ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล - ตอนที่ 669 ฉันเอง!
ตอนที่ 669 ฉันเอง!
นั่งอยู่บนรถบรรทุกแน่นอนว่าไม่สบาย ที่นี่มีทางโค้งเยอะ ยากที่จะหลีกเลี่ยงการเอียงซ้ายเอียงขวา คนขับรถแวะจอดรถที่จุดบริการระหว่างทาง และยังซื้ออาหารมื้อดึกให้โจวเจ๋อและคนอื่นด้วยความตั้งใจ
โจวเจ๋อถือถุงพลาสติกอยู่ในมือ อยากจะพูดอะไรกับคนขับรถบ้าง แต่คนขับรถโบกมือโดยตรง แล้วกลับไปนั่งที่ห้องคนขับของตัวเอง เขาแค่อยากช่วยเหลือคนพิการเท่านั้น แต่ไม่อยากทำลายศักดิ์ศรีของพวกเขา
“ฮิๆ ผมรู้สึกซาบซึ้งจริงๆ หลายปีที่ผ่านมา คนโง่แบบนี้…คนใจดีแบบนี้มีไม่เยอะแล้ว” ทนายอันหยิบขนมปังออกมาจากถุงพลาสติกในมือของโจวเจ๋อ ฉีกถุงแล้วเริ่มกิน โจวเจ๋อไม่หิว หยิบไส้กรอกแล้วสั่งให้อิงอิงเอาถุงไปแบ่งให้เหล่าสวี่กับหญิงสาวตัวดำกิน พวกเธอเป็นผู้บาดเจ็บ ต้องกินอะไรหน่อย
แต่ยังดีที่อยู่ไม่ไกลจากตูเจียงเยี่ยนแล้ว โจวเจ๋อและคนอื่นวางแผนไว้ว่าจะไม่เข้าเมืองเฉิงตู จะลงที่ตูเจียงเยี่ยนเพื่อพักผ่อนก่อน เพราะต้องให้เวลาทุกคนได้หายใจหายคอบ้าง
ก่อนหน้านี้รีบออกมาจากยูนนาน เพราะกลัวอุบัติการณ์ที่เกิดขึ้นต่อเนื่องกันจริงๆ ตอนนี้ออกจากพรมแดนของยูนนานแล้ว อย่างน้อยก็พอโล่งใจได้บ้าง
โจวเจ๋อใช้ฟันกัดถุงไส้กรอก แล้วนำไส้กรอกยื่นไปตรงหน้าฮวาหูเตียวที่อยู่บนไหล่ของตัวเอง ฮวาหูเตียวยื่นจมูกมาดม จากนั้นไม่มีการตอบสนองอะไร
“เลือกกินเหรอ” โจวเจ๋อหัวเราะ “แกต้องหัดเรียนรู้จากพี่ลิงของแก มันกินทุกอย่าง”
นักพรตเฒ่าอยู่ในร้านหนังสือกินอะไร เจ้าลิงโดยทั่วไปแล้วก็กินตาม บางครั้ง ‘ปู่หลานสองคน’ ยังนั่งกินถั่วลิสงดื่มเหล้าขาวด้วยกัน
แน่นอนว่าฮวาหูเตียวไม่รู้จักพี่ลิงในตำนานว่าเป็นใคร แต่เมื่อเจอน้ำเสียงของโจวเจ๋อ มันไม่กล้าแสดงท่าทีอย่างอื่น แต่ไม่กินไส้กรอกอันนี้เหมือนเดิม เอาแต่ขดตัวเหมือนคนขี้กลัวอยู่บนไหล่ของโจวเจ๋อ แล้วพลิกตัวนอนต่อ
โจวเจ๋อกัดไส้กรอกของตัวเองหนึ่งคำ แล้วจึงขมวดคิ้วทันที รสข้าวโพด เขาไม่ชิน เป็นเวลานานแล้ว โจวเจ๋อรู้สึกมาตลอดว่าไส้กรอกรสข้าวโพดไม่เหมาะกับคน
รถเริ่มสตาร์ทอีกครั้ง หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วโมงกว่า ก็มาถึงเขตตูเจียงเยี่ยนแล้ว โจวเจ๋อและคนอื่นๆ บอกลาพี่คนขับรถคนนี้ที่นี่ ก่อนจะไป โจวเจ๋อวางเงินหยวนหนึ่งปึกกับเงินกระดาษหนึ่งปึกไว้ในชั้นเก็บของที่ห้องคนขับของอีกฝ่าย ถึงแม้จะถูกอีกฝ่ายเข้าใจผิดคิดว่าเป็นคณะศิลปะกายกรรมคนพิการจึงอยากให้ความอบอุ่น แต่ก็ยอมรับการดูแลของเขาจริงๆ และคนขับรถคนนี้ก็นิสัยดีมาก เป็นคนดี น่าจะได้รับกรรมดีตอบแทนถึงจะถูก
