ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล - ตอนที่ 702 กินตอนร้อนๆ!
ตอนที่ 702 กินตอนร้อนๆ!
จริงๆ แล้ว โจวเจ๋อเคยคิดจริงๆ ว่า ในเมื่ออิงอิงอยู่ที่นี่ ถ้าอย่างนั้น ฉันก็ไม่ต้องไปใช่ไหม ผู้กล้าต่อกรกับมังกรร้ายช่วยเจ้าหญิงเป็นเรื่องที่สวยงาม แต่เหมือนกับที่นักพรตเฒ่าเคยพูดไว้ตอนแรก ฝีมือของเจ้าหญิงอยู่ห่างไกลจากสาวใหญ่มากนัก
มนุษย์มีความเห็นแก่ตัว เถ้าแก่โจวไม่เคยปฏิเสธข้อนี้ ในความเป็นจริง วีรบุรุษมากมายในประวัติศาสตร์ สาเหตุที่พวกเขาได้ชื่อว่าเป็นวีรบุรุษ ไม่ใช่เพราะพวกเขาเคยคิดอะไร แต่เป็นเพราะเคยทำอะไรไว้ต่างหาก
นี่คือความแตกต่างของวีรบุรุษกับจอมยุทธ์คีย์บอร์ด ใครบอกว่าวีรบุรุษเดินไปข้างหน้าแล้วจะไม่กลัวตาย บางทีก็เคยคิดที่จะถอยและวิ่งหนี
ถ้าหากเป็นร้านหนังสือแห่งนี้ละก็ ไม่ว่าอย่างไรก็ขาดทุนมาตลอด เสียไปแล้วก็ปล่อยไปเถอะ นี่เรียกว่าอะไรนะ หยุดความเสียหายได้ทันเวลา ตัวเองช่วยเผยแพร่กลิ่นอายของวัฒนธรรมการศึกษาบนถนนหนานต้าจนขาดทุนมานานแล้ว จึงสมควรที่จะหาคนมารับช่วงต่อแล้วใช่ไหม แน่นอน นี่เป็นแค่ความคิดเท่านั้น
โจวเจ๋อรู้ว่าตัวเองเป็นโรคชอบเก็บสะสมของขั้นรุนแรง ด้วยฐานะที่เกิดในชาติที่แล้ว ทำให้เขากลัว ‘ความจน’ ตัวเองกว่าจะสร้างทีมขึ้นมาก็ไม่ง่าย ลูกน้องที่ตัวเองรวบรวมมา สภาพแวดล้อมในการใช้ชีวิตที่ตัวเองรักษาไว้ กลับต้องทิ้งไปในชั่วพริบตา หัวใจเจ็บปวดจนยากที่จะหายใจ
สวี่ชิงหล่างกลับไม่ลังเลแม้แต่นิดเดียว เก็บของแล้วขับรถของเขาออกมาโดยตรง รถของเหล่าสวี่ถูกนำไปเบิกเงินชดเชยเพราะโดนระเบิดครั้งที่แล้ว เพิ่งเปลี่ยนเป็นรถเอสยูวีของมาสด้ามาหมาดๆ ราคาประมาณสองแสนกว่าหยวน
เดิมทีเขาอยากจะเปลี่ยนเป็นรถหรู แต่ตอนที่ไปยูนนานได้คุยกับทนายอันบนรถเป็นเวลานาน อิงอิงก็ร่วมวงด้วยและช่วงนี้ราคาบ้านที่ทงเฉิงก็ราคาตก ห้องชุดยี่สิบห้อง หากคำนวณราคาขาดทุนตามหลักการแล้ว เหล่าสวี่สูญเสียเป็นรถเฟอร์รารี่หนึ่งคันเลยทีเดียว ดังนั้นจึงลดมาตรฐานการซื้อรถลงมา
แต่หากใช้คำพูดของเหล่าสวี่แล้ว เขามีความมั่นใจต่อราคาบ้านเป็นอย่างมาก เชื่อว่าราคาสามารถเพิ่มกลับมาได้ทุกเมื่อ ถึงตอนนั้นค่อยเปลี่ยนก็ยังได้
รถจอดอยู่ตรงหน้าของตัวเอง โจวเจ๋อเปิดประตูรถด้วยความคุ้นชิน ขึ้นรถ แล้วนั่งหลับตาพักผ่อนอยู่เบาะหลัง อิงอิงก็ขึ้นรถมาเช่นกัน นั่งอยู่ข้างโจวเจ๋อ
“แผนที่ไป่ตู้จะนำทางให้คุณต่อ ขับรถในช่วงหมอกหนา กรุณาเปิดไฟตัดหมอกด้วยค่ะ…”
เหล่าผู้กล้าออกเดินทางแล้ว!
