ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล - ตอนที่ 603 หลี่ซิ่วเฉิง!
ตอนที่ 603 หลี่ซิ่วเฉิง!
ทนายอันหลังจากพูดประโยคนี้จบก็หุบปากทันทีเมื่อรู้ตัว จากนั้นถอนหายใจยาวด้วยความจึงโล่งอก โชคดีที่เถ้าแก่ไม่อยู่ เจ้าลิงที่อยู่ข้างๆ กับเด็กผู้ชายก็ไม่ใช่คนปากมาก
ถ้าหากเถ้าแก่มาได้ยินเข้า ตัวเขาอาจจะต้องไปเป็น ‘ผู้รักษาความสะอาด’ บนถนนหนานต้าหนึ่งเดือนเป็นแน่
เถ้าแก่ของเขาอย่ามองว่าปกติจะชอบนอนอาบแดดอ่านหนังสือพิมพ์เหมือนคนแก่ แต่เรื่องของจิตใจนั้นบอกเลยว่าไม่กว้างเท่าไรนักไม่ถูกว่าใหญ่แค่ไหน ทว่าถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ ทนายอันก็รู้สึกตกใจและแปลกใจเอยู่บ้าง
เรื่องของอิ๋งโกวเถ้าแก่ไม่ได้ปิดบังเขา เขาเองก็พอเข้าใจว่าหลายปีที่ผานมานี้อิ๋งโกวฟื้นตัวและหลบซ่อนตัวด้วยวิธีใดบ้าง เมื่อดูการตอบสนองของแม่นางไป๋รวมทั้งการจัดการและการกระทำแต่ละอย่างก่อนหน้านั้น โครงเรื่องทั้งหมดจึงค่อยๆ ปรากฏออกมา
ทนายอันเกิดเร็วไปหน่อยและเป็นยมทูตมาเป็นเวลาเนิ่นนาน แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ได้เกิดมานานขนาดนั้น ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะทันยุคการต่อสู้ขัดแย้งของกองทัพไท่ผิง
แต่ถึงแม้จะเกิดไม่ทัน และไปหาคนที่พอเข้าใจประวัติศาสตร์อยู่บ้าง ก็น่าจะพอเดาออกว่าจงหวังหลี่ซิ่วเฉิงในตอนนั้นเป็นคนแบบไหน
คนผู้นั้นถึงแม้จะพูดว่าเป็นคนกว่างซี แต่กลับไม่ใช่คนกว่างซีกลุ่มเดียวกับพวกหงซิ่วเฉวียน แต่เป็นทหารธรรมดาทำความดีความชอบจากการสู้รบจนได้เลื่อนขั้นมาอยู่ในตำแหน่งแม่ทัพ หลังจากนั้นนำทัพเข้าทำลายค่ายใหญ่เจียงเป่ยหนึ่งในการสู้รบที่มีชื่อเสียงของกองทัพไท่ผิง ต่อมาได้รับชัยชนะครั้งใหญ่ที่ซานเหอ และบุกทำลายค่ายใหญ่เจียงหนาน ถือว่าเป็นความเฟื่องฟูของเทียนไท่ผิงเทียนกั๋ว และยังถือว่าต่ออายุให้กับไท่ผิงเทียนกั๋วอีกด้วย
ขณะที่หงซิ่วเฉวียนต่อสู้จนเจียนรนหาที่ตาย ภายใต้การเล่นจนเสียคนโดยไม่คิดถึงชีวิตของเบื้องบนไท่ผิงเทียนกั๋ว เขาถือว่าได้ปกป้อง ‘ประเทศ’ อย่างสุดความสามารถแล้ว
ฮิๆ คิดแล้วก็สนุก ท่าทางเถ้าแก่ของเขานอนอาบแดดกับจงหวังคนนั้นบุกตะลุยไปทั่วยืนเต๊ะท่าเย้ยหยันใส่กันสนามรบด้วยสายตาเย้ยหยัน ไม่สามารถทำให้คนคิดเชื่อมโยงถึงกันได้อย่างสิ้นเชิง แต่ทั้งสองคนเนื่องจากเกี่ยวข้องกับอิ๋งโกว จึงเกิดข้อผูกมัดและเชื่อมโยงกันอยู่ รสนิยมของอิ๋งโกวเปลี่ยนเร็วมากจริงๆ
