ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล - ตอนที่ 573 ทะเยอทะยาน!
ตอนที่ 573 ทะเยอทะยาน!
พญายมหลายองค์ตรงนั้นนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง พวกเขาไม่รู้ว่าอิ๋งโกวหมายความว่าอะไร ทุกคนล้วนเฉลียวฉลาด มีชีวิตอยู่มานับพันปีและเกือบจะมีชีวิตอยู่ในตำนาน โดยธรรมชาติแล้วสามารถเดาข้อความมากมายได้จากคำพูดประโยคเดียว แต่ยิ่งเป็นเช่นนี้ พวกเขายิ่งไม่เข้าใจว่าความหมายของอิ๋งโกวคืออะไร
โกรธที่พวกเขาไม่ได้ความ ความรู้สึกที่บิดาผิดหวังต่อลูกชายอย่างนั้นหรือ
บ้าบออะไรกัน
เวลานี้ ร่างของพระโพธิสัตว์บนบัลลังก์ดอกบัวสีขาวเริ่มค่อยๆ สลายไป อิ๋งโกวไม่สนใจพญายมรอบตัวเหล่านี้ ก่อนหน้านี้เขาบอกอยากจะกำจัดพญายม ไม่ได้พูดล้อเล่นจริงๆ ถ้าหากพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ไม่ปรากฏตัว เขาจะทำอย่างนั้นจริงๆ ถึงอย่างไรเวลาก็เหลือไม่มากแล้ว บ้าคลั่งอย่างไรไม่ใช่บ้าคลั่ง แต่ตอนนี้อิ๋งโกวไม่อยากเข่นฆ่าแล้ว เมื่อพูดถึงความเย่อหยิ่งของเขา การที่ผิงเติ่งหวังลู่หลอมละลายตัวเองเข้าสู่ร่างของเขาก่อนหน้านี้ อันที่จริงเป็นเกียรติของผิงเติ่งหวังลู่เสียด้วยซ้ำ!
ใช่แล้ว วงจรสมองและความคิดของคนระดับสูงก็แปลกใหม่เช่นนี้ กระทั่งทำให้ผู้คนรู้สึกตลกขบขันและไร้เหตุผลขนาดนั้น แต่พวกเขากลับคิดอย่างนี้จริงๆ!
ทว่าตอนนี้ พวกพญายมกลุ่มนี้กราบไหว้มือเดียว อิ๋งโกวคิดว่าหากตัวเองฆ่าพวกเขาจะเป็นการดูหมิ่นตัวเอง!
พวกเขาไม่คู่ควร!
บางที ถ้าหากพวกท่านพญายมตรงนั้นรู้ความจริงเข้าละก็ อาจจะยินดีปรีดาเล็กน้อย โชคดีที่ตัวเองสมัครใจใฝ่ต่ำ ไม่คู่ควร ถ้าหากคู่ควรละก็ อย่างนั้นจุดจบก็คงจะย่ำแย่เอาการจริงๆ รู้สึกเดจาวูเหมือนกับว่าทุกคนเป็นหมูในเล้า โชคดีที่ตัวเองค่อนข้างผอมกะหร่อง
อิ๋งโกวเดินขึ้นไปบนบัลลังก์ดอกบัวสีขาว แสงแห่งพุทธะลอยขึ้น อิ๋งโกวไม่ต่อต้าน ชั่ววินาต่อมาร่างของอิ๋งโกวหายวับไป
ทั้งสี่ทิศนั้น บรรดาผู้ยิ่งใหญ่ที่มารวมตัวกันที่นี่สบตากัน ผู้ยิ่งใหญ่มากมายยังตั้งตารอคอยตัวตนอันน่าสะพรึงกลัวที่จู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหันคนนี้ไปเปิดศึกกับยมโลก ทุกคนล้วนรอดูความสนุก แต่ผลลัพธ์คือไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย
ติ้ทิงอ้าปากเอ่ยเสียงทุ้มต่ำแฝงไปด้วยความโกรธและความอัดอั้นตันใจ “แยกย้ายเถิด พระโพธิสัตว์จะแก้ปัญหาทุกอย่าง” คำพูดไม่กี่คำเหล่านี้ออกมาจากปากตี้ทิง ราวกับเสียงฟ้าร้องดังมาจากฟากฟ้า มันถูกอิ๋งโกวกระทืบสองครั้งอย่างโหดเหี้ยม ร่างกายใหญ่โตมโหฬารขนาดนี้ก็เจ็บปวดรวดร้าวเหลือคนานับ
ณ สถานที่เกิดเหตุ ลำดับขั้นของยมโลกย่อมไม่เปลี่ยน คนที่เหลือส่วนใหญ่ล้วนโค้งคำนับให้ฝ่ายตี้ทิงและพญายมสองสามองค์แล้วถอยแยกย้ายกันไป บ้างคนก็อารมณ์ร้ายนิดหน่อยรุดออกไปทันที คร้านแม้แต่จะทักทาย ไม่มีเรื่องสนุกๆ ให้ดู อารมณ์เสียนิดหน่อย
จากจุดนี้จะเห็นได้ว่า อำนาจควบคุมของยมโลกที่มีต่อนรกนั้นอ่อนแอมากแค่ไหนกันแน่ เช่นเดียวกับช่วงราชวงศ์ชิงตอนปลาย ในศูนย์กลางทั้งราชสำนักชิงเหลือเพียงอำนาจอันเล็กน้อยเท่านั้น แต่ในระดับท้องถิ่นนั้นกลับเทียบเท่ากับการปกครองตนเองมาช้านาน นี่อาจเป็นสิ่งที่พระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ต้องการเห็น
…
เมื่อเดินออกจากม่านแสง อิ๋งโกวปรากฎตัวในศาลบรรพบุรุษเล็กๆ แท่นบูชาว่างเปล่าไร้แผ่นป้ายจารึก และไร้พระพุทธรูปเช่นกัน มีเพียงเบาะกลมไม่กี่อัน และยังมีควันธูปเทียนลอยขึ้นไป เหตุที่ไม่มีพระพุทธรูปนั่นเป็นเพราะผู้ที่สวมหน้ากากและห่มจีวรนั่งอยู่บนเบาะก็คือพระพุทธเจ้านั่นเอง
ในเมื่อเป็นพระพุทธเจ้าไม่จำเป็นต้องบูชาพระพุทธเจ้า แม้จะบอกว่าพระองค์ไม่นับว่ามีสถานะเป็นพระพุทธเจ้า เป็นเพียงพระโพธิสัตว์ แต่สถานะของพระองค์พ้นวิสัยของพระโพธิสัตว์ธรรมดาทั่วไปนานแล้ว ถ้ากล่าวว่าพระองค์เป็นพระพุทธเจ้าก็ไม่ได้มีความหมายเกินจริงหรือเยินยอสักนิด
เมื่ออิ๋งโกวปรากฎตัวขึ้นที่นี่ พระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ยืนขึ้นอย่างเงียบๆ เผชิญหน้ากับอิ๋งโกวและเอ่ยขึ้น “ไม่รู้ว่าควรเรียกท่านว่าเจ้าทะเลแห่งความตายหรือเรียกท่านว่าแม่ทัพอิ๋ง”
อิ๋งโกวไม่ตอบ เพียงแค่ยืนนิ่ง พระพุทธเจ้าเป็นสิ่งที่เขาสนใจมาก เป็นธรรมดาที่จะขอมองนานๆ หน่อย คล้ายกับเด็กน้อยคนหนึ่งที่ได้เครื่องเล่นวิดีโอเกมเครื่องแรกเป็นของตัวเอง
“น่าประหลาดใจนัก ช่างน่าประหลาดใจยิ่งนัก แปลกใจที่ท่านยังมีชีวิตอยู่” ท่านยังไม่ตายทำให้เราแปลกใจยิ่งนัก
อิ๋งโกวก็ยังไม่เอ่ยปากพูดอะไร จากนั้นดูเหมือนจะรู้สึกว่ายืนจนเหนื่อยแล้วจึงเดินตรงไปข้างๆ แท่นบูชาและนั่งลงไป ในเมื่อไม่มีพระพุทธรูป เช่นนั้นก็กราบไหว้บูชาข้าเถิด
พระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ไม่ทรงพิโรธ แม้ว่าจะไม่เห็นหน้าของพระองค์ แต่กลับสามารถสัมผัสได้ว่าปราณที่ไหลเวียนในร่างกายของพระองค์ไม่ผันผวนจากพฤติกรรมหยาบคายของอิ๋งโกวแต่อย่างใด
“เราสงสัยนัก”
“อะ…ไร…”
“สงสัยอิสระของท่าน ไม่มีนิมิตใดๆ ท่านปรากฏกายแล้ว เพลาเดียวกัน ไม่มีนิมิตใดๆ ท่านก็มลายหายไปอีกครา”
“เจ้า…เชื่อ…หรือ…ไม่…ก่อน…ข้า…จะ…หาย…ไป…ข้า…สามารถ…ฆ่า…เจ้า…ได้…”
พระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ยืดตัวตรงอย่างเคร่งขรึม ราวกับครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นส่ายหน้าเอ่ยว่า “ไม่เชื่อ”
อิ๋งโกวสายตาวาววับ หลังจากกลับมา นี่เป็นคนแรกที่สามารถทำให้สายตาของเขาสว่างวาบได้ คนที่สามารถทำให้ไท่ซานฝู่จวินรุ่นสุดท้ายสั่นคลอน สามารถเป็นผู้นำก่อตั้งยมโลกและนั่งฟังการเมืองหลังม่านมาโดยตลอด ไม่ใช่คนธรรมดาอย่างที่คิดไว้ อย่างน้อยๆ หากเทียบกับพญายมที่กราบไหว้มือเดียวสองสามองค์นั่น มีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงจริงๆ
“หากเป็นท่านในกาลก่อน เรามิกล้าพูดประโยคนี้ แต่ท่านในกาลนี้ ฆ่าเราไม่ตายจริงๆ” สายตาภายใต้หน้ากากของพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์สบตากับอิ๋งโกว เจ้าแห่งนรกในยุคนี้ไม่สูญเสียตัวตนต่อหน้าเจ้าแห่งนรกในอดีต
“พระพุทธเจ้า…คือ…สิ่ง…ใด…” อิ๋งโกวเอ่ยปากถาม
ตอนแรกมีพระขี้เรื้อนพูดเรื่องพระพุทธเจ้าเจี๊ยวจ๊าวต่อหน้าเขา จึงถูกเขาตบลอยกระเด็นไปไกล ตอนนี้เขากำลังถามพระพุทธเจ้า มันคล้ายกับปู่ถามหลานชายตัวเองว่าการท่องเว็บหมายความว่าอย่างไร
พระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ตอบอย่างใจเย็น “มหาเมตตาคือพระพุทธเจ้า”
“มหา…เมตตา…หรือ”
“เพราะมีหยินหยาง ถึงได้มีทุกข์ ถึงได้มีการเวียนว่ายตายเกิด ถึงได้มีการถือศีล ถึงได้มีการร้องไห้ ถึงได้มีการคร่ำครวญ ถึงได้มีอันตรายต่างๆ ในโลก พระพุทธเจ้าองค์ก่อนตรัสว่า ชีวิตคือห้วงแห่งความทุกข์ ศาสนาพุทธนำทางให้ข้ามพ้น เพื่อบุญบารมี เราตรัสว่าหากไม่มีห้วงแห่งความทุกข์นี้ เหตุใดต้องให้ผู้คนข้ามผ่านมันไปอีกครั้ง!”
พระกษิติครรภ์โพธิสัตว์เสียงดังกึกก้อง นรกไม่ว่างเปล่า ปฏิญาณตนว่าจะไม่เป็นพระพุทธเจ้า!
ไม่ว่าจะถูกหรือผิด คนที่สร้างความทะเยอทะยานที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ ต้องไม่ธรรมดาแน่นอน!