…
เหล่าจางตอนนี้ร้อนใจมาก เพราะเขาพบว่าตัวเองไม่ว่าจะเดินวนอย่างไร ก็ออกไปจากตึกชั้นนี้ไม่ได้ เขาเข้าใจว่าตัวเองน่าจะโดนสิ่งที่เรียกว่าผีบังตาเข้าแล้ว
ถึงตอนนี้ เหล่าจางเพิ่งสัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่ไร้กำลังอย่างลึกซึ้ง ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน อยู่ในกลุ่มไหน ถ้าหากคุณเป็นตัวถ่วงคนนั้น ต่อให้คุณยิ้มหน้าบานแค่ไหนก็เป็นแค่การอำพรางของคุณเท่านั้นเอง
เหล่าจางหดหู่มาก เขาอยากกระโดดลงไปจากที่นี่ให้รู้แล้วรู้รอด แต่เขารู้ว่าตัวเองไม่ใช่ ‘ยอดมนุษย์’ เหมือนพวกเถ้าแก่ ที่สำคัญที่สุดคือ ประโยชน์ของการกระโดดลงไปอยู่ที่ไหน ทำลายการโดนผีบังตาได้สำเร็จแล้วตัวเองก็ตกลงไปตายงั้นเหรอ ทำไมคิดดูแล้วถึงดูโง่มาก
เหล่าจางนั่งอยู่บนขั้นบันได โทรศัพท์ไม่มีสัญญาณเหมือนเดิม เขาเม้มปาก ถอนหายใจ อันที่จริง ใช่ว่าเขาจะไม่เคยคิดอยากจะเรียนสิ่งเหล่านี้ เขาไม่เหมือนกับปลาเค็มอย่างโจวเจ๋อ ตอนแรกสาวน้อยโลลิเคยอยากบอกวิธีฝึกยมทูตให้กับโจวเจ๋อ แต่โจวเจ๋อปิดหูโดยตรง ไม่อยากฟังพระโพธิสัตว์สวดมนต์
เหล่าจางเป็นคนที่รู้จักพัฒนาตัวเอง เขายินดีทำหน้าที่ตำรวจของตัวเองอย่างเต็มที่ และเรียนรู้วิถีของยมทูตในเวลาเดียวกัน ถึงแม้จะเรียนรู้ได้แค่งูๆ ปลาๆ เท่านั้นก็ตาม
เขาเคยบอกความคิดนี้กับโจวเจ๋อ แต่กลับถูกโจวเจ๋อปฏิเสธโดยตรง เพราะเถ้าแก่โจวรู้ดี ความสามารถมากมายของยมทูต สามารถฝึกฝนได้ในภายหลังก็จริง แต่มูลค่าเริ่มต้นของทุกคน ได้รับมาจากในนรก
ตัวของโจวเจ๋อเคยไปท่องนรกในตอนแรก ไม่ได้ถูกคุมตัวและถูกทรมานอย่างน่าอนาถ เหล่าจางยิ่งสู้ตัวเขาเองไม่ได้ เพราะมีสาเหตุมาจากตัวเขาเอง เหล่าจางไม่ได้ลงไปนรกเลยด้วยซ้ำ
เว้นเสียแต่ว่าคุณสั่งให้เหล่าจางไปเป็นผี ใช้วิธีของผี แต่นั่นไม่สามารถหลีกเลี่ยงวิธีที่เป็นภัยต่อสวรรค์ ดังนั้นความคิดเห็นของเถ้าแก่โจวคือ เหล่าจาง คุณรับผิดชอบหน้าที่ ‘อันงดงามดุจดอกไม้’ ของคุณต่อไป ทำหน้าที่ตำรวจของประชาชนของคุณให้ดี เรื่องอื่น พวกเราจะไม่รบกวนคุณ