…
โจวเจ๋อขับรถอย่างรวดเร็ว ความปลอดภัยของอิงอิงเขากังวลเป็นอย่างยิ่ง เมื่อจอดรถหน้าร้านหนังสือแล้ว ตัวเองไม่ทันได้ดับเครื่องยนต์ก็วิ่งตรงไปผลักประตูร้านหนังสือแล้วเดินเข้าไป
ทันทีที่เหยียบเท้าเข้าไป ก็ได้กลิ่นแป้งปะทะมาที่ใบหน้า กลิ่นฉุนหายใจลำบาก ความมัวสลัวโดยรอบทำให้คนยากที่จะมองออกถึงสภาพที่เป็นจริง โจวเจ๋อขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว แหวนสำริดที่นิ้วนางซ้ายของตัวเองก็เริ่มสั่นขึ้นมาเบาๆ
เถ้าแก่โจวมีภูมิต้านทานที่แข็งแกร่งต่อภาพลวงตา บวกกับเขาที่เคยเดินอยู่บนสะพานไน่เหอกับอิ๋งโกวหนึ่งครั้ง จึงยิ่งเป็นการฝึกฝนที่ทำให้คนอื่นอิจฉา และด้วยพลังของแหวนสำริด จึงเท่ากับเพิ่มพลังความสามารถให้ตัวเอง เว้นเสียแต่ว่าเป็นภาพลวงตาที่แต่งสร้างขึ้นด้วยความโดยตัวตนที่มากความสามารถจนน่่าสะพรึงกลัวจริงๆ ที่เหลือถ้าอยากจะทำให้โจวเจ๋อสับสนมึนงงถือว่าไม่ง่าย
แต่ครั้งนี้โจวเจ๋อไม่เลือกที่จะให้ตัวเองมีสติ เขาเลือกที่เหลือความมีสติไว้ห้าส่วนเปอร์เซ็นต์ และเดินเข้าไปข้างในต่อไป เขาสามารถต้านทานได้ แต่ไม่เห็นว่าอิงอิงจะสามารถต้านทานไหว โดยเฉพาะยามที่อยู่ต่อหน้าแม่นางไป๋
รูปแบบที่เห็นอยู่ในสายตาของเขา เป็นกลิ่นอายความโบราณกับรูปแบบการตกแต่งของร้านหนังสือถูกสลับสับเปลี่ยนไปไม่หยุด โจวเจ๋อลืมตาเดินมองหาเข้าไปด้านใน
ตำแหน่งเดิมของเคาน์เตอร์ที่อยู่แต่เดิมกลายเป็นฉากบังลมอันหนึ่ง เมื่อเดินอ้อมไปกลับเป็นเตียงสีแดงเตียงอันหนึ่ง มีผู้หญิงคนหนึ่งนั่งอยู่ข้างเตียง ใส่เสื้อแพรสีแดงคล้ายกับชุดแต่งงานออกเรือน แต่เรียบง่ายและงดงาม ไม่ใช่สีแดงเข้มล้วน
ผู้หญิงนั่งอยู่ตรงนั้น เธอไม่มีผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวสีแดง และเอาแต่มองโจวเจ๋อ
“เถ้าแก่ ท่านคุณมาแล้ว ข้าฉันอยู่ตรงนี้เจ้าค่ะ”
“คุณเจ้ามาแล้ว ฉันข้ารอเจ้าคุณนานแล้วค่ะ”
สองเสียงต่างสำเนียงพูดออกมาพร้อมกัน โจวเจ๋อรู้สึกว่าตัวเองปวดศีรษะเล็กน้อย แต่ก็ยังยับยั้งตัวเองไม่ให้โต้กลับและมีสติ เขาเดินไปข้างหน้าสองสามก้าว เดินมาข้างเตียง ยื่นมือจับมือของผู้หญิงอย่างแน่น “อิงอิง ไปกับผม”ผู้หญิงถูกดึงขึ้นมาแล้วเดินออกไปพร้อมกับเขา
