ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล - ตอนที่ 679 น่าโมโหมาก!
ตอนที่ 679 น่าโมโหมาก!
ราบรื่นเกินไป แน่นอนว่าความราบรื่นนี้ ไม่ได้เกิดจากฝีมือของมนุษย์ จึงทำให้โจวเจ๋อนึกถึงคำโฆษณาของยาสระผมอันหนึ่ง นุ่มลื่นเป็นธรรมชาติ
โจวเจ๋อกับทนายอันหาเบาะแสของตัวเองเจอแล้ว มีต้นกำเนิดมาจากเหตุการณ์ผีดิบในปีนั้น จริงๆ แล้วเรื่องแบบนี้ สำหรับความตั้งใจของคนที่ไม่ใช่คนธรรมดาแล้ว สามารถคลำทางมาถึงที่นี่ได้อย่างง่ายดาย และสาเหตุที่เกิดขึ้นทั้งหมด รวมทั้งปัจจัยหลักของความน่ากลัวในช่วงปลายศตวรรษในตอนนั้น จริงๆ แล้วมีต้นกำเนิดมาจากคนผู้นี้ที่ว่างงานสัมผัสได้ว่ามีคนอื่นเข้ามาใกล้ที่นี่ จึงหาวหนึ่งที
ปรากฏการณ์แปลกประหลาดบนท้องฟ้าในสมัยโบราณ สามารถทำให้คนข้างล่างตกใจกลัวได้ แม้แต่จักรพรรดิยังต้องออกพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยเรื่องสำนึกผิด
อย่ามองว่าใบหน้าครึ่งหนึ่งนี้น่าอนาถเพียงใด แต่หากพูดถึงระดับของชีวิตแล้ว เขาที่แยกออกมาจากอิ๋งโกว เมื่อเทียบกับคนทั่วไปแล้ว เหมือนกับท้องฟ้าจริงๆ
คุณจะพูดว่าเขาจงใจ แค่อยากเล่น เป็นไปได้เหรอ ถ้าหากเปลี่ยนเป็นคนอื่น หลังจากเข้ามาแล้ว บทสนทนาที่เหมือนเป็นการสื่อสารกันแต่ก็ไม่ใช่นี้ บรรยากาศเหมือนรุ่นพี่กับรุ่นน้องเหมือนคนบ้านเดียวกันกำลังพูดคุยกัน ผสมเข้ากับอารมณ์ของการใฝ่ฝันและความเคารพเข้าไป ทั้งหมดนี้รวมกัน เป็นเรื่องง่ายมากที่จะเชื่อว่าคนที่อยู่ตรงหน้าคือสหายที่มาพร้อมกับอุดมการณ์และความเชื่อที่สูงส่ง
อย่างเช่น ทนายอันที่อยู่ข้างๆ เขาเชื่อจริงๆ และยังคิดว่าตัวเองมองทะลุทุกอย่าง กระทั่งยังเป็นฝ่ายส่งสัญญาณมือให้เด็กผู้ชาย อยากจะเรียกเด็กผู้ชายเข้ามาแย่งรับโอกาสอันดีนี้ก่อนหน้าอิงอิง
แน่นอนว่า ไม่ใช่ทนายอันจะตั้งใจ ‘หาผลประโยชน์ให้ตัวเอง’ แต่ว่าเขามองออก โจวเจ๋อน่าจะไม่อยากให้ผู้หญิงของตัวเองถูกผู้ชายอีกคนสิงร่าง
การควบคุมระดับไฟ ถือว่าทำได้ยอดเยี่ยมมาก ทุกคนล้วนมีจิตใจที่ ‘รู้สึกดีกับตัวเอง’ มักจะรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนที่มีความพิเศษคนหนึ่ง คิดว่าความโชคดีจะหล่นทับตัวเอง
“เหอะ…” ใบหน้าครึ่งหนึ่งหัวเราะ
