ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล - ตอนที่ 58 แควก
ตอนที่ 58 แควก!
บางทีนี่อาจจะเป็นการบาดเจ็บครั้งที่ลึกที่สุดของสวี่ชิงหล่าง
ผู้ชายชอบแสดงออกต่อหน้าเพศตรงข้าม คุยโอ้อวด อวดดี เหมือนกับลิงอุรังอุตังที่ชอบตีหน้าอกเวลาจีบกัน แล้วส่งเสียงออกจากปากไม่หยุด
“โอ้ๆๆ โอ้ๆๆ!”
จากมุมมองของโจวเจ๋อ ดูเหมือนว่าจะเป็นครั้งแรกที่เขาเห็นสวี่ชิงหล่างเจ้าเสน่ห์ตั้งใจส่งสัญญาณการเกี้ยวพาราสีออกไปแบบนั้น
แต่น่าเสียดายที่เด็กสาวคนนั้นพูดว่า ‘บ้านของคุณคือบริษัทในตระกูลของฉันเป็นคนฉันจัดหาให้เอง’
‘เพล้ง!’
ราวกับมีอะไรบางอย่างแตก
สวี่ชิงหล่างแทบทนไม่ไหวที่จะคุกเข่าแล้วเอามือกุมหน้าอกเอาไว้
เจ็บ
เจ็บมาก
ทำร้ายจิตใจอย่างเจ็บปวด
เด็กสาวลุกขึ้นอย่างช้าๆ และพูดกับโจวเจ๋อว่า “เถ้าแก่คะ เพิ่มเพื่อนวีแชทหน่อยค่ะ ถ้าคุณคิดจะร่วมมือกันในอนาคตละก็ สามารถติดต่อฉันมาได้นะคะ”
“ได้” โจวเจ๋อย่อมไม่ปฏิเสธ
หลังจากที่เพิ่มวีแชทแล้ว เด็กสาวก็จูงสุนัขคอร์กี้ของตัวเองออกไป
สวี่ชิงหล่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก โบกมือ หันหลังช้าๆ และออกจากร้านหนังสือไป
เขาต้องการระยะเวลาในการรักษาแผลใจ
รอยยิ้มปรากฏขึ้นที่มุมปากโจวเจ๋อ ดูเหมือนว่าอย่างน้อยๆ ในช่วงสองสามวันนี้ คำพูดติดปากว่าห้องชุดยี่สิบกว่าห้อง จะไม่ออกมาจากปากของสวี่ชิงหล่างอีกสักพัก
เมื่อโจวเจ๋อหันกลับไปเห็นไป๋อิงอิงนั่งนิ่งๆ อยู่บนม้านั่งพลาสติก ไม่สิ ไม่ใช่นิ่งๆ พูดตรงๆ ก็คือนางกำลังอ่านหนังสือ ‘สิ่งเหล่านั้นในราชวงศ์หมิง’ อยู่
“เถ้าแก่ ท่านบอกกับผีตนนั้นว่า ‘น้ำเย็นเกินไป’ มันหมายความว่าอะไรหรือเจ้าคะ”
ความทรงจำส่วนใหญ่ของศพผีสาวนั้นสืบทอดมาจากแม่นางไป๋ ในยุคสมัยนั้นการศึกษาของสตรีมีไม่มากนัก ตามธรรมดาก็เป็นไปไม่ได้ที่จะ ‘มีความรู้มากมาย’ เหมือนบุรุษที่ต้องสอบเอาผลงานและตำแหน่งชื่อเสียง
สำหรับสตรีที่มากความสามารถ คนแล้วคนเล่ามารวมตัวกันใน ‘ความฝันในหอแดง’ น่าจะปรากฏได้เพียงในหนังสือเท่านั้น
“เขาเป็นผู้นำโลกวรรณกรรมราชวงศ์หมิงตอนปลาย ดูเหมือนว่าจะเคยเป็นเสนาบดีประจำกรมพิธีการ กองทัพแมนจูได้เข้าประชิดปิดล้อมไว้หมดแล้ว และราชวงศ์หมิงกำลังจะล่มสลาย เขาเตรียมจะพลีชีพเพื่อชาติ นางสนมหลิ่วหรูซื่อของเขา ก็เตรียมพร้อมที่จะพลีชีพเพื่อชาติไปกับเขา ปรากฏว่านางสนมกระโดดไปก่อนแล้ว แต่จนแล้วจนรอดเขาก็ไม่กล้ากระโดด พูดอยู่ประโยคหนึ่งว่า ‘น้ำเย็นเกินไป’ และท้ายที่สุดก็ยอมจำนนให้พวกแมนจู”