โจวเจ๋ออยากลากดอิงอิงออกไปจากร้านหนังสือก่อนแล้วค่อยว่ากัน ถึงแม้พลังส่วนใหญ่ของแม่นางไป๋จะอยู่ที่วัดเฉิงหวงเมี่ยว และตอนนี้น่าจะถูกพวกทนายอันจัดการเรียบร้อยแล้ว ทว่าอิงอิงเป็นผีดิบที่เกิดจากกายเนื้อของแม่นางไป๋ โจวเจ๋อไม่กล้าชักช้าแม้แต่วินาทีเดียว
ถึงแม้ต้องต่อสู้กับแม่นางไป๋จริงๆ โจวเจ๋อก็ไม่กลัว แต่ผู้หญิงคนนี้เจ้าเล่ห์ มีแผนเยอะ ไม่ใช่คนที่น่าคบหา
“เถ้าแก่ ฉันข้าจะไปกับท่านคุณ”
“เธอเจ้าไปสิ เจ้าไปเลยๆ”
โจวเจ๋อจูงมือของผู้หญิงเดินออกจากประตูใหญ่ร้านหนังสือ แต่ด้านนอกกลับมีลมพัดมากะทันหัน หลังจากรอให้ลมหยุดพัด สิ่งที่เข้าสู่ดวงตาหาใช่ถนนหนานต้าที่เต็มไปด้วยผู้คนสัญจรไปมา แต่เป็นเชิงเทินบนขอบกำแพงเมืองที่ทอดยาว ด้านล่างมองเห็นคูน้ำและสิ่งกีดขวางที่แน่นขนัด พลทหารไว้เปียด้านหลังศีรษะเดินไปมาขวักไขว่
ธงรบคำว่า ‘มงคล’ ที่อยู่ด้านล่างยังคงพลิ้วไหวไปตามสายลมที่อยู่ท่ามกลางหมอกควันสีดำ เต็มไปด้วยบรรยากาศที่บีบเค้นและหนาวเหน็บ และบนกำแพงเมืองที่อยู่ข้างกายเขา พลทหารที่โพกผ้าสีแดงแต่ละคนเหมือนกำลังจะระแวดระวัง แต่จากนั้นเมื่อเห็นเขา กลับทำความเคารพพร้อมกันอย่างไม่น่าเชื่อ
โจวเจ๋องงงันอยู่บ้าง จึงก้มมอง พบว่าตัวเองกลับสวมเสื้อเกราะทหาร ด้านในเสื้อเกราะเป็นเสื้อผ้าสีม่วง แต่สไตล์อะไร วัสดุแบบไหน ไม่สามารถมองออกได้ในระยะเวลาอันสั้น
เขาหันกลับมาอีกครั้ง มองผู้หญิงที่ตัวเองจูงมืออยู่ แต่กลับพบว่าอิงอิงก็ใส่เสื้อเกราะเหมือนกัน พร้อมกับแขวนดาบสันโค้งอยู่ที่เอวของเธอ หน้าตาองอาจผึ่งผาย โดยเฉพาะนัยน์ตาลุ่มลึกคู่นั้นมาพร้อมกับความเย็นเยือกที่น่าครั่นคร้าม
เวลานี้ตอนนี้ โจวเจ๋อรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังถ่ายทำละคร ‘ผ่าทะลุฟ้า รักทะลุมิติ’ อยู่ ความฝันและความจริงเริ่มแยกออกจากกันอย่างช้าๆ แต่ก็หลอมรวมกันในเวลาเดียวกัน
“สนุกไหม” โจวเจ๋อมองไปรอบๆ แล้วถามโดยตรง ทุกอย่างเป็นฝีมือของแม่นางไป๋ทั้งสิ้นโดยไม่ต้องสงสัย
เถ้าแก่โจวเกลียดความชักช้ายืดยาดที่สุด ตรงไปตรงมาไม่ดีกว่าหรืออย่างไร ทำไมต้องสร้างเรื่องสร้างฉากใหญ่โตอลังการอย่างนี้มากระตุ้นอารมณ์
“ท่านพ่อ พวกเราไปกันเถอะเจ้าค่ะ พวกเราไปจากเทียนจิง พวกเราค่อยกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง! ตอนนี้เทียนหวัางจับกุมตัวคนในครอบครัวของท่านแล้ว เทียนหวัางไม่เชื่อใจท่านอีก แต่พี่น้องของพวกเราทุกคนยังคงเชื่อใจท่าน!”
