ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล - ตอนที่ 684 จุดเริ่มต้น!
ตอนที่ 684 จุดเริ่มต้น!
เหล่าจางเดินออกมาจากร้านกาแฟสตาร์บัคส์ ถือกาแฟสองแก้วอยู่ในมือ หลังจากเข้าไปนั่งในรถตำรวจของตัวเองแล้ว จึงยื่นแก้วหนึ่งให้เยวี่ยหยาที่นั่งอยู่ตรงตำแหน่งข้างคนขับ
เยวี่ยหยารับกาแฟมาถือไว้ในมือแล้วหมุนช้าๆ อากาศหนาวมาก ไม่ใช่ยมทูตทุกคนจะทนหนาวได้เหมือนโจวเจ๋อ โจวเจ๋อเป็นหนึ่งในกรณีพิเศษ ในความเป็นจริง ยมทูตส่วนใหญ่มีร่างกายเป็นมนุษย์ธรรมดาเท่านั้น
“ลำบากคุณแล้ว” เหลาจางพูดขอโทษเล็กน้อย
“บริการเพื่อประชาชน” เยวี่ยหยาหัวเราะตอบ จะทำอย่างไรได้ หลังจากเหล่าจางบอกเจตนาที่มาร้านอินเทอร์เน็ตคาเฟ่แล้ว เจิ้งเฉียงกับหลิวฉู่อวี่แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน พวกเขาขี้เกียจเล่นเกมสืบสวนสอบสวนอะไร จากความหมายของหัวหน้า บอกว่าผ่านไปสักพักหนึ่งน่าจะมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้น พวกเขาจึงอยากพักผ่อนก่อน
ถ้าหากไม่เห็นว่าเหล่าจางกับพวกเขาล้วนเป็นหนึ่งในห้าลูกน้องของหัวหน้าเหมือนกัน พวกเขาไม่แน่อาจจะพูดจาเยาะเย้ยสักเล็กน้อย สุดท้ายเยวี่ยหยาเห็นว่าไม่มีทางเลือกอื่น จึงได้แต่พยักหน้าให้เหล่าจางก่อน เพื่อบอกว่าตัวเองจะไปสืบเป็นเพื่อนเขา ไม่ว่าอย่างไรเรื่องที่หัวหน้าสั่ง ถ้าหากทั้งสามคนไม่มีใครให้ความร่วมมือสักคน คงไม่รู้ว่าจะรายงานหัวหน้าได้อย่างไร
เหล่าจางดื่มกาแฟคำโต ใช้หลังมือเช็ดปาก แล้วเอ่ยว่า “จริงๆ แล้ว ผมไม่ได้กลัวเรื่องนี้ ถ้าหากเป็นคดีทั่วไป ผมจะสืบเอง และไม่รบกวนถึงขั้นนี้ ผมแค่รู้สึกว่าคดีนี้มีปัญหาเล็กน้อย ดังนั้นถึงอยากหาผู้ช่วย อีกทั้งบางเรื่อง ผมเป็นคนจัดการเองสะดวกน้อยกว่าพวกคุณแน่นอน”
“อย่างนั้นทำไมคุณไม่พูดกับหัวหน้าโดยตรง”
เหล่าจางส่ายหน้า “ไม่มีหลักฐานอะไร ผมอาศัยแค่สัญชาตญาณของผม” สัญชาตญาณของตำรวจเก่าประสบการณ์หลายสิบปี
“หรือไม่ก็ก่อนหน้านี้คุณเอาเรื่องประเภทนี้มาทำให้หัวหน้ารำคาญ” เยวี่ยหยาพูดความจริงออกมา