“งั้นคนๆ นี้ไม่ได้เรื่องเลยจริงๆ เถ้าแก่ท่านใช้สิ่งนี้เยาะเย้ยผีตนนั้นหรือ” ไป๋อิงอิงถาม
“ในความเป็นจริง แม้ว่าท้ายที่สุดเฉียนเชียนอี้จะยอมจำนน แต่ก็แอบให้ทุนสนับสนุนกองกำลังต่อต้านราชวงศ์ชิงอย่างลับๆ ทั้งยังรายงานข่าวไปยังกองทัพต่อต้านราชวงศ์ชิงอีกด้วยและยังเคยถูกศาลราชวงศ์ชิงกล่าวโทษในเรื่องนี้อีก”
“นี่…” ไป๋อิงอิงไม่รู้ว่าควรจะประเมินค่าคนผู้นี้อย่างไรแล้ว
นางเป็นคนไร้เดียงสามาก เหมือนกับเด็กและคนชราที่ชอบถามตอนดูละครทีวี ‘คนนี้เป็นคนดี คนนี้เป็นคนชั่ว’’
สำหรับคนจำนวนมากแล้ว โลกไม่เป็นสีดำก็เป็นสีขาว ส่วนพื้นที่สีเทานั้นซับซ้อนและเข้าใจยากเกินไป เพียงแค่แกล้งทำเป็นมองไม่เห็นซะเลย
“คนที่ผมเพิ่งโยนลงไปในนรกเมื่อครู่ โดยพื้นฐานจริงๆ แล้วก็คล้ายกับเฉียนเชียนอี้” โจวเจ๋อยิ้มๆ หยิบแก้วชาขึ้นมาแล้วนั่งบนเก้าอี้หลังเคาน์เตอร์
“แล้วท่านยังส่งเขาลงนรกอีกหรือ” ไป๋อิงอิงถามอย่างงุนงงเล็กน้อย “อย่างน้อยๆ ท่านก็แกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น ไป และปล่อยให้เขาอยู่ในโลกมนุษย์นี้นานอีกสักหน่อยก็ได้นี่เจ้าคะ”
โจวเจ๋อส่ายหน้า “คุณเริ่มสงสารเขาแล้วเหรอ”
“น้ำเย็นเกินไป มันเป็นธรรมชาติของมนุษย์” ไป๋อิงอิงหน้ามุ่ย “ตอนนี้ข้าตายไปแล้วและกลายเป็นผีดิบ ถ้าข้ายังมีชีวิตอยู่ละก็ ข้าว่าไม่ควรฝังจักรพรรดิและราชสำนักไว้ด้วยกัน และควรจะเลือกด้วยตัวเองถึงจะถูกต้อง แน่นอนว่าความตายสามารถสามารถได้รับการยกย่อง และการเป็นอมตะก็พอจะเข้าใจได้”
“พญายมราชบอกว่าเขาควรจะตายในวันนั้น แต่จริงๆ แล้วพูดถูก” โจวเจ๋อวางแก้วน้ำลง “เดิมทีผมตายไปแล้ว แต่ก็ยืมซากศพคืนชีพกลับมา จริงๆ แล้วตัวผมเองก็พยายามมีชีวิตอยู่จริงๆ ผมไม่ควรจะมีสิทธิถามคนอื่นว่าคุณควรตายหรือไม่ คุณก็คิดอย่างนี้ใช่ไหมล่ะ”
ไป๋อิงอิงพยักหน้า
