ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล - ตอนที่ 614 ภูเขาคะฉิ่น!
ตอนที่ 614 ภูเขาคะฉิ่น!
ศพนับสิบนอนระเกะระกะอยู่บนพื้น บวกกับศพที่ไร้สภาพอีกไม่น้อย ดังนั้นกลิ่นคาวเลือดบริเวณนี้จึงฉุนหนักมาก ยังดีที่สภาพแวดล้อมของที่นี่ค่อนข้างเป็นป่าฝนเขตร้อน มีดงงูและแมลงมากมาย ศพที่อยู่แถวนี้ใช้เวลาไม่นานก็จะกลับคืนสู่อ้อมอกของธรรมชาติอีกครั้ง
ส่วนที่ว่าคนกลุ่มนี้เป็นใคร โจวเจ๋อกับทนายอันไม่สนใจไม่อยากรู้ พวกเขามีธุระถึงได้ออกมา สาเหตุที่ฆ่าพวกเขาไม่ใช่เพราะแค้นเหมือนเจอศัตรูอยากช่วยลดหน้าที่รับผิดชอบให้ทหารเขตชายแดน หรือเพื่อเพิ่มประกันด้านความปลอดภัยให้ประชาชนในชาติ แต่เป็นเพราะปากกระบอกปืนของคนหนึ่งในนี้มันแม่นเกินไป กระสุนปืนลูกหลงเกือบทำให้ทนายอันซี้แหงแก๋เท่านั้นเอง
สวี่ชิงหล่างหยิบน้ำเปล่าออกมาจากกระเป๋าแล้วล้างมือ โจวเจ๋อกลับมองไปข้างๆ ของศพ เก็้บปืนขึ้นมากระบอกหนึ่ง แต่เป็นรุ่นอะไร โจวเจ๋อไม่รู้ และในทีมก็ไม่มีใครรู้เรื่องเหล่านี้ จากนั้นจึงหากระสุนปืนออกมา แล้วโยนกระบอกปืนให้อิงอิงเพื่อให้เธอนำไปทำความสะอาด เก็บไว้เป็นของที่ระลึก
หลังจากเตรียมตัวพร้อมแล้ว ทุกคนจึงออกเดินทางอีกครั้ง จริงๆ แล้วสถานที่ที่อยากจะไปอยู่ไม่ไกลแล้ว แต่ที่นี่ไม่มียานพาหนะ จึงได้แต่เดินเท่านั้น อีกทั้งทางเดินก็เต็มไปด้วยโคลนเลน เดินไม่สะดวก ดังนั้นจึงเดินเร็วไม่ได้
ขณะเดียวกันตอนที่ทุกคนเดินผ่านกิ่งไม้ ปลิงแต่ละตัวที่แอบซ่อนอยู่ ขอแค่มีคนเดินผ่านพวกมันก็จะกระโดดนออกมามุดเข้าไปในเสื้อผ้าของคุณโดยตรง เวลาที่เจ้าสิ่งนี้ดูดเลือด ตอนแรกคุณจะไม่รู้สึกอะไร ดังนั้นคนที่ไม่มีประสบการณ์เยอะเมื่อเข้ามาในป่าฝนแบบนี้ มักจะพบว่ามีปลิงดูดเลือดอยู่เต็มหลังของตัวเองตอนที่นั่งพักเท้าอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่
อิงอิงไม่กลัวสิ่งเหล่านี้ แต่คุณผู้ชายที่เหลือทั้งสามคนกลับเป็นห่วงเรื่องนี้อย่างมาก เพราะถือว่าเป็นอาวุธชีวภาพยันต์กระดาษ น้ำมนต์หรืออะไรทำนองนี้ไม่สามารถทำอะไรพวกมันได้
พลังปราณพิฆาตหรือไอปีศาจถือว่าได้ผล แต่ไม่สามารถปล่อยพลังออกมาตลอดการเดินทางไปข้างหน้าใช่ไหมเล่า เพราะทุกคนไม่ใช่เครื่องจักรที่ทำงานตลอดกาล เดินๆ หยุดๆ หยุดๆ เดินๆ จนเข้าสู่ยามดึกอีกครั้ง ทนายอันทั้งสามคนจึงสำรวจดูแล้วสำรวจดูอีกไม่รู้กี่ครั้ง จากนั้นจึงถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก แล้วบอกว่าถึงที่หมายแล้ว
ตำแหน่งของที่หมายไม่ใช่อพาร์ตเมนต์หรูห้าดาวที่เปิดในภูเขาลึก ไม่มีอาหารหอมกรุ่นควันฉุยจัดวางอยู่เต็มโต๊ะ แต่ในความเป็นจริงแล้ว จุดหมายปลายทางคือภูเขาที่ทอดยาวเหยียดนับร้อยลี้แห่งนี้…ภูเขาคะฉิ่น!
