ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล - ตอนที่ 615 ธงพลิ้วปลิวไสว ม้าร้องดังฮี้ๆ
ตอนที่ 615 ธงพลิ้วปลิวไสว ม้าร้องดังฮี้ๆ
โจวเจ๋อลุกขึ้นหยิบ ‘โคมไฟเจ็ดดาว’ ที่ทนายอันอดหลับอดนอนทำเมื่อคืนขึ้นมาจากบนพื้น ท่อนไม้ทั้งสองถูกกำด้วยมือข้างละหนึ่งท่อน และทั้งสองข้างมีโคมไฟด้านละสามดวงแต่ละข้าง กับเถาวัลย์ที่พันอยู่ตรงกลางระหว่างท่อนไม้ถูกแขวนด้วยมีโคมไฟดวงที่เจ็ดแขวนอยู่ทั้งหมดเจ็ดดวง
ทนายอันโบกมือให้สวี่ชิงหล่าง สวี่ชิงหล่างยื่นยันต์กระดาษมาหนึ่งปึก ยันต์กระดาษนี้ไม่มีผลอะไร แค่เผาไฟง่ายเท่านั้น ทนายนอันตบด้วยสองมือ แล้วยันต์กระดาษทั้งปึกนี้จึงลุกไหม้ขึ้นมา จากนั้นเขาจึงขยี้คีบยันต์กระดาษเหล่านี้ แล้วไปจุดโคมไฟทั้งเจ็ดดวงนี้ทีละดวงแต่ละดวงจึงติดไฟ
ถึงแม้จะดูเหมือนทำเกินความจำเป็นไร้ประโยชน์ไปนิด แต่ตามธรรมเนียมโบราณ การใช้ไฟแช็ก หรือฟืน หรือถ่านไม้ หรือหินเหล็กไฟจุดไฟโดยตรง ถือว่าเป็นการกระทำที่ลบหลู่ไม่ให้ความเคารพ
หลังผ่านการวิวัฒนาการมาถึงยุคปัจจุบัน ประเพณีจึงเปลี่ยนไปเยอะมาก แต่ยังมีอีกหลายแห่งรักษาประเพณีการใช้ไม้จันทร์หอมจุดเผาเงินกระดาษในกระถางไฟไว้
โคมไฟทั้งเจ็ดดวงถูกจุดสว่าง โจวเจ๋อเดินไปข้างหน้าช้าๆ มันไม่หนัก แต่ต้องใช้แขนยกเพื่อรักษาความสมดุลเป็นเวลานาน ถือว่าไม่ใช่งานง่ายๆ โดยเฉพาะตอนที่เท้าอยู่บนพื้นโคลน
อิงอิงอยากเดินไปช่วยเคลียร์ ‘ทางอุปสรรคขวางทาง’ ที่อยู่ตรงหน้าเถ้าแก่ของตัวเอง แต่กลับถูกทนายอันห้ามไว้ ทุกคนหลังจากเก็บของอย่างรวดเร็วแล้ว จึงรีบเดินตามโจวเจ๋อที่เดินไปสักพักแล้วแต่ยังไปได้ไม่ไกล
พวกเขาไม่ได้เข้าใกล้ และได้แต่เดินตามอยู่ไกลๆ หมอกควันท่ามกลางภูเขาเริ่มหนักขึ้นเรื่อยๆ ความสามารถในการมองเห็นสิ่งต่างๆ รอบตัวลดต่ำลงถึงขีดสุด
โจวเจ๋อเป็นคนที่ผ่านโลกมาเยอะ เขารักษาความสมดุลของโคมไฟเจ็ดดาวอย่างต่อเนื่อง แต่พอเดินคราวนี้ก็ใช้เวลาไปห้าชั่วงโมงกว่า และไม่รู้ว่าเทียนเล่มนี้ของทนายอันมีเคล็ดลับทำมาจากอะไร ตอนนี้ไม่มีร่องรอยของการเผามอดเลยสักนิด แต่แขนทั้งสองข้างของเถ้าแก่โจวเหน็บชาไปหมดแล้ว ยังดีที่ปกติถึงแม้เขาขี้เกียจจนชิน แต่ด้วยนิสัยที่ดื้อรั้นจะไม่ร้องบ่นว่าเหนื่อยหรือลำบากและยอมแพ้เด็ดขาด เขาเดินทางมาแต่ไกล เดินวนไปวนมาอยู่ในป่้าฝนแห่งนี้อยู่นาน จะพูดว่ายอมแพ้แล้วยอมแพ้ได้อย่างไร
“ทำไมยังไม่เห็นมีความเคลื่อนไหว” ไป๋อิงอิงสงสารเถ้าแก่ของตัวเองอยู่บ้าง จึงอดไม่ได้ที่จะถามทนายอัน
ทนายอันเลียปาก ไม่ตอบอิงอิง แต่ตะโกนพูดกับเถ้าแก่ที่อยู่ข้างหน้า “ร้องเพลง!”