ในช่วงเวลาที่ยาวนานก่อนหน้านี้ ไม่ว่าตอนที่เหล่าจางยังมีชีวิตอยู่หรือตายแล้ว เขามักจะมาหาโจวเจ๋อให้ช่วยไขคดี เถ้าแก่โจวต้องทนทำตามอยู่หลายครั้ง แต่เมื่อหลายครั้งเข้า เถ้าแก่โจวที่ขี้เกียจมาตลอดจึงต้องอยู่ห่างๆ เหล่าจางเสมอ
เหล่าจางเลียริมฝีปาก รู้สึกอับอายเล็กน้อย
“มีคนหายตัวไปสี่คนใช่ไหมคะ ญาติก็ไม่ได้แจ้งความ แต่เพื่อนร่วมงานหรือไม่ก็เพื่อนบ้านเป็นคนแจ้งความ”
“ใช่ครับ ดังนั้นจำนวนวันที่หายตัวไป น่าจะเยอะกว่านี้ ไม่ว่าอย่างไร ไม่ใช่เพื่อนร่วมงานหรือเพื่อนบ้านทุกคนที่จะกระตือรือร้นแบบนี้ครับ”
“จริงๆ แล้วง่ายมาก ในเมื่อครอบครัวไม่ยอมรับว่าหายตัวไป ก็จับตัวมาเลย แล้วสอบถาม แบบนี้ก็เสร็จแล้วไม่ใช่เหรอ และเห็นได้ชัดว่า อย่างน้อยครอบครัวของสี่คนนี้น่าจะรู้เรื่อง จู่ๆ คนหายตัวไป กลับไม่แจ้งความ นี่มีความชัดเจนมาก”
เหล่าจางกระแอมหนึ่งที
“อ้อ!” เยวี่ยหยาแสดงสีหน้าเข้าใจออกมา “หรือว่า คุณไม่อยากทำให้มือของตัวเองสกปรก”
“ผมไม่เหมือนพวกคุณ” เหล่าจางถอนหายใจ “พูดจริงๆ นะ ถึงแม้ผมจะเป็นยมทูต แต่ไม่ต่างจากคนธรรมดามากเท่าไร ไม่ใช่ผมรู้สึกผิดเกี่ยวกับศีลธรรมอะไร และผมก็ไม่ใช่คนหัวโบราณขนาดนั้น แต่ถ้าหากผมทำ จะทิ้งร่อยรอยได้ง่ายถึงตอนนั้นอาจจะทำให้เรื่องราวยุ่งยากขึ้นกว่าเดิม หลายครั้งเรื่องของโจวเจ๋อ ผมแทบจะช่วยอะไรไม่ได้เลย ได้แต่มองดูอยู่ข้างๆ หรือไม่ก็ช่วยวิ่งจัดการงานเล็กๆ น้อยๆ บางครั้งผมก็รู้สึกติดหนี้เขาเยอะมาก ไม่ว่าอย่างไรตอนที่ผมยังมีชีวิตอยู่เขาได้ช่วยผมหลายครั้ง ถ้าหากไม่มีเขา ตอนนี้ผมคงไม่ได้นั่งอยู่ในรถตำรวจต่อไป”
เยวี่ยหยาทำเสียงฮึดฮัดหนึ่งที แล้วปลิ้นปาก คายเข็มแต่ละเล่มออกมาหล่นใส่มือของเธอ
“ก็ไม่แน่นะคะ บางทีหน้าที่ของคุณอาจจะยิ่งใหญ่กว่าพวกเราคนอื่น”
“จะเป็นไปได้ยังไง”
“ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ค่ะ พูดจริงๆ นะ ตอนนี้พวกเราได้แต่วิ่งเต้นทำงานเล็กๆ น้อยๆ ให้หัวหน้าเท่านั้น นิสัยของหัวหน้า ถ้าไม่ใช่เพราะทนายอันคนนั้นคอยวางแผนและจัดการ เขาอาจจะไม่มีความคิดอยากรับยมทูตมาเป็นลูกน้องเลยด้วยซ้ำ และขี้เกียจที่จะเลี้ยงดูหรือสนับสนุนอะไร เขาอาจจะชอบออกไปเดินเล่นข้างนอกมากกว่า แล้วก็จับปีศาจกลับมาหนึ่งหรือสองตัว