“เป็นสถานที่ที่ยอดเยี่ยมจริงๆ ตอนนั้นจูเก่อเลี่ยง (จูกัดเหลียง) ก็จับเมิ่งฮั่ว (เบ้งเฮ็ก) เจ็ดครั้งที่นี่” ทนายอันหัวเราะเหอะๆ พลางพูด จากนั้นหยิบปลิงตัวหนึ่งที่เพิ่งเกาะแขนของตัวเองออกไป เนื่องจากมันเพิ่งเกาะ ปลิงยังไม่ทันได้ดูดเลือด ดังนั้นจึงแกะออกมาง่าย ไม่อย่างนั้นตอนที่มันเริ่มดูดเลือดแล้ว อยากจะเอามือแกะทิ้งกลับไม่ง่ายเลย
จริงๆ แล้วภูเขาคะฉิ่นก็มีชื่อเสียงมากในประเทศจีน แต่แตกต่างจากตำนานเล่าขานของคนป่าที่เล่าถึงเสินหนงเจี้ย (อาณาเขตแห่งเทพกสิกร) ในประเทศที่มีชื่อเสียงอย่างสิ้นเชิง ทนายอันพูดเช่นนี้ อันที่จริงยึดตามความหมายของเขาก่อนหน้านั้น บางอย่างรู้อยู่ในใจก็พอ แต่อย่าพูดออกมา
โจวเจ๋อมองทนายอันหนึ่งที แล้วพูดโต้กลับโดยตรง “ตอนที่จูเก่อเลี่ยงยกทัพออกมาจากเฉิงตูเพื่อปราบกบฏมาถึงแค่คุนหมิงเท่านั้น จะวิ่งมาถึงที่นี่ได้ยังไง”
นิยายพงศาวดารและประวัติศาสตร์เป็นเหตุการณ์ที่ถูกนำมาปนกันได้ง่าย แต่เขตแดนของภูเขาคะฉิ่นอยู่ในดินแดนของประเทศจีนตามประวัติศาสตร์จริง แต่เนื่องจากความวุ่นวายต่างๆ ในยุคปัจจุบัน เป็นผลทำให้แผนที่ดั้งเดิมต้องสูญหายไปไม่น้อย นอกจากนี้ยังทิ้งปัญหาข้อพิพาทด้านดินแดนเอาไว้มากมาย จึงได้แต่พูดว่าเหล่าบรรพบุรุษสู้รบเก่ง ขยายดินแดนได้กว้างขวาง แต่ความไม่ได้เรื่องและความขี้ขลาดของคนรุ่นหลังทำให้ไม่สามารถรักษาเอาไว้ได้
“จะจริงจังไปทำไม จริงจังมากจะไม่สนุก” ทนายอันไม่ถือสา มองท้องฟ้าแล้วพูดว่า “คืนนี้พวกเราพักที่นี่กันเถอะวันพรุ่งนี้ค่อยเข้าไป เพราะมีบางสิ่งต้องเตรียมก่อนที่จะเข้าไป”
ต่อจากนั้นก็คือการตั้งเต็นท์พักผ่อน อิงอิงเตรียมชุดอุปกรณ์สำหรับการตั้งแคมป์เตรียมมาครบทุกอย่าง เธอมีแรงเยอะ แบกของคนเดียวได้มากมาย แต่ไม่รู้สึกเหนื่อยเลยสักนิด
สวี่ชิงหล่างเริ่มทำกับข้าว แต่เนื่องจากมีเงื่อนไขจำกัด ทุกคนก็ไม่อยากไปล่าสัตว์หรือหาผลไม้ ดังนั้นถึงแม้จะพูดว่าทำกับข้าว อย่างมากก็แค่ทำบะหมี่คลุกกับซุปผักเท่านั้น
ทนายอันออกไปตัดกิ่งไม้ข้างนอกกลับมาได้ไม่น้อย หลังจากเหลาไม้จนเรียบแล้วจึงหยิบกระดาษสาและเทียนไขออกมาจากในกระเป๋าของตัวเอง หลังจากกินข้าวแล้วเขาก็นั่งง่วนอยู่กับงานตรงนั้นอย่างสบายใจ