โจวเจ๋อหยุดเดินครู่หนึ่ง ถึงแม้แต่ชาติที่แล้วเขาจะตอนที่เป็นหมอ แต่เขาก็ไปร้านคาราโอเกะแบบนี้น้อยมาก อีกทั้งมีนิสัยชอบเก็บตัว ถ้าหากร้องเพลงคนเดียวล่ะก็ คนส่วนใหญ่จะรู้สึกมีความสุข แต่ถ้าหากมีคนมอง จะรู้สึกอายเวลาที่ร้องเพลง
ยังดีที่โจวเจ๋อเข้าใจว่าไม่ใช่งานเลี้ยงเต้นรำ ไม่ต้องการให้ตัวเองขึ้นไปแสดงโชว์อะไร และไม่มีกรรมการให้คะแนนหรือถามว่าความฝันของคุณคืออะไร สาเหตุที่ทนายอันสั่งให้เขาฟังเพลงก่อนหน้านั้น มีจุดประสงค์และเจตนาคืออะไร โจวเจ๋อพอเข้าใจ ไม่อย่างนั้นขคงไม่ตั้งใจฟังอยู่หลายรอบ
เพลงนั้นไม่ถือว่ายาก และจริงๆ แล้วก็ไม่ใช่เพลงทหาร เพลงนี้แต่งขึ้นในปี 1933 ช่วงแรกสุดดูเหมือนจะเป็นเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่องหนึ่งในยุคเริ่มต้น
“ธงพลิ้วปลิวไสว ม้าร้องดังฮี้ๆ ปืนอยู่บนบ่า ดาบอยู่ที่เอว เลือดอันเร่าร้อนฮึกเหิม ธงพลิ้วปลิวไสว ม้าร้องดังฮี้ๆลูกผู้ชายกลับประเทศเช้าวันนี้ อย่า…”
ตอนแรกโจวเจ๋อตอนแรกร้องไม่พอได้ แต่ยิ่งร้องก็ยิ่งเสียงต่ำ สุดท้ายจึงไม่ร้องต่อแล้วหยุดเสียงไปเลย ไม่มีความซาบซึ้ง และไม่ร้องไห้ ใบหน้าเขินอายเล็กน้อย พลางกัดฟัน โจวเจ๋อวางโคมไฟเจ็ดดาวบนพื้น แล้วดับไฟแต่ละดวง จากนั้นตัวเองก็ไม่สนใจเรื่องความอนามัย นั่งลงไปบนพื้นโคลนโดยตรง หายใจหอบใหญ่ เหงื่อไหลพลั่ก
อิงอิงรีบวิ่งไปข้างหน้า ช่วยนวดแขนให้โจวเจ๋อ เขายกแขนมาตั้งนานต้องปวดเมื่อยแน่นอน สวี่ชิงหล่างมองโคมไฟเจ็ดดาวที่อยู่บนพื้นหนึ่งทีแล้วมองไปรอบๆ ดวงตาข้างซ้ายของเขามีแสงสีเขียวจางๆ ขึ้นมาหนึ่งชั้น จริงๆ แล้วก่อนหน้านี้เขาได้สังเกตการณ์บริเวณรอบๆ อยู่ตลอด ทว่าไม่มีความผิดปกติใดๆ ไม่มีความผิดปกติ แท้จริงแล้วคือความผิดปกติที่สุด ทำไมรอบๆ ถึงไม่มีการตอบสนองแม้แต่นิดเดียว
ทนายอันขมวดคิ้ว เดินไปตรงหน้าโจวเจ๋อแล้วนั่งลงยองๆ มองดวงตาของเถ้าแก่ เขาไม่โง่คิดว่าเถ้าแก่ของตัวเองจะร้องเพลงเพี้ยน ก็เลยอายที่จะร้องเพลงต่อหน้าพวกเขาทั้งสามคนที่อยู่ในเหตุการณ์ ดังนั้นจึงไม่ร้องแล้วมัน
โจวเจ๋อรับกระติกน้ำมาจากอิงอิง ดื่มไปสองคำ แล้วก้มหน้า แล้วรินน้ำที่เหลือใส่บนศีรษะของตัวเอง ลูบใบหน้า ถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก เหมือนจะเริ่มมีแรงกลับมาบ้างแล้ว
“เหล่าอัน”
“อืม ผมอยู่ตรงนี้ เถ้าแก่”