ทุกคนเข้าพักในโรงแรมแห่งหนึ่งของตูเจียงเยี่ยน โจวเจ๋อกับอิงอิงอยู่ห้องเดียวกัน คนอื่นต่างคนต่างแบ่งกันเองหญิงสาวตัวดำกับเหล่าสวี่ถึงแม้จะร่างกายอ่อนแอ แต่ก็ยังสามารถดูแลตัวเองได้
เดิมทีโจวเจ๋ออยากจัดให้ทนายอันกับเด็กผู้ชายนอนเป็นคนเพื่อนคนไข้แต่ละคน แต่เมื่อเห็นทนายอันจับมือเด็กผู้ชายไม่ยอมปล่อยพร้อมกับทำท่าน่าสงสาร โจวเจ๋อจึงคิดว่าช่างมันเถอะ
ไร้ซึ่งคำพูดตลอดคืน ทุกคนได้นอนหลับสบายเสียที จนตื่นมาวันที่สอง โจวเจ๋อยื่นมือผลักหน้าต่างในห้อง อากาศสดชื่นลอยมาปะทะหน้า ทำให้คนจิตใจสดชื่นแจ่มใส สภาพแวดล้อมของตูเจียงเยี่ยนดีมากจริงๆ รายล้อมไปด้วยภูเขาทิวทัศน์สวยงาม ไม่เสียงดังเอะอะเหมือนหรงเฉิง เป็นสถานที่ที่น่าอยู่อาศัย
พวกเขาไม่ได้ไปกินข้าวเช้าของโรงแรม อิงอิงตั้งใจออกไปซื้อน้ำเต้าหู้ ปาท่องโก๋ และซาลาเปากลับมาที่ห้องจำนวนไม่น้อย คนอื่นๆ เข้ามารวมตัวกัน ถือว่าเป็นการประชุมสั้นๆ
หญิงสาวตัวดำก่อนหน้านี้เหนื่อยหมดแรงไปทั้งตัว หลังจากตื่นนอนแล้วจึงฟื้นตัวได้ไม่น้อย กินอาหารได้เยอะขึ้น
สวี่ชิงหล่างยังป่วยออดแอด สีหน้ายังคงซีดขาว เขาใช้มือหยิบปาท่องโก๋แล้วฉีกอย่างช้าๆ ยัดใส่เข้าไปในปากทีละนิด สายตาของเขามองไปที่ตัวของฮวาหูเตียวที่อยู่บนไหล่ของโจวเจ๋อเป็นระยะ สามารถพูดได้ว่า สาเหตุที่เหล่าสวี่มีสภาพดูไม่ได้อยู่ในตอนนี้ ต้องคิดบัญชีส่วนใหญ่กับฮวาหูเตียวตัวนี้ทั้งหมด แต่ในเมื่อฮวาหูเตียวตัวนี้ถูกโจวเจ๋อปราบแล้ว สวี่ชิงหล่างจึงไม่น่าเบื่อถึงขั้นกลับไปคิดบัญชีเก่าอะไร
โจวเจ๋อลองป้อนของกินให้ฮวาหูเตียวอีกครั้ง แต่มันยังคงแสดงท่าทีไม่ให้ความร่วมมือเหมือนเดิม ถ้าหากไม่ใช่เพราะโจวเจ๋อรู้ว่าตัวขี้ขลาดนี่ไม่กล้าถึงขั้นอดอาหารฆ่าตัวตาย เขาอาจจะคิดว่ามันกำลังต่อต้านด้วยการแสดงความแน่วแน่ไม่แปรผัน
เมื่อกินอาหารเช้าหนึ่งมื้อเสร็จแล้ว สวี่ชิงหล่างกับหญิงสาวตัวดำพักผ่อนอยู่ในโรงแรมต่อ โจวเจ๋อกับทนายอันแยกกันพาอิงอิงและเด็กผู้ชายออกจากโรงแรม หากนั่งรถจากตูเจียงเยี่ยนถึงเขตเมืองหรงเฉิงต้องใช้เวลาครึ่งชั่วโมง ถือว่าไม่ไกล ทุกคนตกลงกันแล้วว่าจะกลับมาเจอกันที่โรงแรมตอนเย็น ทนายอันกับเด็กผู้ชายเรียกรถได้ก่อน โจวเจ๋อกลับไม่รีบร้อนออกไป แต่เดินเล่นอยู่บนถนนของตูเจียงเยี่ยน
“เถ้าแก่ พวกเราไม่ตามหาคนหรือเจ้าคะ” อิงอิงถามอย่างไม่ค่อยเข้าใจ
“อืม หาคน” โจวเจ๋อพยักหน้า ไม่ได้อธิบายอะไร