โจวเจ๋อเข้าไปนอนในเต็นท์ก่อนโดยมีอิงอิงนอนเป็นเพื่อน แต่คงเป็นเพราะว่าวันพรุ่งนี้ฟ้าสางก็ต้องเดินทางเข้าภูเขาอย่างแท้จริง เขาจึงนอนกหลับได้ไม่นานก็ตื่น
ตอนที่ออกมาจากเต็้นท์ โจวเจ๋อเห็นทนายอันยังนั่งทำงานอยู่ตรงนั้น นั่งเฝ้าอยู่หน้ากองไฟ สวี่ชิงหล่างเข้าไปพักผ่อนนานแล้วแล้ว
“นี่กำลังทำโคมไฟเหรอ” โจวเจ๋อชี้ไปที่ ‘ผลงาน’ ที่ทำเสร็จแล้วตรงหน้าทนายอัน โคมไฟห้าอันกับเทียนไขที่ติดอยู่ด้านใน แบ่งเป็นสีแดงกับสีขาวสองสี แต่เทียนไขเป็นสีขาว
ทนายอันกำลังทำโคมไฟอันที่หกอยู่ในมือ วัสดุส่วนใหญ่เขานำใส่กระเป๋ามาก่อนหน้านี้แล้ว แต่ไปเก็บกิ่งไม้มาเพิ่มตอนหลัง
“โอ้ว…” ทนายอันบิดขี้เกียจ หาวหวอด ก่อนจะพยักหน้า “ใช่ โคมไฟ”
โจวเจ๋อรินน้ำออกมาจากกระติกเก็บอุณหภูมิใส่แก้ว ถือไว้ในมือและค่อยๆ ดื่มมัน จากนั้นจึงมองหุบเขาที่อยู่ตรงหน้าแล้วเอ่ยว่า “ของพวกนี้ ใหญ่เกินไปไหม” ทั้งชีวิตนี้ โจวเจ๋อผ่านอะไรมาเยบอะ เหตุการณ์ที่หมู่บ้านซานเซียงถือว่าเป็นส่วนหนึ่ง ถ้ำใต้ดินของเด็กผู้ชายก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่สองอย่างนั้นเทียบกับสิ่งที่รอเขาอยู่ตรงหน้าหลังฟ้าสาง กลับไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
ทนายอันหยิบแก้วใบใหญ่ขึ้นมาแล้วดื่มกาแฟคำโตสองสามคำ ทำปากเสียงดังจ๊วบ มองโจวเจ๋อแล้วยิ้มพูดว่า“เถ้าแก่ กลัวเหรอ”
โจวเจ๋อส่ายหน้า “แค่ไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน ทุกคนออกมาด้วยกัน ก็ต้องกลับไปพร้อมกันโดยสวัสดิภาพ”
ทนายอันอ้าปากค้าง อยากจะพูดว่าเถ้าแก่ของตัวเองไม่น่ามีจิตใจเมตตา แต่พอคิดดูว่าตัวเองก็เป็นลูกน้องของเขา ไม่จำเป็นต้องโน้มน้าวเถ้าแก่ของตัวเองให้ไม่ต้องใส่ใจชีวิตของตัวเอง จึงไม่พูดอะไร
คืนนี้ไม่มีดวงดาว หมายความว่าวันพรุ่งนี้สภาพอากาศจะไม่ค่อยดี ในที่สุดทนายอันก็ทำโคมไฟเจ็ดอันเสร็จแล้ว แต่ละอันไม่ได้ชิ้นใหญ่มาก ท่อนไม้ที่ค่อนข้างหนาสองท่อนเกี่ยวไว้ข้างละสามอัน เถาวัลย์เส้นหนึ่งผูกเชื่อมอยู่ตรงกลางท่อนไม้ทั้งสองกับด้านบนที่แขวนไว้อีกหนึ่งอัน สามารถยกขึ้นได้เพียงคนเดียว ท่าทางนี้มีความคล้ายคนหามเกี้ยวเล็กน้อย