“เรื่องใดๆ ก็ตามแต่จะต้องอยู่ในสถานการณ์เฉพาะเพื่อขบคิด คิดถึงคนโบราณ คิดถึงพฤติกรรมของคนโบราณ จะต้องถูกแทนที่ในยุคนั้น แทนที่ภูมิหลังขนบธรรมเนียมวัฒนธรรมประเพณีต่างๆ ในยุคนั้น จากมุมมองในปัจจุบัน แน่นอนว่าความสามัคคีของชาติเป็นสถานการณ์ครอบครัวของชาวจีน แต่ถ้าอยู่ในราชวงศ์หมิงตอนปลาย ทุกคนควรมีจุดยืนของตัวเอง ความคิดของคุณก็เหมือนกับที่ชาวนาในสมัยโบราณ คิดว่าจักรพรรดิสามารถกินปาท่องโก๋ได้สิบตัวและซาลาเปาเนื้อก้อนใหญ่สิบก้อน เป็นอาหารเช้าทุกวัน เราใช้ความคิดของสามัญชนแต่ละคน แทนบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์ เดิมทีมันทั้งผิดและไม่เหมาะสม ใช่ หลังจากเฉียนเชียนอี้ยอมจำนนต่อราชวงศ์ชิงแล้ว ยังช่วยกองทัพต่อต้านราชวงศ์ชิงทำสิ่งต่างๆ ไม่น้อยทีเดียว กระทั่งเย้ยหยันราชวงศ์ชิงในวรรณกรรมที่ตัวเองเรียบเรียง แต่นั่นก็ไม่เพียงพอสำหรับเขาหรอก”
“ไม่เพียงพอหรือ ท่านจะต้องปล่อยให้เขาไปตายจริงๆ หรือ” ไป๋อิงอิงถามด้วยความสงสัย
“เขาต้องตาย” โจวเจ๋อตอบอย่างจริงจัง “รวมถึงผีที่ผมเพิ่งโยนลงไป เขาก็ต้องตายด้วยเช่นกัน!”
หลังจากพูดจบ โจวเจ๋อก็สูดหายใจเข้าลึกๆ
“จากไปอย่างอิสระและง่ายดายก็ได้ ไปเป็นเศรษฐี ถูกลืมในแม่น้ำและทะเลสาบอย่างสมบูรณ์ ละทิ้งความรุ่งโรจน์และความมั่งคั่ง และไม่มีชื่อตั้งแต่นั้นมาก็ได้เช่นกัน”
“มีสิทธิ์อะไร” ไป๋อิงอิงไม่เห็นด้วยอย่างเห็นได้ชัด “ชีวิตของทุกคนควรอยู่ในกำมือของตัวเองสิ”
“กองทัพจำนวนมหาศาลเคลื่อนทัพเข้าสู่เมืองหนานจิง ในตอนนั้นเฉียนเชียนอี้เป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงสุดในหนานจิง เขานำฝูงชนคุกเข่าต้อนรับกองทัพราชวงศ์ชิงที่เข้ามาในเมืองและยอมจำนนต่อแมนจู เขายอมจำนนไม่ได้ และเขาก็ไม่มีคุณสมบัติที่จะจำนนเสียด้วยซ้ำ ชื่อเสียงบารมีของเขา ตัวตนของเขา อำนาจของเขา ตำแหน่งของเขา ความเพลิดเพลินของเขา เงินเดือนและสวัสดิการที่เกินกำหนดของเขา ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ราชสำนักมอบให้เขา และเข้าใจได้ว่ารัฐมอบให้แก่เขา
คุณได้รับผลประโยชน์มากเท่าไร ภาระหน้าที่ความรับผิดชอบก็เป็นอย่างที่มันควรจะเป็น คุณได้รับอะไรมากมายจากรัฐ ได้ตำแหน่งสูงศักดิ์ แม้ว่าเอวของคุณจะแทบจะขยับไม่ไหวแล้วก็ตาม แต่ก็ยังตามจีบหลิ่วหรูซื่อจนแต่งภรรยาน้อยวัยสาวเข้าบ้านได้อย่างกล้าหาญ เมื่อประเทศต้องการเขา เขาย่อมคู่ควรและมีภาระหน้าที่ที่จะต้องปฏิบัติให้สำเร็จ นี่คือจิตวิญญาณของสัญญาประเภทหนึ่ง