อีกทั้ง ‘พระพุทธเจ้าองค์ก่อน’ จากปากพระองค์ อันที่จริงแล้วเท่ากับแยกตนออกจาก ‘พระพุทธเจ้า’ และดูหมิ่นพระพุทธเจ้าเหล่านั้น艾琳小說
อิ๋งโกวกลับส่ายหน้าและกล่าวว่า “จะ…วุ่น…วาย…”
“ท่านสนใจว่าหยินหยางจะปั่นป่วนด้วยหรือ” พระกษิติครรภ์โพธิสัตว์หัวเราะและกล่าวว่า “เซี่ยจื้อมีเรื่องอยากพูด”
กาลก่อนเป็นเพราะว่าอิ๋งโกวปกครองนรก ครองตำแหน่งแต่ไม่ปฏิบัติหน้าที่ เซี่ยจื้อจึงลงมาตักเตือน แต่กลับถูกอิ๋งโกวหักเขาและเตะออกจากนรกไป
‘หน้าแดงหรือเปล่า’ โจวเจ๋อถาม
อิ๋งโกวไม่สนใจโจวเจ๋อ และถามขึ้น “สิบ…ขัน…ที…”
“ใช่ ท่านคิดถูกแล้ว ท่านมิได้ปล่อยให้คนผู้นั้นตัดนิ้วของตัวเองไปหรอกหรือ” พระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ตรัสต่อไป “ตอนนั้นคนผู้นั้นใช้ทั้งสองมือทำให้ท่านล่มสลาย ท่านก็หักนิ้วทั้งสิบของคนผู้นั้นไป แหวนวงนั้นกลายร่างเป็นแมวดำ และนิ้วทั้งสิบนั้นก็ผ่านการวิวัฒนาการมานานหลายปีจนกลายเป็นมนุษย์ หลังจากหยินหยางไหลเวียน ก็กลับไปยังนรกและรวมตัวกันอีกครั้ง
เราใช้เวลาตรวจสอบและอนุมานนานมากเช่นกันถึงได้ทราบตัวตนของพวกเขา แม้แต่พวกเขาเองก็ไม่รู้เรื่องนี้ ถึงอย่างไรยุคสมัยก็ผ่านไปเนิ่นนานแล้ว แต่ทว่าพวกเขาแต่ละคนก็ไม่ใช่เพียงแค่คนธรรมดาจริงๆ สิบนิ้วเชื่อมประสานหัวใจ ช่างเป็นสิบนิ้วเชื่อมประสานหัวใจจริงๆ เราชี้แนะเล็กๆ น้อยๆ ไม่นานพวกเขาก็มีความเชื่อแบบเดียวกัน อุดมคติเดียวกัน และเต็มใจเฝ้ารอคอย”
“เจ้า…หมาย…ความ…ว่า…เช่น…ไร…”
“ควรเป็นของเขาก็ยังเป็นของเขา มือทั้งคู่ของเขา กาลก่อนเป็นเพราะท่านจึงไม่สามารถครอบครองนรกนี้ไว้ได้ บัดนี้สิ่งที่เราทำ มีเพียงการคืนมันให้กับเจ้าของเดิมก็เท่านั้น เฉกเช่นเดียวกับกาลก่อน แม้ท่านจะนั่งอยู่บนตำแหน่งเฉยๆ ไม่กระทำการใดและไม่สนใจไยดีสิ่งใด แต่หยินหยางก็ยังเป็นหยินหยาง ไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงตามคำกล่าวของท่าน แต่เราไม่ต้องการเช่นนี้ สิ่งที่เราต้องการไม่ใช่การทำลายสิ้น แต่เป็นความใกล้ชิดสนิทสนม!
ในเมื่อขันทีทั้งสิบเป็นนิ้วของเขา เช่นนั้นเราก็จะวางนิ้วของเขาไว้ที่ตำแหน่งสูงสุดของยมโลก เราเชื่อว่าเมื่อมือทั้งคู่ของเขาสามารถครอบครองนรกอย่างแท้จริง ขอบเขตระหว่างหยินหยางถึงจะสามารถเปลี่ยนแปลง และถูกกำจัดจริงๆ! นรกจะว่างเปล่า หยินหยางจะไม่มีอยู่อีกต่อไป โลกนี้จะนำอิสรภาพอันยิ่งใหญ่ เสรีภาพอันยิ่งใหญ่ และอำนาจสูงสุดอันยิ่งใหญ่มาให้!” พระกษิติครรภ์โพธิสัตว์กราบไหว้และคำนับแท่นบูชา แต่สิ่งที่กราบไหว้ไม่ใช่อิ๋งโกวเพียงแต่ตรัสว่า “บนนี้ว่างเปล่าเกินไป ไม่ดีนัก”
