภูเขา และข้ายังเป็นอมตะ!
ในระยะไกล ดูเหมือนว่าสามารถเห็นศัตรูที่หวาดกลัวมากมาย ไม่มีใครกล้าก้าวไปข้างหน้า กระทั่งไม่กล้าแม้แต่จะมองตรงๆ ด้วยซ้ำ
อิ๋งโกวในตอนนั้นมีอักขระปรากฏขึ้นบนร่างกาย ทุกการเคลื่อนไหวดูเหมือนจะเกี่ยวข้องกับฟ้าดินรอบด้าน เขาในเวลานั้น แม้ว่าจะเป็นหลังจากสงครามครั้งใหญ่แต่เมื่อเทียบกับตอนนี้ นับว่าอยู่ในจุดสูงสุด!
‘พวกเจ้าจะถวายบังคมก็ถวายบังคมเถิด ข้าอิ๋งโกวไม่ถวายบังคม!’ คำพูดนี้ พูดให้คนที่อยู่ใกล้ๆ เหล่านี้ฟัง แต่สายตาของอิ๋งโกวกลับจ้องไปบนท้องฟ้า
หากต้องถวายบังคม ในยามที่ทั่วหล้าเทใจให้ ทำไมข้าไม่คุกเข่าลงต่อจักรพรรดิเหลืองเล่า ทั้งดื่มและพูดคุยสนุกสนาน เดิมเป็นสหาย เมื่อท่านกลายเป็นจักรพรรดิผู้ปกครองมนุษย์ ข้าจำต้องถวายบังคมหรือ เหอะๆ หากข้ายินยอม เหตุใดต้องรอจนถึงบัดนี้ หากตอนแรกคุกเข่าให้เขาจักรพรรดิเหลือง จากนั้นร่วมสร้างตำนานได้รับการบูชาในวิหารด้วยกัน จะไม่เป็นการคุกเข่าที่คุ้มค่ากว่าหรือ จะไม่เป็นการคุกเข่าที่มีค่ากว่าหรือ จะไม่เป็นการคุกเข่าแล้วมีทุกอย่างดียิ่งกว่าหรือ
‘บึ้ม!’ ในเวลานี้ดูเหมือนว่าท้องฟ้าของนรกจะถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ แต่ตอนนี้บนท้องฟ้าของนรกยังไม่มีพระจันทร์สีเลือด พระจันทร์สีเลือดเกิดขึ้นหลังจากการล่มสลายของอิ๋งโกว ทำไมมันถึงปรากฏขึ้น เป็นฝีมือของมนุษย์หรือเป็นเพราะความบังเอิญ เนื่องจากไม่มีใครศึกษาจึงไม่มีใครรู้
ท้องฟ้าถูกแหกออก สองมือขนาดใหญ่มหึมาจนสามารถโค่นทั้งนรกได้ค่อยๆ หย่อนลงมาคว้าเอาอิ๋งโกวที่ยืนอยู่บนภูเขาซากศพไป
พลังอำนาจพร่างพราว เสมือนฟ้ากำลังพิโรธ!
สิ่งที่สังเกตได้ชัดเจนที่สุดคือที่นิ้วนางของมือข้างหนึ่งดูเหมือนจะมีแหวนโบราณอยู่วงหนึ่ง
ภาพความทรงจำหยุดลงในเวลานี้
โจวเจ๋อไม่พอใจเล็กน้อย เพราะโดยสัญชาตญาณแล้ว เขาสัมผัสได้ถึงความจริงเกี่ยวกับการล่มสลายของเจ้าโง่นี่ แต่ดูเหมือนว่าเขาจงใจ ก็คือไม่ยอมให้โจวเจ๋อเห็น
ถือเป็นคนอื่นคนไกลขนาดนี้เลยหรือไง ฉันจะตายไปพร้อมแกอยู่แล้ว คิดไม่ถึงว่าแกยังปิดบังกันอยู่อีก
สายตาของอิ๋งโกวกวาดไปรอบๆ ไกลออกไป มีเมฆดำทะมึนเคลื่อนตัวเข้ามา หลังเมฆดำนั้น ไม่รู้ว่ามีคนใหญ่คนโตของนรกในสมัยนี้ซ่อนตัวอยู่กี่คน!
“ข้า…ยัง…มี…ธุระ…” อิ๋งโกวเอ่ยพูด
ไม่รู้ว่าทำไม หลังจากได้ยินประโยคนี้แล้ว ขันทีทั้งห้าคนตรงนั้นถอนหายใจด้วยความโล่งอกทันทีทันใด
ต้าฉางชิวเกือบจะเดินออกมาประจบสอพลออีกหนึ่งประโยคแล้วว่า ‘ท่านมีธุระก็ไปทำเสียเถิด พวกเราไม่ส่งแล้ว’
“ตาย…หนึ่ง…คน…”
เหล่าขันทีที่อยู่ตรงนั้นเงียบลงถนัดตา ในแววตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ตายหนึ่งคนหมายความว่าเลือกคนมาตายสักคน!
“หรือ…จะ…ตาย…หมด…” อิ๋งโกวเสนอให้เลือกหนึ่งในสองเงื่อนไข
ถ้าไม่ตายหนึ่งคน อย่างนั้นก็จงตายให้หมดไปเลย เขาเคยสัญญากับผิงเติ่งหวังไว้ แมวหนึ่งขันทีหนึ่ง เป็นราคาค่าแลกเปลี่ยนการ ‘ขายชีวิต’ ของผิงเติ่งหวัง การทำลายเมืองซ่งตี้ก่อนหน้านี้ทำให้ซ่งตี้หวังอวี๋บาดเจ็บสาหัส เป็นแค่กำไรเล็กๆ เท่านั้น อิ๋งโกวให้ความสำคัญกับคำมั่นสัญญา เรื่องที่รับปากคนอื่นไว้ต้องทำให้สำเร็จ!