ความสัมพันธ์ของปลากับน้ำระหว่างตำรวจและประชาชน ได้รับการอธิบายเป็นอย่างดีจากร้านหนังสือ
“จนปัญญามากใช่ไหม” เสียงของชายชราดังมาจากข้างหลังของเหล่าจาง เหล่าจางหันไป มองไปที่ชายชรา เขารู้สึกประหม่าเล็กน้อย แต่ไม่ถึงขั้นลนลานทำตัวไม่ถูก
ชายชรากลับนั่งลงบนขั้นบันไดข้างเหล่าจางโดยไม่สนใจอะไร ผ่านไปนานพักหนึ่ง จึงพูดด้วยเสียงหนักอึ้งว่า “คุณเป็นตำรวจที่ดี”
เหล่าจางรู้สึกตกใจที่ได้รับความเมตตา เขารู้เรื่องอาจารย์ของสวี่ชิงหล่างอยู่บ้าง ดังนั้นเขาจึงระวังคนที่อยู่ตรงหน้าคนนี้เป็นอย่างมาก
“คุณไม่ได้ตาบอด และไม่ได้แกล้งตาบอด ผมมองออก ผมชื่นชมเป็นอย่างมาก”
เหล่าจางกำลังลังเล คนอื่นเอ่ยชมตัวเอง ตัวเองต้องพูด ‘ขอบคุณ’ กลับไปไหม
“ไม่ต้องพูดขอบคุณหรอก ผมต้องการฆ่าคุณ คุณไม่ต้องขอบคุณผม”
“อ้อ” เหล่าจางพยักหน้า เข้าใจความคิดแล้ว แล้วจึงนั่งหลังตรงข้างชายชรา
“คุณคิดว่า ถ้าหากบนโลกนี้ ทุกคนเป็นเหมือนคุณ ไม่ตาบอด จะดีมากแค่ไหน”
“อันนี้ยากมาก”
“ใช่แล้ว ยากมาก ดังนั้น ผมอยากตาย จึงยากมาก”
ดังนั้น คุณกำลังพูดอวดอยู่ใช่ไหม
“ต่อให้เป็นชาติที่แล้วของผม จริงๆ ก็เคยพูดประนีประนอม เคยพูดไกล่เกลี่ยแล้ว และเคยเกิดอุบัติเหตุมาก่อน สิ่งที่ยืนหยัดมาทั้งหมด ไม่มีอะไรมากไปกว่าเส้นขีดจำกัดสุดท้ายของตัวเอง ซึ่งก็คือชาตินี้ ไม่ว่ายังไงก็เป็นคนที่เคยตายมาแล้วหนึ่งครั้ง ตัวผมก็อยู่ตัวคนเดียว ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วง และยิ่งไม่มีอะไรต้องกังวล แบบนี้จึงใช้ชีวิตได้อย่างสบาย เป็นอิสระ”
“คุณเท้าเปล่าไม่กลัวใส่รองเท้า แต่ในความเป็นจริง คนที่ยิ่งยืนอยู่ที่สูง พวกเขาจะยิ่งกังวล ยิ่งเสียดายที่จะสูญเสียผลประโยชน์ของตัวเอง และยิ่งแสร้งทำเป็นตาบอด ฉลองพระองค์ชุดใหม่ของพระราชา นิทานเรื่องนี้ จริงๆ แล้วนับตั้งแต่โบราณจนถึงปัจจุบัน ไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลย”
“ดังนั้น คุณถึงปรากฏตัวเพราะเหตุนี้”