เมื่อเตรียมทุกอย่างเสร็จแล้ว ทนายอันจึงหยิบบุหรี่ออกมาจากในกระเป๋า ยื่นให้โจวเจ๋อหนึ่งมวน และช่วยจุดบุหรี่ให้โจวเจ๋อ
“เขานอนหลับแล้ว ใช่ว่าจะเป็นเรื่องร้าย อย่างน้อยเถ้าแก่คุณดูรีบร้อนกว่าแต่ก่อน”
โจวเจ๋อส่ายหน้าอย่างไม่แคร์ พ่นควันบุหรี่ออกมา แล้วพูดปฏิเสธว่า “ไม่ใช่เพราะกลัวตายอย่างเดียว ตอนที่เขาอยู่ ถึงแม้จะยืมพลังของเขาหลายครั้ง แต่จุดจบที่แย่ที่สุดไม่มีอะไรมากไปกว่าเขาอยากกินผม ตอนนี้เขาไม่อยู่ จุดจบที่แย่ที่สุดกลายเป็นผมต้องพาเขาตายไปด้วยกัน คือตายของจริง จบสิ้นไปตลอดกาล”
“เหอะๆ ผู้ชายที่มีครอบครัวจึงแตกต่างออกไป” ทนายอันพูดแซว
โจวเจ๋อก้มหน้าดื่มน้ำหนึ่งที สองสามวันที่ผ่านมา ตัวเขาเองกำลังคิดว่า ตัวเองทำไมตัวเองถึงตกลงตามข้อเสนอของทนายอัน เดินทางไกลนับหมื่นลี้มาที่นี่ เนื่องจากระเบิดทำให้ร้านหนังสือพังเป็นเพียงข้ออ้างหนึ่งเท่านั้น เขาเป็นคนขี้เกียจ เป็นคนเกียจคร้านเข้ากระดูก เขาคิดคำถามนี้เขาครุ่นคิดมานานมาก แต่ยังหาคำตอบไม่เจอ เป็นเพราะเจ้าโง่นอนหลับเหรอ เป็นเพราะภูเขาไท่ซานที่อยู่ในส่วนลึกของวิญญาณตัวเองเหรอ หรืออาจจะเป็นไปได้ว่าสิ่งที่ทนายอันพูดเมื่อครู่นั้นถูกต้อง
ตอนที่อยู่คนเดียวกินอิ่มก็พอแล้ว ปล่อยตัวเองให้ไหลไปตามกระแสน้ำก็ไม่เป็นไร แต่ตอนที่ตัวเองต้องรับผิดชอบคนอื่น จึงเกรงใจถ้าหากจะพลิกตัวนอนอาบแดดอยู่ตรงนั้น
ชาติที่แล้วเขาเป็นเด็กกำพร้า ต่อสู้และพยายามเพื่อตัวเองมาตลอด แต่ชาตินี้กลับเกียจคร้าน เขาไม่มีญาติสนิทและไม่ได้แต่งงาน หรือจะพูดให้ถูกก็คือ นอกจากความเจ็บป่วยของตัวเองแล้ว โจวเจ๋อไม่เข้าใจสิ่งที่เรียกว่า ‘ความรับผิดชอบ’ ว่ามีความหมายอย่างไรกันแน่
“เถ้าแก่ บางครั้งผมก็อิจฉาคุณ” ทนายอันดื่มกาแฟอีกหนึ่งคำโต จากนั้นจึงเช็ดหางตา กาแฟเนสท์เล่สำเร็จรูปหมดอายุถูกเขาดื่มเหมือนเป็นเหล้าเหมาไถแล้ว “ตอนแรกที่ผมเป็นผู้จับกุม มีลูกน้องห้าคน ตายไปสี่ เหลือเฝิงซื่อเอ๋อร์ที่ยังมีชีวิตอยู่ เหอะๆ ไม่ค่อยมีความรุ่งโรจน์อะไร สี่คนนั้นเพื่อตอบสนองความทะเยอทะยานของผม ถึงได้เกิดอุบัติเหตุเสียชีวิต ตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ ผมเป็นลูกเศรษฐี ตายไปเป็นผียมทูต ก็ยังอยาก ‘อยู่เหนือคน’ เหมือนเดิม ดังนั้นหลังจากเฝิงซื่อเอ๋อร์หักหลังผม ผมจึงเกลียดเขา แต่นานวันเข้าผมก็ไม่เกลียดแล้ว”