โจวเจ๋อโน้มตัว เหมือนกำลังดูขาหมูในตลาด พิจารณามองคุณภาพของอีกฝ่ายอย่างละเอียด และดูเหมือนคุณป้าช่างเลือกกำลังดูเพชรพลอย ตรวจสอบความถูกต้องอย่างชัดเจน
ใบหน้าครึ่งหนึ่งหันมาถามว่า “เจ้าอยากฆ่าข้าใช่ไหม”
โจวเจ๋อส่ายหน้า พูดอย่างจริงใจว่า “ผมทำไม่ได้” ใช่แล้ว เขาทำไม่ได้ แม้แต่อิ๋งโกว ที่ตอนนั้นสามารถกลืนผิงเติ่งหวังลู่ได้สำเร็จ ก็เป็นเพราะผิงเติ่งหวังลู่เป็นฝ่ายถอยเอง ล้มเลิกการต่อต้านทั้งหมด กระทั่งจับตัวเองต้มสุกพร้อมกับวางมีดและส้อมเชิญอิ๋งโกวมากิน
เขาโจวเจ๋อไม่มีความสามารถเช่นนั้น ไม่สามารถฉีกสิ่งที่อยู่ตรงหน้าที่เหนียวหนึบเหมือนขนมหนิวผีถัง[1]ให้ขาดวิ่น แต่ใช่ว่าจะไม่สามารถกลืนเข้าไปได้ จากนั้นก็อาศัยภูเขาไท่ซานที่อยู่ในจิตวิญญาณของตัวเองบดขยี้จนอยู่หมัด ความคิดนี้วนเวียนอยู่ในหัวของโจวเจ๋อตลอด
แต่เถ้าแก่โจวไม่กล้าเดิมพัน เขากังวลเป็นอย่างมาก ถ้าหากภูเขาไท่ซานบดขยี้อีกฝ่ายไม่ได้ แต่กลับถูกอีกฝ่ายทำให้พังทลายแทน เช่นนั้นคงแย่มาก
คนผู้นี้ไม่ใช่คนธรรมดาจริงๆ ไม่ว่าจะให้ความสำคัญสูงมากแค่ไหนก็ไม่เกินจริง ถ้าหากตัวเองเล่นเกินเหตุ อีกทั้งอิ๋งโกวก็นอนหลับใหล เช่นนั้นไอ้หมอนี่้ก็ ‘สวมเสื้อไหมปักกลับบ้านเกิดอย่างมีเกียรติ’ แล้วไม่ใช่เหรอ
โจวเจ๋อนั่งลงข้างล่าง หลังพิงแท่นหินกล่าวว่า “ผมก็ไม่ก่อเรื่องแล้ว พวกเรารักษาความบริสุทธิ์และความสวยงามอย่างนี้ต่อไปเถอะ ย้อนนึกถึงความทรงจำเก่าๆ พูดคุยกัน จากนั้นผมก็กลับ หลังจากกลับไปแล้วจะสั่งให้คนมาผนึกถ้ำโจรปล้นสุสานแห่งนี้อีกครั้ง อย่างน้อยก็สามสิบปี คุณเปิดไม่ได้ ลมปากก็ไม่มีผลกระทบต่อภายนอก หลังจากสามสิบปีผ่านไปถ้าหากผมยังมีชีวิตอยู่ ผมจะมาเยี่ยมคุณอีก จุดธูปเซ่นไหว้ แล้วผนึกคุณให้แน่นหนาอีกครั้ง”
“ขอบใจนะ”
“คนกันเอง ไม่ต้องเกรงใจ”
“เหอะ”
“เหอะๆ”
จากนั้นงานกร่อยเลยสิ โจวเจ๋อทำท่าลุกขึ้น แล้วพูดในเวลาเดียวกัน “สงสัยคุณไม่มีอะไรจะพูดแล้ว อย่างนั้นก็ขอให้คุณนอนหลับฝันดี”
“เจ้าอยากคุยอะไรกับข้า” เขายังอยากคุยอีก ไม่ว่าอย่างไรเมื่อเทียบกับความทรมานของกายเนื้อ ความเงียบเหงาเป็นเวลานาน ดูเหมือนจะยิ่งทำให้คนทุกข์ใจมากกว่า
“แน่นอนว่าคุยเรื่องที่สบายใจ อย่างเช่น คุณถูกใครมาผนึกไว้ที่นี่”
“…” ใบหน้าครึ่งหนึ่ง เงียบอีกแล้ว เงียบจริงๆ