เฮ้อ ตัวที่หน้าตาเหมือนสลอธเมื่อครู่คุณเห็นแล้วใช่ไหม พวกเรายมทูตสองสามคนอยู่ด้วยกัน อาจจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมันด้วยซ้ำไป พวกเราหากเทียบกับสัตว์ตัวหนึ่ง ข้อได้เปรียบก็คือพวกเราพูดได้ สามารถสื่อสารกันได้ อีกอย่างคนยุโรปที่ถ่ายทำภาพยนตร์ ยังต้องใส่ตัวละครอย่างคนผิวดำหรือคนเอเชียเข้าไป เรียกว่าอะไรนะ อ้อใช่ เรียกว่าความถูกต้องทางการเมือง” เยวี่ยหยากวาดตามองเหล่าจางหนึ่งทีอย่างมีความหมายลึกซึ้ง พลางยื่นมือตบไหล่ของเขาเบาๆ เห็นได้ชัดว่าความหมายนอกเหนือจากนี้คือ คุณก็คือความถูกต้องทางการเมืองของหัวหน้าพวกเรา
เหล่าจางรู้สึกไม่สบายใจ ทำไมพูดไปพูดมารู้สึกว่าตัวเองกลายเป็นตัวนำโชคตัวหนึ่ง
“เอาที่อยู่มาให้ฉัน ฉันจะไปจับลิ้นถามเอง”
“อย่าทำร้ายใครนะครับ”
“ฉันกลัวการทำร้ายคนมากกว่าคุณอีกค่ะ” เยวี่ยหยากลอกตาใส่เขา
“ครับ อยู่ในเขตชุมชนเล็กๆ ตรงหน้า เป็นครอบครัวสามคนพ่อแม่ลูก แต่ลูกชายไปเรียนมหาวิทยาลัยต่างเมืองไม่อยู่บ้าน สองสามีภรรยาเป็นพนักงานโรงงานทอผ้าแถวนี้ ผู้หญิงหายตัวไป สามีไม่แจ้งความ บอกกับคนนอกว่าภรรยากลับไปบ้านแม่ แต่ในโรงงานทอผ้ามีเพื่อนร่วมงานสองคนที่มาจากบ้านเกิดเดียวกันกับภรรยาของเขา ไม่รู้ข่าวนี้ จึงแอบไปแจ้งความที่สถานีตำรวจ”
“กระตือรือร้นดีจริงๆ หลายปีที่ผ่านมานี้ คนแบบนี้มีน้อยมากจริงๆ” กระแสสังคมในปัจจุบันนี้มีแต่สนใจกวาดหิมะหน้าบ้านตัวเอง มีหรือจะสนหิมะบนหลังคาบ้านคนอื่น
“บังเอิญว่าช่วงนี้มีคดีฆ่าภรรยาหรือไม่ก็หลอกเอาเงินประกันค่อนข้างเยอะ จึงทำให้คนเริ่มระวังตัว ดังนั้นตามหลักการที่เชื่อถือได้และปลอดภัยที่สุด พวกเธอจึงเลือกแอบไปแจ้งความ”
“ตอนนี้สามีของเขาอยู่ในบ้านเหรอ”
เหล่าจางมองนาฬิกาหนึ่งที พยักหน้าเอ่ยว่า “น่าจะเลิกงานกลับบ้านแล้ว”
“ฉันมักจะรู้สึกว่า คุณยังมีบางเรื่องไม่ได้บอกฉัน” เยวี่ยหยาหันหน้ามองเหล่าจาง “แน่นอนว่า ถ้าหากเป็นเรื่องที่บอกหรือไม่บอกฉันก็ไม่เป็นไร อย่างนั้นก็ไม่ต้องบอก ฉันแค่ช่วยถามให้คุณ จากนั้นนำผลจากการสอบถามมาบอกคุณ ก็เสร็จภารกิจของฉันแล้ว”