“ดื่มกาแฟก็เมาได้เหรอ” โจวเจ๋อกลายเป็นนักทำลายบรรยากาศสดชื่น
“ฮิๆ” ทนายอันเงยหน้าเอ่ยว่า “เถ้าแก่ มีบางคำที่ผมไม่ควรพูด ผมรู้ว่าพูดแล้วคุณก็ไม่ฟัง แต่ผมต้องพูด หากไม่พูดผมจะไม่สบายใจ ผมไม่เกลียดเฝิงซื่อเอ๋อร์ แต่ผมไม่เคยคิดว่าตัวเองทำผิด คนเป็นหัวหน้า อย่าให้ความสำคัญกับชีวิตของลูกน้องมากเกินไป” ขณะที่พูดทนายอันได้ขยับเข้ามาใกล้โจวเจ๋อ จ้องมองดวงตาของโจวเจ๋อแล้วพูดอย่างจริงจังว่า “เพราะว่ารวมผมด้วย จริงๆ แล้วเถ้าแก่คุณยังไม่รู้ว่า ทุกคนรวมทั้งผมด้วยต้องการอะไรกันแน่ และไม่รู้ว่า ส่วนลึกในใจของพวกเราแอบซ่อนความคิดอะไรกันแน่ คุณค่าถูกบีบออกมาแล้ว อะไรที่ควรตายก็ตายไปเลย ลดปัญหายุ่งยากที่จะตามมาในภายหลัง”
“คุณเมาแล้วจริงๆ” โจวเจ๋อยื่นมือตบไหล่ของทนายอัน
“อ้อใช่ ผมเมาแล้ว”
ผู้ชายสองคนไม่พูดอะไรอีก สายลมตอนกลางคืนมาพร้อมกับความหนาวเย็น และมาพร้อมกับความเงียบสงบ
ทั้งสองคนนั่งด้วยกันอยู่อย่างนี้ สูบบุหรี่มวนแล้วมวนเล่า จากนั้นท้องฟ้าก็เริ่มสว่างโดยไม่รู้ตัว โจวเจ๋อเดาไม่ผิดสภาพอากาศของวันนี้ไม่สู้ดีนัก เพราะป่าไม้บริเวณรอบๆ เกิดหมอกควันลอยขึ้นมาเป็นระยะ และแนวภูเขาคะฉิ่นที่อยู่เบื้องหน้าก็ถูกปกคลุมไปด้วยหมอกหนาเหมือนในโลกแห่งความฝัน
สวี่ชิงหล่างกับอิงอิงต่างเดินออกมาจากเต็้นท์ของตัวเอง ทุกคนกินอาหารเช้าพร้อมกัน
หลังจากกินข้าวแล้ว ทนายอันลุกขึ้นขยับแขนขาเพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อ จากนั้นจึงหมุนตัวไปทางโจวเจ๋อ ยื่นมือชี้ไปยังแนวเขาของภูเขาคะฉิ่นที่อยู่ด้านหลัง แล้วตะโกนพูดกับโจวเจ๋อ
“เถ้าแก่ ผมเคยพูดแล้ว เรื่องบางเรื่อง พูดแล้วจะไม่ศักดิ์สิทธิ์ จริงๆ แล้วก็คือพูดไปก็ไม่มีความหมายอะไร คุณลืมเรื่องที่ผมพาคุณมาเพราะอยากให้เลื่อนขั้นเป็นผู้จับกุมไปเสียเถอะ จำไว้แค่ว่า เมื่อเจ็ดสิบกว่าปีก่อน มีพี่น้องทหารออกรบเพื่อชาติกว่าสี่หมื่นนายอยู่ระหว่างทางกลับบ้าน พวกเขารออยู่ที่นี่นานเจ็ดสิบกว่าปีแล้ว วันนี้ขอให้เถ้าแก่ช่วยนำทางพาพวกเขาเดินออกจากภูเขาคะฉิ่นลูกนี้ด้วยครับ พาพวกเขากลับบ้านที!”
……………………………………………………………………….