คนที่พูดคือไป๋อิงอิง เธอต้องตั้งใจกดเสียงต่ำ บวกกับลมเหนือกำแพงที่พัดแรงมาก ดังนั้นจึงไม่กังวลว่าคนอื่นจะรู้เรื่อง สถานที่ที่อันตรายที่สุดคือสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุด ไม่ว่าใครก็คาดคิดไม่ถึงว่าท่ามกลางสายตาของทุกคนที่ถูกจ้องมองมา จะมีคนกล้าพูดเรื่อง ‘ก่อกบฏ’ เช่นนี้
แต่อิงอิงเรียกฉันว่าอะไรนะ เธอเรียกฉันว่าพ่อ โจวเจ๋ออยากหัวเราะอยู่บ้าง ฟังแล้วแปลกพิลึก แต่ก็รู้สึกชอบใจเล็กน้อย
“ท่านพ่อ ปีศาจชิงขวางพวกเราไม่ได้ ขอแค่ออกจากเทียนจิง ฟ้ากว้างแผ่นดินใหญ่ พวกเราไปที่ไหนก็ได้ ข้างนอกยังมีพี่น้องชายน้องสาวพวกพ้องของพวกเรามากมาย ขอแค่พวกเราออกไปจากเทียนจิง ไม่ช้าก็จะรวบรวมกองทัพได้อีกครั้ง แล้วสร้างเมืองสวรรค์ขึ้นใหม่! ไม่มีท่านพ่อ เทียนจิงอยู่ไม่ได้” ขณะที่พูด สายตาของผู้หญิงกวาดตามองพระราชวังที่โอ่อ่ายิ่งใหญ่น่าเกรงขามด้วยแววตาที่เย็นชา
“เทียนหวังผู้นี้ ปล่อยให้เขาตายอยู่ที่เมืองนี้ไปเถอะ ถึงตอนนั้นท่านพ่อก็สามารถเรียกตัวเองว่าเทียนหวัางได้เช่นกัน! จะได้ไม่ต้องทนอยู่กับบรรยากาศที่เลวทรามป่าเถื่อน!”
โจวเจ๋อพอเข้าใจในที่สุด แม่งเอ๊ยนี่มันคือฉากที่สมัยนั้นกลับมาเล่นมซ้ำอีกแล้วใช่ไหม อิงอิงจะต้องเป็นแม่นางไป๋ในช่วงนั้น แล้วฉันล่ะ พอนึกถึงคำบรรยายของชายชราในภาพวาด เอ๊ะ ฉันแสดงเป็นหลี่ซิ่วเฉิง อย่างนั้นตอนนี้ลูกสาวบุญธรรมของตัวเองกำลังโน้มน้าวตัวเองให้ก่อกบฏหรือ
เมื่อคิดได้ดังนี้ เถ้าแก่โจวจึงจงใจหันกลับไปแสร้งทำเป็นจริงจังใหญ่โต จากนั้นมองพระราชวังอันโอ่อ่าที่อีกสองสามครั้ง
ไท่ผิงเทียนกั๋วกำหนดให้หนานจิงเปลี่ยนชื่อเป็นเทียนจิงเมื่อสิบปีก่อน ควรทราบว่าพวกกบฏหลอกลวงเหล่านี้เดิมมีระดับความสามารถต่ำมากเป็นคนต่ำทราม หากเทียบกับจักรพรรดิถังเกาจู่พระนามเดิมหลี่ยวน หลี่ซื่อหมินโอรสองค์รองของจักรพรรดิถังเกาจู่ จักรพรรดิซ่งไท่จูพระนามเดิมเจ้าควงอิ้น และจูหงอู่หรือจักรพรรดิหงอู่พระนามเดิมจูหยวนจาง ความแตกต่างกันถือว่าไม่ธรรมดา ดฮณ๊ฯดฯฌซ,
ด้านนี้ราชสำนักชิงยังไม่ตายสิ้น ประเทศนี้ยังไม่มั่นคงและยังคงสู้รบกันอยู่ ส่วนทางนั้นผู้คนกลับเริ่มเสพสุขตามอำเภอใจใช้ชีวิตย่างสงบสุข คำพูดโกหกเมื่อพูดเยอะขึ้นก็อาจจะได้ผลกลายเป็นความจริง จึงมองตัวเองเป็นลูกของพระบิดาเทียนฟู่ที่ทำตามโองการสวรรค์จริงๆ
การตกแต่งประดับประดาพระราชวังนี้สวยงามมากจริงๆ เสียดายที่คนรุ่นหลังไม่มีทางสามารถได้เห็น เพราะหลังจากเมืองเทียนจิงถูกตีแตก ทหารของเจิฉิงกั๋วเฉวียนได้กระทำการปล้นสะดมทั่วเมืองเทียนจิงด้วยความรุนแรง พวกเขาเผาปล้นฆ่าจนแทบจะทำให้เมืองเทียนจิงเป็นเมืองร้าง