เหล่าจางถอนหายใจ คลึงตรงกลางระหว่างคิ้ว แล้วพูดอย่างจนใจว่า “จากข้อมูลที่ได้จากการสืบสวนคดีคนหายทั้งสี่คนที่มีอยู่ในตอนนี้ พวกเขาจริงๆ แล้วมีจุดที่เหมือนกันอย่างหนึ่ง”
“จุดที่เหมือนกัน ทำไมฟังแล้วเหมือนเป็นคดีฆาตกรรมต่อเนื่องที่ผู้ตายล้วนใส่ชุดกระโปรงสีแดงแบบนั้น”
“ขอพูดคำพูดที่ไม่เหมาะสมสักประโยค ถ้าหากเป็นคดีฆาตกรรมต่อเนื่องอย่างเดียว ผมคงไม่รู้สึกสับสนแบบนี้ อย่างมากก็แค่สู้กับฆาตกรให้เต็มที่ ดูว่าปลาจะเร็วกว่าหรือว่าแหจะเร็วกว่า แต่สี่คนที่หายตัวไป มีสามคนเป็นโรคมะเร็ง อีกคนเป็นโรคยูรีเมีย”
เมื่อได้ยินดังนั้น เยวี่ยหยาจึงตกตะลึง แล้วขมวดคิ้ว “ฉันเข้าใจแล้ว”
คนเป็นโรคที่ไม่สามารถรักษาให้หายได้หายตัวไปสี่คนในช่วงเวลาสั้นๆ นี่อาจจะเป็นเพียงส่วนหนึ่งของยอดภูเขาน้ำแข็งที่ถูกค้นพบเท่านั้น มีความลับอะไรแอบซ่อนอยู่ในนี้กันแน่ ลองพิจารณาดูเล็กน้อย ก็ทำให้คนรู้สึกตกใจจนหัวใจสั่นแล้ว น้ำลึกมาก ลึกมากเสียจนสามารถกลบฝังคนให้ตายได้
“พวกคุณตำรวจเคยถามดูหรือยัง” เหล่าจางพยักหน้า “เคยถามแล้ว แต่ทางญาติไม่ให้ความร่วมมือ”
“อย่างนั้นฉันจะลงไปแล้ว แล้วคุณล่ะ”
“ผมจะนั่งรอข่าวจากคุณอยู่ในนี้”
“อย่างนั้นรอแป๊บหนึ่งนะคะ คุณตำรวจของฉัน” เยวี่ยหยาทำท่าเคารพเหล่าจาง แล้วลงจากรถ เดินเข้าไปในเขตชุมชนตรงหน้า
…
นี่เป็นเขตชุมชนเก่า น่าจะมีมานานหลายปีแล้ว เยวี่ยหยาเดินไปตามที่อยู่ที่เหล่าจางให้เธอมา ตามหาบ้านของคนนั้น ภายในตึกไม่มีกล้องวงจรปิด ตลอดทางที่เดินมา นอกจากตรงหน้าประตูใหญ่แล้ว ก็ไม่เห็นกล้องวงจรปิดที่อื่นอีก
เยวี่ยหยาเดินมาที่หน้าประตู ปลายนิ้วปรากฏเข็มเงินสองเล่ม เธอไขเข้าไปในรูกุญแจ ไม่ช้าประตูกันขโมยก็ถูกเปิดออก จากนั้นประตูห้องจึงถูกเปิดออกอย่างง่ายดาย
หลังจากเดินเข้าไปแล้ว เยวี่ยหยารู้สึกแสบจมูก กลิ่นเหล้าฉุนมาก ฉันไม่ได้อยู่ในบาร์ใช่ไหม เยวี่ยหยากังวลเล็กน้อย ถ้าหากคนนั้นเมาเหล้า ตัวเธอยังจะถามอะไรได้อีก เธอไม่สามารถสืบจากวิญญาณได้ และเธอก็ไม่กล้าฆ่าคนแย่งวิญญาณ
ห้องรับแขกไม่ใหญ่มาก เยวี่ยหยาผลักประตูห้องนอนก่อน ห้องนอนแรกน่าจะเป็นห้องของลูกชายพวกเขา ในนั้นมีโปสเตอร์ของคริสเตียโน โรนัลโดแขวนไว้เต็มไปหมด