“พวกเรายอมแพ้เถอะ ผมไม่ขอเงินทองไม่ขอเสื้อผ้าสวยๆ อะไรทั้งนั้น พวกเราแค่ทำผลงานตามกฎระเบียบเพื่อเลื่อนขั้นเป็นผู้จับกุมได้ก็พอ”
ทนายอันตกใจอยู่บ้าง เขาคิดไม่ถึงว่าเถ้าแก่จะพูดว่ายอมแพ้อย่างไม่น่าเชื่อ และยังไม่ต้องพูดถึงการวางแผนอย่างยากลำบากของเขา แล้วพาเอาแค่ทุกคนมาถึงที่นี่อย่างลำบากลำบนถึงขนาดนี้กว่าจะมาถึงที่นี่ได้ แล้วดันจากนั้นก็พูดว่ายอมแพ้ออกมาง่ายๆ แบบนี้น่ะเหรอ
ทนายอันสูดลมหายใจลึกๆ พยายามระงับความโกรธในใจของตัวเองไม่ให้แสดงออกมาแม้แต่นิดเดียว รอจนกระทั่งสังเกตสีหน้าของเถ้าแก่ของตัวเองอย่างละเอียดแล้ว ทนายอันจึงเข้าใจในที่สุด ความโกรธในใจจึงมลายหายไปทันที
โจวเจ๋อกัดริมฝีปากของตัวเองอย่างเขินอายแล้วเอ่ยว่า “ผมทำไม่ได้” ใช่แล้ว ไม่ได้กลัวความยาก และไม่กลัวความลำบาก กระทั่งไม่กลัวความเสี่ยง แต่ว่าทำไม่ได้
ในช่วงกลางของการสงครามต่อต้านสงครามญี่ปุ่น กองทัพจีนเดินทัพจำนวนหนึ่งแสนนายเข้าสู่สมรภูมิรบที่พม่า นี่คือนับตั้งแต่เกิดสงครามจีน-ญี่ปุ่นเป็นต้นมา นี่คือครั้งแรกที่หนึ่งที่กองทัพจีนออกไปทำสงครามนอกประเทศด้วยกำลังพลที่มากมายแบบนี้เป็นครั้งแรก ตอนแรกทำผลงานได้ไม่เลว ต่อมาภายหลังเนื่องจากแนวคิดของชาวอังกฤษและชาวอเมริกันรวมถึงแผนการเล็กๆ น้อยๆ ของข้าราชการชั้นน้อยใหญ่ในของประเทศเป็นผลทำให้เกิดสถานการณ์สงครามเกิดความวุ่นวายของสงคราม จึงต้องถอยทัพเพื่อรักษาพลังชีวิตเตรียมตัวรบในสมรภูมิรอบที่สอง
ตู้อวี้หมิงปฏิบัติตามคำสั่งของฉางข่ายเซิน สั่งกองทัพเดินทางเข้าภูเขาคะฉิ่นมุ่งหน้าเข้าสู่ยูนนานเพื่อกลับประเทศ ซุนลี่เหรินปฏิเสธคำสั่งนี้ หลังจากตั้งทัพทำภารกิจถอยทัพคุ้มกันการโจมตีกองทัพญี่ปุ่นคุ้มกันการถอยทัพสำเร็จแล้วจึงถอยกลับไปที่อินเดีย แต่ตู้อวี้หมิงทำตามคำสั่งทำนำกองทหารสี่หมื่นกว่านายเดินทัพทางไกลเข้าไปในภูเขาคะฉิ่น แต่เนื่องจากอากาศพิษและสภาพแวดล้อมที่เลวร้ายในภูเขาคะฉิ่น เป็นผลทำให้ทหารเสียชีวิตอย่างน่าอนาถ สุดท้ายคนที่มีชีวิตเดินออกมาได้สำเร็จเหลือเพียงสามพันกว่านายเท่านั้น
ซึ่งหมายความว่า ทิวเขาของภูเขาคะฉิ่นนี้ ฝังโครงกระดูกของกองกำลังทหารที่เดินทัพทางไกลไว้สามหมื่นกว่าศพ และที่น่าโมโหที่สุดคือ พวกเขาไม่ได้ตายเพราะต่อสู้บนสนามรบกับศัตรู แต่ตายเพราะคำสั่งที่ผิดพลาดให้ขึ้นภูเขา หลายคนร้องเรียกอยากกลับบ้าน ในใจคิดถึงแต่พ่อแม่ โอบกอดความหวังและความดีใจที่จะได้กลับประเทศ แต่สุดท้ายกลับต้องล้มอยู่ในกองดินโคลน