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน อาจจะใช่ โรงพยาบาลแห่งนี้ เป็นแหล่งกำเนิดที่ปิดซ่อนความสกปรก แต่ของเก่าสกปรกเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว มันจึงสะอาดไม่ได้ ก็เหมือนกับคนเป็นคน ผีก็เป็นผี ปีศาจก็เป็นปีศาจ แยกแยะอย่างชัดเจน มีบางคนแสร้งตาบอด มันถึงสามารถแผ่ขยายน้ำสกปรกออกไปได้ทีละก้าวๆ ยิ่งคนแสร้งตาบอดเยอะเท่าไร ปริมาณของน้ำสกปรกก็เยอะเท่านั้น” ชายชราลุกขึ้น เดินขาเซ เอ่ยว่า “เถ้าแก่ของคุณพวกเขามาแล้ว ผมต้องไปทักทายพวกเขาแล้ว”
“อ้อ ครับ”
“ผมไม่อยากฆ่าคุณจริงๆ ผมชื่นชมคุณมาก”
“อืม…”
“ถ้าหากทุกคนเป็นเหมือนคุณ ผมคงตายไปนานแล้ว”
“อืม…”
“แต่ผมยังต้องฆ่าคุณอยู่ดี คนอย่างผมเป็นคนใจแคบ เจ้าคิดเจ้าแค้น”
“ครับ…”
“อ้อใช่ คุณรู้ไหม ครั้งที่แล้วผมตายได้ยังไง”
เหล่าจางส่ายหน้า แต่พอจะรู้อยู่บ้าง น่าจะเป็นคนนั้นที่ลงมือ แต่คนนั้น ตอนนี้กำลังอยู่ในนิทรา
“อย่างนั้นไม่รบกวนให้คุณลำบากใจแล้ว” ชายชราไม่พูดอะไรอีก เดินลงบันไดไป
เหล่าจางลุกขึ้น อยากจะเดินตามลงไป จากนั้นเขาจึงเดินจากชั้นเจ็ดกลับมาที่ชั้นเจ็ดอีกครั้ง
…
ในน้ำพุตรงทางเข้าประตูใหญ่ของโรงพยาบาล มีผู้หญิงคนหนึ่งนอนอยู่ ร่างของผู้หญิงแช่อยู่ในน้ำ ตอนที่ชายชราเดินผ่านตัวเธอสายตาของผู้หญิงมองไปที่ชายชรา
“เธออยากให้ฉันชนะ หรืออยากให้ฉันแพ้”
ตำรวจเฉินหรี่ตา เขาชนะแล้ว หน้าที่ของตัวเธอถือว่าเป็นอันเสร็จสมบูรณ์ คนนั้นที่ทำลายร่างแยกของเธอในตอนนั้น น่าจะตายแล้วเช่นกัน แต่เหล่าจาง ก็ต้องตาย
“เธอยังลังเลอยู่เหรอ” ชายชราเหลือบตามองตำรวจเฉินหนึ่งที แล้วพูดฮึดฮัดว่า “ได้เลย เธอแสร้งตาบอดต่อไปก็แล้วกัน”
ชายชราสะบัดแขนเสื้อ เดินไปข้างหน้า ตรงประตูใหญ่ ไม่มีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยอยู่ในป้อมยามแล้วดังนั้นรถเอสยูวีมาสด้าจึงขับเข้ามาโดยตรง
หลังจากคนขับรถมองเห็นชายชราที่ยืนอยู่ตรงนั้นแล้ว เขาจึงเหยียบคันเร่ง ชายชราถอนหายใจยาว ยกเท้าขึ้นมา แล้วเหยียบไปข้างหน้า
‘เอี๊ยด…’ เสียงแสบแก้วหูดังเข้ามา รถยนต์ที่เหยียบคันเร่งมิดเท้า ถูกเหยียบให้หยุดลงกะทันหันภายใต้เท้าของชายชรา
“ลูกศิษย์ ถ้าหากเธอมีใจรักด้านนี้ตั้งแต่เนิ่นๆ ฉันยังต้องฆ่าพ่อแม่ของเธอทำไม”