กองทัพเซียงต่อสู้อยู่ในเมืองเทียนจิงอย่างสุดชีวิตเป็นเวลานานเกินไป บวกกับความคุ้นชินของกองทัพเซียงในตอนนั้น จะไม่ยอมให้ลูกน้องของตัวเองฉกฉวยทรัพย์สินเมื่อได้โอกาส เพราะดังนั้นนี่จึงเป็นคือการก่อกบฏ หลังจากเกิดเหตุการณ์นี้เกือบทำให้เจิฉิงกั๋วเฉวียนต้องเสียชีวิต ยังดีที่พี่ชายของเขาช่วยเขารักษาไว้ได้ทัน
ฉันทำเป็นมองไม่เห็นว่าต้องแสร้งเล่นละครกับเธอ เถ้าแก่โจวไม่พูด จึงทำให้สถานการณ์กระอักกระอ่วนไปชั่วขณะ อันที่จริง สิ่งที่สำคัญที่สุดคือเถ้าแก่โจวไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร ไม่มีใครให้บทกับเขา สองคือสมองเขามีปัญหาหรือถึงต้องย้อนอดีตเป็นเพื่อนแม่นางไป๋ หลี่ซิ่วเฉิงในตอนนั้นเกี่ยวอะไรกับฉันด้วย
แต่ในเวลานี้ท่ามกลางความมืดมิดดูเหมือนจะมีอะไรร่วงมาใส่ตัวเอง โจวเจ๋อจึงสะดุ้งตื่น มีคนอย่างสิงร่างของฉัน! ให้ตายเถอะ เถ้าแก่โจวโกรธแล้ว ย้อนอดีตมาเล่นเป็นเพื่อนเธอถือว่าฉันยอมถอยให้เยอะแล้ว ได้คืบจะเอาศอกใช่ไหม ทว่าเวลานี้อารมณ์เศร้า ลังเล สับสน รวมทั้งโกรธเคืองเริ่มสุมอยู่เต็มอกของโจวเจ๋ออย่างรวดเร็ว จริงๆ เลย เจ็บปวดหัวใจเร็วจริงๆ!
เถ้าแก่โจวรู้สึกงงเล็กน้อย เขารู้สึกว่าสิ่งนั้นไม่ได้เข้ามาจากด้านนอก แต่ผุดขึ้นมาจากภายในร่างกายของตัวเองหรือว่าอิ๋งโกวตื่นแล้วใช่ไหม
“คำพูดพวกนี้ อย่าได้พูดอีกเดี๋ยวค่อยว่ากัน เทียนหวังมีบุญคุณอุ้มชูข้า กิจการของเทียนกั๋วก็อยู่ที่ตัวข้า ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นเช่นไร ข้าจะไม่ไปไหนทั้งนั้น” คำพูดนี้ออกมาจากปากของโจวเจ๋อ แต่กลับไม่ใช่สิ่งที่โจวเจ๋ออยากพูด
“ท่านพ่อ เหตุใดต้องทำแบบนี้ ข้า…”
“วางใจเถอะ พ่อไม่ตายหรอก” โจวเจ๋อยื่นมือวางบนไหล่ของผู้หญิง แล้วยิ้มพูดว่า “เทียนหวัางบอกว่าเขาเป็นลูกชายของพระบิดาเทียนฟู่ จะจริงหรือหลอก ข้าไม่รู้ แต่ข้ากลับรับรู้ได้ว่า ทุกครั้งที่ข้าออกรบ เวลาที่งีบหลับพักผ่อนยามราตรีมักจะฝันเห็นคนผู้หนึ่ง เขานั่งอยู่บนบัลลังก์ที่กองพะเนินไปด้วยกองกระดูกขาว ทอดมองไปเบื้องหน้า
ไม่กลัวว่าเจ้าจะหัวเราะ บางครั้งข้าก็อยากจะคิดจริงๆ ว่า ตัวเองก็มีบัญชาสวรรค์ติดตัวมาใช่หรือไม่ ตอนเด็กไม่รู้สึกว่ามีอะไร แต่พอออกรบเหนือยันใต้เมื่อหลายปีที่ผ่านมา ได้ฆ่าคนเยอะขึ้น กลับและรู้สึกว่ายิ่งใกล้ชิดสนิทสนมกับเขามากขึ้นเรื่อยๆ เรื่องของข้า เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง เจ้าออกจากเทียนจิงไปก่อน”
“ท่านพ่อ ข้าไม่ไป!”
“วางใจเถอะ เขาจะไม่ยอมให้ข้าตาย ข้าไม่ตายอยู่แล้ว”
………………………………………………………………………..