เยวี่ยหยาผลักประตูห้องนอนที่สอง นี่น่าจะเป็นห้องของสองสามีภรรยา ผ้าห่มยับย่นเป็นก้อน ก้นบุหรี่เต็มพื้น รกและสกปรกอย่างเห็นได้ชัด แต่ยังคงไม่เจอใคร เยวี่ยหยาเดินกลับมาที่ห้องรับแขกอีกครั้ง ทันใดนั้นเธอพบว่าผนังของห้องรับแขกมีความแคบเล็กน้อย ก่อนหน้านี้นึกว่าแปะโปสเตอร์ดาราไว้ แต่พอมองอย่างละเอียด พบว่าบนนั้นเป็นรูปภาพของคนคนหนึ่ง
ผู้ชายที่อยู่ในรูปเดี๋ยวก็ใส่สูท เดี๋ยวก็ใส่เสื้อกาวน์ เดี๋ยวก็ใส่เสื้อฟุตบอล และภาษาที่ระบุด้านล่างก็ชัดเจนมาก ล้วนบรรยายจนผู้ชายคนนี้เป็นดั่ง ‘ผู้ยิ่งใหญ่’
“นี่คือดาราเหรอ” เยวี่ยหยาคิดอย่างฉงนสนเท่ห์ เพราะผู้ชายที่อยู่ในรูป เธอไม่รู้จักจริงๆ และไม่เคยเห็นมาก่อน เธอรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้ล้าสมัยขนาดนั้น ปกตินอกจากทำงานแล้ว ชีวิตยามว่างของเธอมีสีสันมาก ถึงแม้ตอนนี้จะมีดาราหนุ่มวัยละอ่อนเกิดขึ้นมาเป็นระลอก แต่ส่วนใหญ่แล้วเธอสามารถจำชื่อได้
‘เคร้ง!’ เวลานี้ มีเสียงดังมาจากในห้องน้ำ เยวี่ยหยาเดินเข้าไปผลักประตูห้องน้ำ ผู้ชายวัยกลางคนคนหนึ่งกำลังคุกเข่าเกาะอยู่ตรงขอบชักโครก ถือขวดเหล้าขาวขวดหนึ่งอยู่ในมือ กลิ่นเหม็นเปรี้ยวแสบจมูกพรั่งพรูออกมาทันทีที่ประตูห้องน้ำเปิดออก
เยวี่ยหยาแสดงความรังเกียจออกมาทางสีหน้า เข็มเงินในมือหมุนวนหลายรอบ เธออยากจะแทงคนที่อยู่ตรงหน้าให้ตายไปเลย จะได้ไม่ต้องเป็นมลพิษทางอากาศของเธอ แต่เยวี่ยหยายังอดทนไหว ลองถามว่า “ภรรยาของคุณไปไหน”
ผู้ชายลืมตาแดงก่ำ ส่ายหน้ามองเยวี่ยหยา เหมือนจะสงสัยอยู่บ้าง แต่กลับไม่ตระหนักเลยว่า คนแปลกหน้าคนหนึ่งได้เข้ามาอยู่ในบ้านของตัวเองแล้ว
“ภรรยาของคุณไปไหน”
“ไปรักษาตัว” ผู้ชายดื่มเหล้าอีกที จากนั้นหมุนตัวหันไปอาเจียนใส่ชักโครกอีกครั้ง
“ไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลไหน” เยวี่ยหยาอดกลั้นต่อ ‘ความอบอวล’ ที่แสบจมูกต่อไป
“โรงพยาบาล?”
ผู้ชายแสดงสีหน้าสงสัยและเย้ยหยันออกมา เงยหน้าเรอเป็นกลิ่นเหล้า แล้วตะโกนบ่นว่า “โรงพยาบาลเป็นสถานที่รักษาโรคเหรอ มีแต่หลอกเอาเงินอย่างเดียว”