โจวเจ๋อลุกขึ้น เตรียมเดินออกไป จริงๆ แล้ว ถ้าหากคนผู้นี้อยู่ที่นี่ตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่มีจุดจบที่น่าอนาถเช่นนี้ เถ้าแก่โจวอาจจะทนไม่ไหวอยากต่อสู้กับเขาสักตั้ง จับเขากลับไปกิน ช่วยบำรุงความว่างเปล่าของร่างกาย ถึงตอนนั้น มีความเป็นไปได้สูงที่เจ้าโง่อาจจะตื่นขึ้นมา เขาเป็น ‘ยาบำรุง’ ที่ดีที่สุดและตรงอุดมการณ์ที่สุด ไม่ว่าอย่างไรก็มีต้นกำเนิดมาจากบรรพบุรุษเดียวกัน
แต่เขาดูแย่ขนาดนี้ โจวเจ๋อกลับไม่กล้าวู่วาม คนที่สามารถทำให้เขาอยู่อย่างอนาถาเช่นนี้จะต้องเก่งมากแน่นอน แต่คนเก่งคนนั้นกลับฆ่าเขาไม่ตาย เถ้าแก่โจวคิดมาตลอดว่าข้อดีที่สุดของตัวเองก็คือรู้จักประมาณตน หากใช้คำพูดของสาวน้อยโลลิเรียกว่ารู้ดีอยู่แก่ใจ
“เมื่อเวลาสมควรจะได้เจอ มักจะได้เจออยู่แล้ว” ประโยคนี้ดังมาจากในซึ้งนึ่ง
“ลึกลับจริง” โจวเจ๋อส่ายหน้าอย่างจนใจ
“พวกเราไม่ได้ถ่ายละคร เพื่อเรทติ้งสูงต้องเก็บเงื่อนงำไว้จนถึงช่วงท้าย ผมไม่เชื่อว่าถ้าคุณพูดชื่อของคนผู้นั้นออกมาแล้วจะโดนฟ้าผ่าทันที”
“เหอะๆ เจ้าเคยถูกฟ้าผ่าไหม”
“…” โจวเจ๋อ ดูเหมือนจะไม่ใช่การสนทนาที่มีความสุขแล้ว ทนายอันกับอิงอิงที่อยู่ข้างๆ มองไปที่โจวเจ๋อพร้อมกันแล้วช่วยพยักหน้าแทนเถ้าแก่ของตัวเอง
“คนที่ไม่เคยโดนฟ้าผ่า ยากที่จะเข้าใจความรู้สึกแบบนั้น”
“เอ่อ ดูเหมือนผม…”
“นั่นคือความน่าสะพรึงกลัวอย่างหนึ่ง คนนอกไม่สามารถเข้าใจได้ด้วยซ้ำ”
“ขอโทษ”
“อะไร”
“ถ้าหากจำไม่ผิดละก็ ดูเหมือนสองสามวันก่อน ผมเพิ่งจะโดนฟ้าผ่าไปไม่นาน”
“…” ใบหน้าครึ่งหนึ่ง
“เงื่อนไขครบแล้ว คุณพูดได้หรือยัง”
“จริงๆ ข้าพูดไปแล้ว”
โจวเจ๋อได้ยินดังนั้นก็เงยหน้าเหมือนครุ่นคิด ขณะเดียวกันได้ยื่นมือชี้ไปข้างบนเอ่ยว่า “คือสวรรค์เหรอ”
“คือเซียน”
เซียน! นี่เป็นครั้งที่สองที่โจวเจ๋อได้ยินคำว่า ‘เซียน’ ครั้งแรกตอนอยู่ในร้านหนังสือที่ทงเฉิง แม่นางไป๋เกือบจะใช้สิ่งของที่เกี่ยวข้องกับ ‘เซียน’ มา ‘ทำลาย’ ตัวเขา โดยเฉพาะอันที่ระเบิดเป็นหลุมออกมา คนนั้นที่มีตุ๊กตาสีสันสวยงามอยู่บนตัว ถ้าหากไม่ใช่เพราะตัวเขามีกลิ่นอายของภูเขาไท่ซานกับเจ้าโง่เป็นตัวเสริม ตอนนั้นตัวเขาเองอาจจะล้ม ‘พลั่ก’ ลงไปคุกเข่าแล้ว