เดินเล่นครั้งนี้ใช้เวลาตลอดช่วงเช้า โจวเจ๋อไม่ได้หยุดพักเลย มีความเป็นมืออาชีพมากกว่านักท่องเที่ยวตัวจริง พอถึงเวลาอาหารกลางวัน โจวเจ๋อหยุดเดินตรงหน้าร้านสุกี้หม้อไฟแห่งหนึ่ง มองดูป้ายร้าน บนนั้นเขียนว่า ‘สุกี้หม้อไฟหรงเฉิงเจ้าเก่า’ จึงหัวเราะแล้วเดินเข้าไป
อิงอิงเดินเข้าไปพร้อมกับเถ้าแก่ หลังจากทั้งสองคนนั่งลงแล้วก็มีพนักงานเอาเมนูมาให้ทันที โจวเจ๋อถือปากกาทำเครื่องหมายถูก อ้อ เขาสวมถุงมือสีดำบนนิ้ว จึงไม่ต้องโชว์มือกระดูกสีขาวให้คนตกใจ ส่วนแขนอีกข้างหนึ่งที่เสียไป ตอนนี้โจวเจ๋อไม่สนใจที่จะหาแขนปลอมหรือพลาสติกมาใช้
เมื่อสั่งอาหารแล้ว โจวเจ๋อดื่มน้ำชาพลางรอหม้อไฟมาเสิร์ฟ
“เถ้าแก่ พวกเราทำแบบนี้จะดีหรือเจ้าคะ” ทนายอันกับเด็กผู้ชายไปสืบที่หรงเฉิงแล้ว ตัวเองกับเถ้าแก่กลับนั่งกินนั่งดื่มอยู่ที่นี่ ดูเหมือนจะไม่ได้ไปทางเดียวกัน
“ไม่เป็นไร คุณก็กินสักหน่อย นานๆ จะได้ออกมาข้างนอก”
ปกติอิงอิงไม่กินอะไร เธอแค่นอนกับโจวเจ๋อก็สามารถ ‘กิน’ อิ่มแล้ว แต่ใช่ว่าจะกินไม่ได้
ถึงแม้ร้านจะเล็ก แต่รสชาติของหม้อไฟนั้นไม่เลว วัตถุดิบก็สะอาด โจวเจ๋อกินข้าวมื้อนี้ด้วยความพึงพอใจอย่างยิ่ง หลังจากกินเสร็จ โจวเจ๋อกวักมือเรียก
พนักงานเดินเข้ามาถามว่า “คุณผู้ชาย อยากเช็กบิลใช่ไหม”
“เรียกเถ้าแก่ของพวกคุณมาหน่อย ผมอยากเจอเขา”
“ได้ รอสักครู่”
ไม่ช้า เถ้าแก่จึงออกมา เป็นผู้หญิงวัยกลางคนตัวสูงคนหนึ่ง ใส่ผ้ากันเปื้อน ก่อนหน้านี้น่าจะกำลังยุ่งอยู่ในครัว
“คุณผู้ชาย กินอร่อยไหมคะ มีตรงไหนที่คุณรู้สึกว่าต้องปรับปรุงไหมคะ” เถ้าแก่หญิงเดินมาข้างโจวเจ๋อแล้วถามอย่างใส่ใจ
“อยากดื่มน้ำชากับคุณ” เถ้าแก่หญิงมีสีหน้าเปลี่ยนไป พนักงานสองสามคนที่อยู่ข้างๆ ก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปดูไม่ได้เช่นกัน ต่างคิดว่าเป็นนักเลงมาหาเรื่อง เปิดร้านทำธุรกิจ ใครบ้างไม่เคยเจอเรื่องพวกนี้
“ขอโทษนะคะ ฉันกำลังยุ่ง ไม่สะดวกค่ะ” เถ้าแก่หญิงตอบกลับอย่างไม่แข็งกร้าวและไม่ถ่อมตนจนเกินไป
โจวเจ๋อยื่นมือเข้าไปในเสื้อผ้า วินาทีนี้จู่ๆ เขารู้สึกว่าตัวเองเหมือนถูกองครักษ์เสื้อแพรของราชวงศ์หมิงสิงร่าง หลังจากหยิบป้ายออกมาแล้ว จึงโยนไปบนโต๊ะแล้วถามว่า “สะดวกไหม”
…
“ท่านผู้จับกุม เชิญดื่มน้ำชา นี่คือชาตัวใหม่ที่เพิ่งทำออกมาค่ะ” โจวเจ๋อรับถ้วยน้ำชา พยักหน้าเล็กน้อยด้วยความสุภาพเรียบร้อย
“ค่ะ ไม่ปั้นน้ำเป็นตัว” เถ้าแก่หญิงแสดงสีหน้ายิ้มอย่างขมขื่น จากนั้นเริ่มถอดเสื้อผ้าของตัวเอง อิงอิงที่อยู่ถัดไปจ้องมองนิ่ง เป็นบ้าอะไร!