อิ๋งโกวไม่พูดอะไร
“ที่จริง มนุษย์บนโลกส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นเทพ พระพุทธเจ้า มนุษย์ หรือภูตผี ก็ยังคงหวังว่าบนแท่นบูชาจะมีบางสิ่งที่สามารถกราบไหว้บูชา ไม่ใช่ทุกคนจะเป็นเหมือนท่าน เพราะพระจันทร์อยู่เหนือท่าน ท่านจึงอยากทุบพระจันทร์ เพราะว่าคนผู้นั้นอยู่เหนือท่าน ท่านจึงคิดอยากจะหักมือทั้งสองข้างของเขา คนส่วนใหญ่ หากไม่มีใครอยู่เหนือหัว หากตนเองไม่สามารถกราบไหว้หรือไม่สามารถคุกเข่าลงได้ เป็นสิ่งที่ไม่คุ้นเคย”
“ไม่…มี…เหตุ…ผล…” คนที่สามารถทำให้เจ้าโง่พูดว่าไม่มีเหตุผลได้ นี่ช่าง…
“ท่านเล่า จู่ๆ ก็ปรากฏตัวออกมาเช่นนี้ แล้วจากไปอย่างกะทันหันเช่นนี้อย่างนั้นหรือ ท่านเองก็น่าจะรู้ชัดแจ้งว่าเรากำลังรอ รอให้ท่านพลาดอีกสักเล็กน้อยแล้วเราก็จะสามารถลงมือ”
อิ๋งโกวก็ยังไม่ตอบอะไร
“แต่ว่าเรายังนึกสงสัยเรื่องหนึ่งมาโดยตลอด ถ้านี่คือความบ้าคลั่งครั้งสุดท้ายของท่าน เช่นนั้นจุดประสงค์ความบ้าคลั่งของท่านคืออันใด พระพุทธเจ้าตรัสถึงเหตุและผล ทุกอย่างมีเหตุและผลที่สามารถติดตามได้ ท่านกล่าวว่าเป็นอิสระของท่าน อยากจะจบสิ้นอย่างสะเทือนเลื่อนลั่น แต่กลับไม่สะเทือนเลื่อนลั่นมากพอ
ทะเลแห่งความตายถูกขูดสะอาดเกลี้ยงเมื่อนานมาแล้ว แต่ในบึงโคลนหนองน้ำอันกว้างใหญ่ไพศาลนี้ ยังมีวิญญาณภูตผีเก่าแก่หลับใหลอยู่มากเท่าไร หากท่านโบกมือ พวกมันจะคลานออกมาจากบึงโคลนกว้างใหญ่ และทำตามคำสั่งของท่านแน่นอน!
ทหารปีศาจจิ่วหลีนับพัน แม้แต่เราก็ยังรู้สึกว่าจัดการยาก พวกเขาเป็นสุนัขที่ท่านเลี้ยงในกรงขังเมื่อกาลก่อน เป็นสุนัขที่ซื่อสัตย์ที่สุดจริงๆ คิดอยากจะติดตามท่านแต่ท่านกลับปฏิเสธ บัลลังก์กระดูกของท่านยังประดิษฐานอยู่ในเผ่านั้น ท่านยังไม่ได้อัญเชิญมันกลับมา ที่จริงแล้ว ยังมีอีกมากมาย เพราะยุคสมัยของท่านมันนานมากโข ยาวนานเสียจนเรายังตามไม่ทันยุคสมัยที่ท่านอาศัยอยู่
อย่างที่ท่านกล่าวมาว่า ตอนท่านถือกำเนิดโลกไร้พุทธะ และเป็นเพราะเหตุนี้ เมล็ดที่ท่านหว่านเอาไว้ในตอนแรก เมื่อท่านมองย้อนกลับไปในตอนนี้ กลับพบว่ามันเติบโตเป็นต้นไม้ใหญ่ค้ำฟ้าแล้ว ในเมื่ออยากจะเป็นเหมือนนักพนัน บ้าคลั่งครั้งสุดท้าย แต่กลับเก็บเบี้ยที่สามารถใช้งานได้เหล่านี้เอาไว้…”
เมื่อตรัสถึงตรงนี้ พระกษิติครรภ์โพธิสัตว์จงใจหยุดครู่หนึ่งก่อนจะตรัสต่อ “ท่านยังคิดว่าเมื่อท่านพลาดไปแล้วยังคงสามารถเก็บกลับมาอีกครั้งเหมือนในกาลก่อน หรือว่าอยากจะเก็บไว้ให้ผู้ใดเล่า”
…………………………………………………………..