ประเทศประสบปัญหา ทุกคนต้องรับผิดชอบ ในความเป็นจริงแม้คนธรรมดาจะเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า ก็ไม่มีใครบอกว่าพวกเขาไม่เกี่ยว แต่บรรดาข้าราชการสมัยโบราณเหล่านั้น ที่ได้รับเงินเดือนและมีความสุขบนเลือดและหยาดเหงื่อของประชาชน พวกเขาเองมีหน้าที่ต้องทำทุกวิถีทางเพื่อนำเรือกลับมา เมื่อเรือของประเทศกำลังจะจม แม้กระทั่งจะถูกฝังไปด้วยก็ตาม”
ไป๋อิงอิงฟังและพยักหน้าราวกับว่านางเข้าใจ
“ก็เหมือนกับคนนั้นจากวัดขงจื๊อ เป็นเจ้าหน้าที่ในราชวงศ์หมิง ก็คล้ายกันกับอัยการในปัจจุบันถึงแม้ยังไม่ใช่หัวหน้าอัยการ แต่ต่อมาเขาได้เป็นเก้าขุนนาง คล้ายกับรัฐมนตรีในปัจจุบัน หลังจากยอมแพ้แล้ว ยังสามารถเข้ากันได้ดีและเลื่อนขั้นสูงขึ้นเรื่อยๆ คุณว่าเขาสมควรตายหรือไม่ มีข้าราชการระดับสูงในราชวงศ์หมิง ครั้งหนึ่งเคยร้องว่าประเทศสนับสนุนทหารมาเป็นเวลาร้อยห้าสิบปีจนมาถึงทุกวันนี้ ที่กล่าวว่านั้นคือความจริง”
“ข้าเวียนหัวแล้ว” ไป๋อิงอิงส่ายหน้า
“ที่นี่เป็นร้านหนังสือ แม้ว่าจะมีนิยายมากมาย แต่คุณก็ยังสามารถอ่านหนังสืออื่นๆ ได้” โจวเจ๋อขยับคอ “ถึงอย่างไรคุณไม่มีอะไรทำอยู่แล้ว”
ไป๋อิงอิงเหลือบมองโจวเจ๋อ พูดเหมือนกับว่าคุณมีบางอย่างที่ต้องทำอย่างนั้นแหละ
โจวเจ๋อลุกขึ้นและไปล้างหน้าที่ห้องน้ำ เมื่อออกมาก็เห็นไป๋อิงอิงกำลังรินน้ำลงในแก้วน้ำชา ไป๋อิงอิงถามอีกครั้ง
“ใช่แล้ว เถ้าแก่ เกิดอะไรขึ้นกับข้าราชการระดับสูงที่ร้องว่า ‘ประเทศชาติสนับสนุนทหารมาร้อยห้าสิบปี’ คนนั้นหรือ”
“อ้อ ถูกจักรพรรดิส่งไปให้องครักษ์เสื้อแพรเอาไม้ตะบองตบเข้าให้อย่างแรง”
โจวเจ๋อเกาจมูก
“จากนั้นก็ไม่มีต่อแล้ว”
“…” ไป๋อิงอิง
นายและบ่าวสองคนยากที่ได้คุยกัน พูดคุยเรื่องประวัติศาสตร์ และพูดคุยเกี่ยวกับโลกทัศน์
แน่นอนว่าบรรยากาศดีๆ นี้อยู่ได้ไม่นาน เพราะศพผีสาวโยนหนังสือทิ้งในทันทีและหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเริ่มเล่นเกมหวังเจ่อหรงเย่า
แต่ทว่ามีลูกค้าอีกรายอยู่ในร้าน เป็นชายวัยกลางคน อายุประมาณสี่สิบปีสวมเสื้อแจ็กเก็ตสีดำ ใบหน้าหยาบกร้านเล็กน้อย เสื้อผ้าก็ขาดนิดหน่อย ดูซื่อๆ ไร้เดียงสา
“เถ้าแก่ ผมขอติดประกาศไว้ที่นี่สักใบได้ไหมครับ” ชายหนุ่มถามโจวเจ๋ออย่างนอบน้อม