ความรู้สึกแบบนั้น ตอนนี้ยังเหมือนความทรงจำครั้งใหม่ ราวกับว่า ‘คุกเข่า’ รับเซียนลูบหัวฉัน เป็นเรื่องธรรมชาติเหมือนเวลาที่เซ่นไหว้ในบ้าน ผู้ใหญ่จะเรียกคุณไปคำนับบรรพบุรุษอีกคน
ครั้งที่สอง ก็คือสิ่งที่อยู่ตรงหน้า คนที่สามารถอยู่ต่อหน้าอิ๋งโกว หลังจากเสแสร้งเสร็จแล้วก็สะบัดแขนเสื้อ ไม่เอาก้อนเมฆไปแต่กลับขโมยพลังสะสมนับสองสามพันปีของอิ๋งโกว ผลปรากฏว่ายังคงล้มให้กับคำว่า ‘เซียน’ เหมือนเดิม
โจวเจ๋อจำได้ว่าเมื่อก่อนตัวเองดู ‘ไซอิ๋ว’ หรือไม่ก็เรื่องราวเทพเจ้าอย่างอื่น มักจะมีแนวคิดที่กำหนดไว้แล้วอย่างหนึ่ง โลกนี้ถูกแบ่งเป็นท้องฟ้า พื้นดิน และมนุษย์ มีโลกสวรรค์ มีโลกมนุษย์ มียมโลก ตอนนี้โจวเจ๋อออกมาจากนรก เดินย่ำอยู่ในโลกมนุษย์ แต่ ‘เซียน’ อยู่ที่ไหนกันแน่ โจวเจ๋อไม่รู้จริงๆ
“เจ้าอยากให้เขาตามหาเจ้าเจอไหม” ใบหน้าครึ่งหนึ่งยิ้มถาม “ไม่ต้องรีบร้อนๆ ถึงเวลา เขาจะมาเอง…”
“ไม่อยาก”
“…” ใบหน้าครึ่งหนึ่ง
จู่ๆ ใบหน้าครึ่งหนึ่งรู้สึกว่า ถึงตอนแรกคนผู้นั้นฆ่าเขาไม่ตาย แต่ตอนนี้ตัวเขาก็มีความเป็นไปได้สูงที่จะโมโหตายเพราะสุนัขเฝ้าบ้านรุ่นน้องที่อยู่ตรงหน้าคนนี้!
เหอะ อยากโดนบีบให้ตายจริงๆ ใช่ไหม! มีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ดีหรือไง นี่คือความคิดของโจวเจ๋อ ถ้าหากไม่ใช่เพราะเจ้าโง่นอนหลับ ครั้งนี้เขาไม่คิดจะออกมา
หลังจากกลับไปครั้งนี้ เขาจะเก็บตัวระยะหนึ่ง ออกมาหนึ่งครั้ง คนอื่นเหนื่อยเพราะท่องเที่ยว เขาไม่เพียงแค่เหนื่อยแต่ยังโดนฟ้าผ่า บนโลกนี้ จะมีสักกี่คนที่กล้าไปเที่ยวโดยมีความเสี่ยงที่จะโดนฟ้าผ่า
ถ้าหากสามารถรักษาจังหวะชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีและมั่นคงเหมือนร้านหนังสือได้ตลอด ฉันจะออกมาทำงานทำไม ตอนนี้ฉันใช้ชีวิตสบายมากแล้ว ฉันว่างมากจนเบื่อเหรอ มีประสบการณ์จากชาติก่อนแล้ว ตอนนี้โจวเจ๋อพอใจกับสภาพความเป็นอยู่และจังหวะชีวิตในร้านหนังสือเป็นอย่างมาก
ไม่ต้องทำงาน ไม่ต้องต่อสู้ ไม่ต้องมองสีหน้าของหัวหน้าและเถ้าแก่ ไม่ต้องรับมือกับการสื่อสารของเพื่อนร่วมงานไม่ขาดเงิน ไม่ขาดบ้าน และยังมีอิงอิงอยู่ข้างกาย ยังจะคิดอะไรอีก
“รายละเอียดล่ะ พูดหน่อยไม่ได้เหรอ”
“พูดไม่ถูก พูดไปก็หมดสนุก”