“ผมลองแล้ว แต่ทำไม่ได้จริงๆ” โจวเจ๋อกำหมัด เขารู้ว่าตัวเองมาทำอะไรที่นี่ เขาอยากเลื่อนขั้นเป็นผู้จับกุมต้องการทำผลงาน ต้องการสะสมบุญกุศล นี่คือผลงานชิ้นใหญ่ยักษ์ เป็นการสร้างบุญสร้างกุศลที่ยิ่งใหญ่อย่างหนึ่ง เขาสามารถใช้ผลงานนี้เลื่อนสถานะของตัวเอง ต่อไปเส้นทางข้าราชการของเขาจะเดินสะดวกขึ้น และเนื่องจากด้วยเหตุนี้จึงมีเจ้าโง่กับ ภูเขาไท่ซานอยู่ในร่างของตัวเอง ดังนั้นเขาถึงมีคุณสมบัติที่จะใช้วางแผนนี้
แต่ตอนที่ในใจของคุณนึกถึงแต่การทำความดีความชอบ จิตใจนึกถึงผลประโยชน์ แล้วลองนึกถึงวิญญาณนับหมื่นของทหารที่เสียสละชีวิตอยู่ที่นี่อีกที เฮ้อ หากจะใช้คำพูดที่หยาบคายหน่อยก็คือ เถ้าแก่โจวรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนเลว ใช้จิตใจที่ชั่วช้าเพื่อทำผลงานให้สูงขึ้น มันน่าเกลียดจริงๆ
ทนายอันตรึกตรองซ้ำแล้วซ้ำเล่า แล้วจึงไม่ว่าอะไรอีก ได้แต่พยักหน้าเอ่ยว่า “ไม่เป็นไร เถ้าแก่ ผมเข้าใจ เป็นความสะเพร่าของผมเอง และเรื่องนี้ก็ไม่ได้ทำง่ายเหมือนที่ผมคิดเอาไว้”
วิญญาณทหารนับหมื่นที่คิดอยากจะกลับบ้าน ความไม่เป็นธรรมของพวกเขา ความแค้นของพวกเขา ความจนใจของพวกเขา รวมทั้งความสับสนของพวกเขา ได้ผนึกรวมกัน สลักฝังอยู่ท่ามกลางทิวเขาของภูเขาคะฉิ่นที่ทอดยาวนับร้อยลี้อย่างลึกซึ้ง
ทนายอันรู้ว่าเถ้าแก่ของตัวเองลองทำแล้ว และไม่ได้สำออยหรือดัดจริต และไม่ใช่เพราะความคลั่งสะอาดของศีลธรรมจริงๆ ทนายอันเข้าใจเถ้าแก่ของตัวเอง เพราะเถ้าแก่ของตัวเองเดิมทีเป็นคนที่เข้าใจง่ายมากคนหนึ่ง ถ้าหากมีผลประโยชน์มากพอ หากต้องขัดกับจิตสำนึกที่ดีอยู่บ้าง เถ้าแก่ของตัวเองก็ยินดีที่จะทำ เขาทำแล้วแต่ไม่สำเร็จ สาเหตุเป็นเพราะตัวของทนายอันเอง เพราะว่าเขาคิดเรื่องนี้ง่ายเกินไป
เขามัวแต่คิดว่าเถ้าแก่ของตัวเองต่อให้ตอนนี้บรรพบุรุษผีดิบคนนั้นที่อยู่ในร่างของเถ้าแก่ตัวเองตอนนี้เข้าสู่ห้วงแห่งการหลับใหล แต่มีภูเขาไท่ซานคอยกดทับอยู่ คงไม่หลงทางเพราะเหตุการณ์ครั้งนี้ แต่คิดไม่ถึงว่า ขั้นตอนที่ง่ายที่สุดกลับกลายเป็นปัญหา เหมือนเขาที่คิดเพียงแค่อยากจะสร้างระเบิดที่ทรงอานุภาพออกมาได้อย่างไร แต่ลืมคิดว่าที่จะสร้างชนวนให้มันระเบิดได้อย่างไร