“ประกาศอะไร” โจวเจ๋อถาม
“แจ้งคนหาย” ชายคนนั้นตอบตามความจริง
“ติดเถอะ” โจวเจ๋อลุกขึ้นเดินไปที่ประตูร้าน และดูอีกฝ่ายติดประกาศบนผนัง
“ไม่มีรูปเหรอ” โจวเจ๋อเห็นว่ามีเพียงข้อความแต่ไม่มีรูปถ่ายอยู่ในประกาศ
“ตอนที่ถูกพาตัวไปยังเล็กอยู่เลย เพิ่งจะเก้าเดือนเอง ไม่มีรูปหรอก” ชายหนุ่มลูบมือและยื่นบุหรี่ให้โจวเจ๋อหนึ่งมวน “อย่ารังเกียจเลย”
โจวเจ๋อรับบุหรี่มาแล้วถามว่า “ถูกลักพาตัวเหรอครับ”
“ไม่ใช่ ถูกรับไปเลี้ยง ตอนนั้นเธอมีพี่สาวคนหนึ่ง ช่วงนั้นยังไม่มีนโยบายลูกคนที่สองน่ะ ผมโดนปรับไม่ได้ ทั้งยังกลัวตกงานอีก เลยต้องยกให้คนอื่นเอาไปเลี้ยง หลายปีมานี้ พวกเราคิดถึงเธอทั้งวันทั้งคืน หวังว่าจะได้เจอเธออีก แต่ทว่าหลายปีนี้พวกเราแทบไม่ค่อยได้ติดต่อกันเลย เพราะยกให้คนอื่นเลี้ยงไปแล้ว ตราบใดที่ครอบครัวอื่นดูแลเธออย่างดีก็พอแล้ว พวกเราก็ไม่สะดวกที่จะรบกวนเธอ และก็ไม่ดีสำหรับตัวเธอเช่นกัน”
“อ้อ” โจวเจ๋อพยักหน้า
“คราวนี้เป็นน้องชายของเธอที่ชีวิตย่ำแย่และป่วยเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว ผมรู้แค่ว่าครอบครัวที่รับเธอมาเลี้ยงอาศัยอยู่ในย่านนี้เมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว ผมจึงทำได้เพียงมาหาดูที่นี่เท่านั้น ลูกพี่สาวคนโตก็จับคู่ปลูกถ่ายไขกระดูกไม่สำเร็จตอนนี้มีเพียงเธอเท่านั้นที่จะช่วยชีวิตน้องชายของเธอได้ และเรายังสามารถกลับมารวมกันเป็นครอบครัวได้อีกด้วย”
“น้องชายงั้นเหรอ” โจวเจ๋อขมวดคิ้วและถาม “ปีนี้เธออายุเท่าไร”
“สิบเจ็ดปีแล้ว”
“น้องชายของเธออายุเท่าไร”
“สิบหกปี”
“น่าสงสาร” โจวเจ๋อถอนหายใจ
“ใช่ เด็กวัยรุ่นดีๆ ทำไมถึงเป็นโรคนี้ได้กันนะ เถ้าแก่ คุณช่วยผมดูด้วยนะ ผมจะไปติดข้างหน้าต่อไป ผมติดต่อสื่อไว้แล้ว และอาจมีสัมภาษณ์ในวันพรุ่งนี้ คาดว่าอีกไม่นานน่าจะหาเธอเจอ จนถึงตอนนั้นครอบครัวของเราจะกลับมารวมกันอีกครั้ง และน้องชายของเธอจะรอด”
ชายวัยกลางคนยิ้มอย่างจริงใจ
จากนั้นก็เดินไปด้านหน้า
หลังจากที่รอเขาเดินไปไกลจนร่างหายไปในยามค่ำคืน
โจวเจ๋อมองดูป้ายประกาศตามหาคนหาย บนผนังหน้าร้านและพูดเบาๆ
“น่าสงสาร”
จากนั้นโจวเจ๋อก็เอื้อมมือไปฉีกป้ายประกาศใบนั้นที่เพิ่งติดไปเมื่อสักครู่ลงมา
………………………………………………….