“อย่างนั้นรอบนี้ผมต้องกลับแล้วจริงๆ” โจวเจ๋อลุกขึ้นเดินออกจากห้องสุสานหลัก ทนายอันมองซึ้งนึ่งอันนั้นหนึ่งที ก่อนจะกัดฟันแล้วเดินตามโจวเจ๋อออกไป เด็กผู้ชายกับอิงอิงเดินตามอยู่ข้างหลัง
ภายในห้องสุสานหลักเข้าสู่ความเงียบทันที สักพักจึงได้ยินเสียง ‘กรึกๆ’ เหมือนกำลังกัดฟัน แต่รุนแรงมากกว่าการกัดฟัน ไม่ว่าอย่างไรหลายปีที่ผ่านมานี้ เขาไม่มีงานทำ นอกจากนอนหลับแล้ว มักจะต้องหาเรื่องอื่นทำเพื่อฆ่าเวลา
เขากัดฟันไปเรื่อยๆ แล้วจึงหยุดลง ถึงแม้จะถูกคลุมด้วยซึ้งนึ่ง แต่เขายังคง ‘มอง’ เห็นได้มากพอ เห็นโจวเจ๋อเดินนำไปแล้วกลับมา เขาหัวเราะ ก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้มว่า “สุดท้ายเจ้าก็กลับมา” ราวกับว่าทุกอย่างอยู่ในกำมือ ใบหน้าครึ่งหนึ่งเริ่มคลายแท่งเหล็ก หัวเราะคิกคัก
เขาดีใจมาก ใช่แล้ว สุนัขเฝ้าบ้านที่สามารถเจออิ๋งโกว จะไม่มีความคิดทะเยอทะยานได้อย่างไร พวกที่สับสนโง่เขลา ไม่เข้าขั้น แม้แต่การมีตัวตนอยู่ของอิ๋งโกวก็ยังไม่มีสิทธิ์รู้เลยด้วยซ้ำ
“อืม” โจวเจ๋อแสดงสีหน้าเก้อเขินเล็กน้อย เหมือนลำบากใจ
“เหอะๆ เรื่องปกติธรรมดา เป็นธรรมดาของมนุษย์ อย่างเช่นข้า ยังเคยโลภฝันว่าสักวันหนึ่งจะเดินออกไปจากที่นี่ ตามหากายเนื้อที่เหมาะสมกับตัวเองแล้วสิงร่าง…” ใบหน้าครึ่งหนึ่งหยุดพูด เพราะเขา ‘มอง’ เห็นโจวเจ๋อเดินไปที่มุมหนึ่งของห้องสุสานหลัก
‘มอง’ เห็นโจวเจ๋อยกไหเหล้าขึ้นมา
“มอง” เห็นโจวเจ๋ออุ้มไหเหล้าแล้วโบกมือให้เขา
“ลืมไปเลย ขอโทษด้วย นี่คือสิ่งที่คุณรับปากว่าจะให้ผม” พูดจบ โจวเจ๋อก็อุ้มไหเหล้าเดินออกไป ไม่หันหน้ากลับมาเพราะกลัวว่าใบหน้าครึ่งหนึ่งจะเปลี่ยนใจ
“…” ใบหน้าครึ่งหนึ่ง
เขาอยู่ที่นี่ต้องแบกรับความเจ็บปวดของกายเนื้อที่ถูกหั่นแยกนานจนไม่รู้ว่ากี่ปี เขาอยู่ที่นี่ต้องอดทนต่อความเงียบเหงาเคว้งคว้างกับห้องที่ปิดสนิทนานไม่รู้กี่ปีแล้ว เขายังผ่านมาได้ เขายังสู้มาได้ เขายืนหยัด เขาอดทน เขามีปณิธานและความเชื่อที่ยิ่งใหญ่มาก แต่วินาทีนี้ เขากลับล้มเลิกกะทันหัน เขาอยากตาย…
……………………………………………………………………….
[1] ขนมหนิวผีถัง เป็นขนมท้องถิ่นของเมืองหยางโจว เนื้อเหนียวนุ่ม ยืดหยุ่น มีกลิ่นหอม ตัวขนมทำจากน้ำตาลทรายขาว งาขาว แป้ง และถั่วลิสง