โจวเจ๋อเหนื่อยล้าพอสมควร ก่อนหน้านั้นถึงแม้จะเป็นเวลาแค่ไม่กี่ชั่วโมง แต่ความเหนื่อยล้าในใจกลับหนักหน่วงมากกว่าร่างกาย ทนายอันกำชับอิงอิงให้สร้างตั้งเต็้นท์ใหม่ตรงนี้ให้เถ้าแก่พักผ่อนก่อน ส่วนและเขานั้นกลับนั่งเหม่อมองโคมไฟเจ็ดดาวที่อยู่ตรงหน้าที่มอดดับไปแล้ว สวี่ชิงหล่างดูเวลา แล้วจึงเริ่มเตรียมทำอาหารกลางวันอย่างเงียบๆ
โจวเจ๋อไม่ตื่นมากินข้าวกลางวัน แต่นอนกหลับจนถึงตอนเย็น หลังจากตื่นแล้ว จึงดื่มซุปผักอบแห้งน้ำไปสองถ้วยแล้วจึงมีพลังกลับมา เขาวางตะเกียบลง เห็นทนายอันเดินออกมาจากในป่าพอดี โจวเจ๋อจึงจุดบุหรี่และถามว่า “ไปไหนมา”
“ไปอึมา” ทนายอันนั่งลงข้างกองไฟ
“วันพรุ่งนี้ลองดูอีกที” โจวเจ๋อกล่าว
ทนายอันพยักหน้า “จริงๆ แล้วผมิดมีวิธีได้มากมาย ผมได้บันทึกเพลงทหารและเพลงพื้นบ้านอื่นๆ ในยุคนั้นไว้ในโทรศัพท์ของผม กระทั่งผมยังแอบ ‘ขโมย’ ธงชาติในยุคนั้นมาโดยเฉพาะ แต่ต่อให้มีวิธีมากมาย แต่กลับไม่ได้ทำด้วยความจริงใจ” เรื่องราวเข้าสู่สถานการณ์ปิดตาย
โจวเจ๋อเงยหน้าอย่างไม่สบายใจเล็กน้อย คืนนี้ดวงดาวเต็มท้องฟ้า ทันใดนั้นเขาจึงนึกถึงภาพยนตร์ที่เคยดูตอนวัยรุ่นเมื่อชาติที่แล้ว น่าจะชื่อ ‘ดาบมังกรหยก’ จางซานเฟิงสอนไทเก๊กให้จางอู๋จี้๋ ถามเขาว่าจำได้แค่ไหน ตอนแรกเขาตอบว่าแปดส่วนน่าจะได้ จากนั้นก็ตอบว่าสามส่วน สุดท้ายตอบว่าลืมหมดแล้ว จากนั้นพลังจึงเพิ่มขึ้นมหาศาล!
โจวเจ๋อรู้ดี ถ้าหากตัวเองสามารถลืมฐานะและตัวตนของตัวเองได้ในตอนนี้ ลืมการเปลี่ยนแปลงจากของตัวเองที่เป็นยมทูตเป็นผู้จับกุมของตัวเอง ลืมทุกสิ่งทุกอย่าง และอาศัยหัวใจอันบริสุทธิ์เพียงดวงเดียว นึกถึงวิญญาณที่ว้าเหว่ของทหารเหล่านี้ที่ไปออกรบต่างประเทศแล้วกระดูกถูกฝังไว้ในต่างแดน อยากนำวิญญาณของพวกเขากลับบ้านเพียงอย่างเดียว ไม่แน่อาจจะทำสำเร็จ
แต่มันเป็นไปไม่ได้ เขาไม่ใช่เด็กและไม่ใช่คนที่มีจิตใจบริสุทธิ์ผุดผ่อง ถึงแม้ตัวเองจะตั้งใจลืม อยากมองข้าม แต่ในท้ายที่สุดแล้วก็ได้แต่หลอกตัวเอง แต่ไม่สามารถหลอกวิญญาณของทหารนับหมื่นที่อยู่ในสถานที่แห่งนี้ได้อย่างสิ้นเชิง
เขาสับสนและขัดแย้งในตัวเองเป็นอย่างมาก โจวเจ๋อเอนหลังพิงต้นไม้ที่อยู่ด้านหลัง มองดาวบนท้องฟ้ากับความจนปัญญาที่อยู่ในใจ
“เถ้าแก่ อย่ากดดัน อย่างมากพวกเราถือว่าออกมาเที่ยวเดินเล่นก็พอ ถือว่าออกมาขยับเส้นขยับร่างกายก็ได้แล้ว”
โจวเจ๋อพยักหน้า แต่ก็ส่ายหน้าอีก ดูเหมือนตัวเองจะลืมว่าตัวเองได้ถามคำถามที่เหมือนกันไปก่อนหน้านี้แล้ว แต่ก็ยังถามอีก “ก่อนหน้านี้คุณไปไหนมา”
……………………………………………………………………….