สวี่ชิงหล่างหัวเราะ สองมือปล่อยพวงมาลัย ชี้ไปที่ใบหน้าของตัวเอง “ความผิดของฉันงั้นเหรอ”
ชายชราพยักหน้าเพราะคิดว่าเป็นแบบนั้น “ใช่แล้ว เธอดูสิ ตัวเธอน่าจะรับรู้ได้ถึงการพัฒนาของตัวเอง เธอเป็นศิษย์ที่ได้สืบทอดวิชาที่ดีที่สุดจากฉัน ถ้าตั้งใจนิดหน่อย ก็สามารถทำได้ อ้อใช่ ในร่างกายของเธอยังผนึกงูน้อยอยู่ตัวหนึ่งใช่ไหม เยี่ยมเลย มีการพัฒนาที่ชัดเจนมาก! ลูกศิษย์เอ๋ย อาจารย์อย่างฉันจู่ๆ ก็ไม่อยากฆ่าเธอแล้ว อาจารย์รู้สึกว่า ถ้าหากครั้งนี้ฆ่าหุ้นส่วนที่เปิดร้านหนังสือของเธอจนหมด แล้วให้กำลังใจเธออีกหน่อย เมื่อเธอได้รับกำลังใจซึ่งเป็นสิ่งเร้าจากความห่วงใยของอาจารย์ อาจารย์กลับมาครั้งหน้า ยังจะได้เห็นการพัฒนาของเธอ โธ่เอ๋ย คิดๆ ดูแล้วรู้สึกว่าชีวิตเริ่มดีขึ้นแล้ว!”
สวี่ชิงหล่างหัวเราะ
“บนรถยังมีอีกสองคนใช่ไหม พอจะถามได้ไหมว่า คนที่ฆ่าฉันครั้งที่แล้ว ก็อยู่บนรถด้วยใช่ไหม”
เวลานี้ ประตูรถถูกผลักออกจากด้านใน อิงอิงเดินลงมา ยื่นมือวางอยู่บนกรอบประตูรถ โจวเจ๋อโน้มตัว เดินออกมาจากด้านใน ยืนอยู่บนพื้น ปากคาบบุหรี่หนึ่งมวน พร้อมกับใช้แววตาสงบนิ่งที่แฝงไปด้วยความดูแคลนและรำคาญมองไปยังชายชราที่อยู่ตรงหน้า เหมือนกำลังดูลูกอมเหนียวหนึบ…ตัวหนึ่ง
“เป็นเธอ” ชายชราถาม
“ใช่…ฉันเอง…”
“เธอคือคนที่ฆ่าฉันครั้งที่แล้วจริงๆ เหรอ“
“สง…สัย…คุณ…จะ…จำ…ไม่…ได้…จริง…จริง…”
สวี่ชิงหล่างมองไปที่โจวเจ๋อด้วยความแปลกใจอยู่บ้าง แล้วจึงถามแบบไร้เสียงว่า “เขา เขาตื่นแล้วเหรอ”
โจวเจ๋อพ่นควันบุหรี่หนึ่งที แล้วหัวเราะ เอ่ยว่า “ไม่แน่ฉันอาจจะให้กำลังใจตัวเองอยู่”
“…” สวี่ชิงหล่าง
ชายชราขมวดคิ้ว เอ่ยว่า “ทำไมฉันถึงไม่เชื่อนะ”
ทั้งสองฝ่ายเริ่มตั้งท่า พร้อมสู้กันได้ทุกเมื่อ
และหน้าประตูของโรงพยาบาล เด็กผู้หญิงคนหนึ่งสะพายกระเป๋ากระโดดโลดเต้นเดินเข้ามา โจวเจ๋อหันหน้ามองไปที่เธอ แล้วพูดว่า “เธอมาได้ยังไง”
สาวน้อยโลลิยืนตัวนิ่ง เธอนึกถึงคำพูดของจิ้งจอกขาวที่พูดกับตัวเองในคืนนั้น แล้วจึงตอบอย่างจริงจังว่า “ขี้ ต้องกินตอนร้อนๆ!”
……………………………………………………………………….