ต้าฉางชิวหัวเราะ ‘หึๆ’ กำลังจะออกมาพูดอะไรบางอย่าง แต่ทว่าในเวลานี้เอง จู่ๆ ขันทีคนหนึ่งในสี่ขันทีทำมุทราด้วยมือข้างหนึ่ง แล้วกดลงตรงกลางกระหม่อมของตัวเอง ชั่ววินาทีนั้น จิตวิญญาณเริ่มหลอมละลาย แต่บนใบหน้ากลับประดับด้วยรอยยิ้ม
ต้าฉางชิวรู้สึกราวกับถูกไฟช็อตทั้งร่าง ขันทีทั้งสามที่เหลือล้อมรอบด้านหน้าขันทีที่ ‘ปลิดชีวิตตนเอง’ ผู้นั้น น้ำตาคลอเบ้า ร้องไห้จนเสียงเกือบแหบแห้ง ต้าฉางชิวกัดฟันกรอด เขาอยากพูดอะไรบางอย่าง เขาอยากเริ่มเปิดศึกต่อสู้ก่อน เขาเกลียด เขาโกรธ เขาไม่เต็มใจ แต่ในตอนนี้เองเขากลับคุกเข่าลงและพูดด้วยเสียงสั่นเครือ “โปรดทอดพระเนตรตรวจสอบ!”
หลังจากที่เห็นร่างขันทีผู้นั้นดับสลายไปจนหมดสิ้นแล้ว อิ๋งโกวพยักหน้า จากนั้นกางมือทั้งสองของตัวเองข้างออก งอนิ้วทั้งสิบเล็กน้อย มีอยู่นิ้วหนึ่งที่พับเข้ามา เหลือเพียงแค่เก้านิ้ว
“เฮ้อ…” อิ๋งโกวถอนหายใจเฮือก
‘ขันทีทั้งสิบนี้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับมือคู่นี้ใช่ไหม’ จู่ๆ เถ้าแก่โจวก็เอ่ยปากถาม
‘ไม่…เกี่ยว…ข้อง…’
‘คุณหลอกคนโง่หรือไงว่าไม่เกี่ยวข้องน่ะ!’
‘อืม…’
‘…’ โจวเจ๋อ
ไม่นาน จู่ๆ อิ่งโกวก็ถามขึ้น ‘เคย…เห็น…มังกร…หรือไม่…’
‘ในการ์ตูนนับหรือเปล่า ไม่เคยเห็นตัวจริงน่ะ’
‘อยาก…เห็น…หรือไม่’
‘อยาก’ อยากเห็นจริงๆ มังกรเชียวนะ
ร่างของอิ๋งโกวหายวับไปในชั่วพริบตา และโผล่ไปอยู่กลางอากาศ ชั่ววินาทีนี้เสื้อผ้าของเขาฉีกขาด เผยให้เห็นท่อนบนเปลือยเปล่าของตัวเอง อักขระสายแล้วสายเล่าเริ่มกะพริบวับวาบ เขี้ยวสองซี่สะดุดตาเผยออกมา!
“โฮก!” ภายใต้เสียงคำราม เมฆดำในบริเวณนี้สลายไปทันที เผยให้เห็นร่างอันยิ่งใหญ่โอฬารของมังกรกระดูกขาว และมีนักพรตรูปหนึ่งนั่งอยู่บนหัวมังกร นักพรตอึ้งงันไปครู่หนึ่ง ‘ข้าเพียงแค่มาดูความสนุก คนมาดูเรื่องสนุกๆ ตั้งมากมาย ทำไมถึงเลือกข้าได้’
อิ๋งโกวก้าวไปข้างหน้า ร่างพุ่งเข้าใส่หัวมังกร ส่วนนักพรตก็จ้องมองพร้อมร่ายคาถาผนึกนับไม่ถ้วนโจมตีอิ๋งโกว แต่ล้วนถูกอักขระบนร่างของอิ๋งโกวสลายไปในชั่วพริบตา ‘ตู้ม!’ ร่างของนักพรตถูกอิ๋งโกวชนกระเด็นลอยละลิ่วออกไปจนร่วงจากกลางอากาศอย่างจัง ไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย และตอนนี้เอง อิ๋งโกวเข้ามาแทนที่ ยืนอยู่บนหัวมังกรพร้อมกับกระทืบลงไป!
‘โพละ!’ หัวกะโหลกมังกรกระดูกขาวขนาดใหญ่มหึมาแตกเป็นเสี่ยงๆ ทันที แต่ร่างของมังกรกลับยังลอยเคว้งอยู่กลางอากาศ
‘ตอน…นี้…เห็น…แล้ว…ใช่…หรือไม่…’
……………………………………………………….
[1] ชุดเฟยอวี๋ เป็นชุดเสื้อแขนยาวแบบป้ายเย็บต่อกับกระโปรงจีบแต่งลายปักเล็กน้อยหรือปักลายทั้งชุด
[2] ดาบซิ่วชุน เป็นดาบประจำกายขององครักษ์เสื้อแพร