โจวเจ๋อใช้มือถูคาง ไม่พูดอะไร ทนายอันพาเด็กผู้ชายไปสืบที่หรงเฉิง เขาไม่ไป เพราะเขารู้ดีว่าที่หรงเฉิงน่าจะหาตัวยมทูตรุ่นเก๋ายาก เมื่อวานเขาไม่ได้นึกถึงเรื่องนี้ แต่นึกออกตอนเช้าวันที่สอง
คนตาบอดที่เซี่ยงไฮ้คนนั้นก่อนที่จะออกจากหรงเฉิง เขาได้ฆ่ากลุ่มยมทูตรวมทั้งสาวน้อยโลลิ จนร้านขายของจิปาถะสำหรับคนตายของเขา ‘เต็มไปด้วยร่างไร้วิญญาณ’ อย่าเพิ่งพูดถึงพื้นที่โดยรอบ อย่างน้อยอำนาจของยมทูตเก่าในหรงเฉิง โดยส่วนใหญ่ถูกกวาดจนเกลี้ยงแล้ว
ผู้หญิงเพียงถอดเสื้อคลุมออก จากนั้นเลือกเสื้อกันหนาวขนเป็ดที่หนากว่าในตู้เสื้อผ้าที่ห้องทำงานของตัวเองมาสวมใส่ แล้วเดินมาที่ประตู
“เชิญตามฉันมาค่ะ”
โจวเจ๋อกับอิงอิงลุกขึ้นเดินลงไปข้างล่างตามเถ้าแก่หญิง เมื่อมาถึงห้องใต้ดินแล้ว ที่นี่น่าจะเป็นห้องแช่แข็งขนาดเล็ก เป็นสถานที่เก็บวัตถุดิบของร้านสุกี้หม้อไฟ
เถ้าแก่หญิงเปิดประตูห้องแช่แข็ง แล้วเดินเข้าไปก่อน ในนั้นหนาวมาก อุณหภูมิติดลบมากกว่าสิบองศาเซลเซียส แต่โจวเจ๋อกลับรู้สึกเย็นสบาย ก่อนหน้านี้ที่ยังไม่เจออิงอิง เถ้าแก่โจวนอนในตู้แช่เย็นทุกวัน
เถ้าแก่หญิงย้ายกล่องสองสามใบ แล้วหยิบกุญแจออกมาหนึ่งดอก นึกไม่ถึงว่าในนั้นยังมีห้องกั้นเป็นห้องย่อยขนาดเล็กหนึ่งห้อง มีขนาดหนึ่งบล็อกเห็นจะได้ ดูซ่อนเร้นเป็นอย่างมาก
เถ้าแก่หญิงเปิดมันออก จากนั้นดึงออกมาข้างนอก การออกแบบคล้ายกับตู้แช่ศพในห้องเก็บศพ เตียงเหล็กอันหนึ่งถูกดึงออกมา บนนั้นมีคนที่ถูกแช่แข็งนอนอยู่คนหนึ่ง
โจวเจ๋อนั่งยองๆ อยู่ข้างๆ นี่คือผู้หญิงคนหนึ่ง อายุประมาณสามสิบปี แต่เนื่องจากถูกแช่แข็งมานาน ศพจึงค่อนข้างขาว เถ้าแก่หญิงยื่นมือจับคอของศพผู้หญิงให้หันมา สายตาของโจวเจ๋อพลันนิ่งไป ที่คอของศพผู้หญิงมีรอยเขี้ยวสองเขี้ยวอยู่!
“เธอเป็นใครครับ” โจวเจ๋อถาม
“ฉันเองค่ะ”