ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล - ตอนที่ 721 ช่วยเหลือ!
ตอนที่ 721 ช่วยเหลือ!
สายลมยามค่ำคืนพัดพาอากาศเย็นลงเล็กน้อย โจวเจ๋อยันไม้เท้าพยุงตัวเดินลงมาจากรถ เดินกะเผลกๆ เล็กน้อย เสื้อฮู้ดอย่างหนาสีดำสวมคู่กับหน้ากากปิดปากรูปหัวกะโหลก ดูแล้วเหมือนกับคนรักคอสเพลย์ออกมาท่องราตรียามดึก นักพรตเฒ่าออกมาจากที่นั่งคนขับ แล้วรีบเข้ามาช่วยพยุง
“เถ้าแก่ จริงๆ แล้วเจ้าไม่ต้องออกมาก็ได้นะ”
นักพรตเฒ่าไม่ได้แสร้งทำแต่เป็นห่วงจริงๆ เถ้าแก่เป็นถึงขนาดนี้แล้วยังตั้งใจออกมาเป็นธุระให้เขาโดยเฉพาะ
โจวเจ๋อส่ายหน้า ไม่ได้เอ่ยอธิบาย
ทนายอันพูดในสายโทรศัพท์แล้วว่า คดีฆ่าตัวตายนี้ ‘ผิดธรรมชาติ’ มันก็หมายความว่า ‘มีผี’ จริงๆ นั่นแหละ แต่ทนายอันยังบอกอีกว่า ของอย่างนี้เขาไม่สามารถจัดการได้เพียงลำพัง ในฐานะผู้ตรวจสอบในอดีต เขาบอกว่าจัดการกับผีตนหนึ่งไม่ได้ นี่เห็นได้ชัดว่าประเมินไพ่ของยมโลกต่ำเกินไปแล้ว
แม้ว่าเหล่าอันจะถูกถอดยศถอดตำแหน่งไป และสู้รูปลักษณ์อันเย่อหยิ่งของเฝิงซื่อเอ๋อร์ตอนที่ขึ้นมาไม่ได้จริงๆ แต่คนในร้านหนังสือก็ยังเชื่อมั่นในความสามารถของเหล่าอันอยู่ดี
เพียงแต่ว่าผีคราวนี้ค่อนข้างพิเศษ และจับได้ยากนิดหน่อย ทนายอันไร้หนทาง ทำได้เพียงขอกำลังเสริมจากร้านหนังสือเท่านั้น
ตอนนี้ร้านหนังสือ ‘มีแต่ทหารบาดเจ็บเต็มทัพ’ ยมทูตใต้บังคับบัญชาที่มาจากที่อื่นสามตนยังคงนอน ‘ครุ่นคิดถึงชีวิต’ อยู่ในร้านขายยา นอกจากอิงอิงที่สามารถออกมาช่วยเหลือแล้ว ก็เหลือเพียงแค่สาวน้อยโลลิเท่านั้น ส่วนเดดพูลนั้นตัวเองยังไม่สมบูรณ์ดีเลยด้วยซ้ำ อีกทั้งเขาก็ไม่เหมาะจะรับมือกับ ‘ผี’ อย่างนี้ด้วย
ตามหลักการแล้ว ทนายอันควรจะยื่นคำร้องขอให้สาวน้อยโลลิหรือไม่ก็อิงอิงมาช่วย แต่เขากลับบอกตรงๆ ทางโทรศัพท์ว่า หากเถ้าแก่มาได้ละก็ รบกวนเถ้าแก่มาด้วยตนเอง จากนั้นก็พูดประจบประแจงสารพัดอย่าง อย่างเช่น ถ้าเถ้าแก่ปราบยึดที่นี่ วิญญาณสัมภเวสีทั้งหมดก็ไม่มีอะไรเหลือนอกจากจะกระดิกหางเลียแข้งเลียขาเท่านั้น เป็นต้น
ในความเป็นจริง โจวเจ๋อพอจะเดาความคิดของทนายอันได้คร่าวๆ เป็นไปได้ว่าทนายอันอาจจะสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างหลังจากที่เขาบอกว่าจะไปที่มณฑลเสฉวนก่อน ถึงแม้โจวเจ๋อไม่ได้เปิดเผยเรื่องที่อิ๋งโกวตื่นแล้ว แม้แต่พวกอิงอิงที่อยู่ด้วยในตอนนั้นก็ไม่รู้ด้วยซ้ำ แต่ทนายอันมักจะอ่อนไหวกับประเด็นนี้เสมอมา ในฐานะที่เคยเป็นเจ้าหน้าที่บริหารระดับกลางของยมโลก ความสามารถด้านการเลือกข้างทางการเมืองในสำนักงาน รวมทั้งการสังเกตคนจากสีหน้าและคำพูด รับรองว่าสอบผ่านฉลุยอย่างแน่นอน
โจวเจ๋อมาแล้วแถมยังตั้งใจพานักพรตเฒ่ามาด้วยอีกต่างหาก อีกทั้งโจวเจ๋อยังทิ้งอิงอิงและสาวน้อยโลลิไว้ที่ร้านหนังสือ ไว้คอยเฝ้าดูแล ‘คนป่วย’ พวกนั้นด้วย
ในเมื่อเรื่องนี้ได้ดึงนักพรตเฒ่าเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยแล้ว ถ้าในตอนจบเขาสามารถเป็นสักขีพยานอยู่ข้างๆ ได้ ก็นับว่าเป็นการ ‘เรียนผูกก็ต้องเรียนแก้เอง’ อีกแบบหนึ่งละมั้ง แม้ว่านักพรตเฒ่าจะรู้สึกว่าตลอดเวลาเขาไม่ได้ทำอะไรเพื่อร้านหนังสือเลย แต่คุณก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ปัญหามากมายและศัตรูหลายคนของร้านหนังสือ ล้วนถูกนักพรตเฒ่าจัดการไปอย่างอธิบายไม่ได้ทั้งสิ้น ถือได้ว่าเป็นการ ‘หยุดข้าศึกไว้นอกประเทศ’ อีกรูปแบบหนึ่งละมั้ง
หากบอกว่าเหล่าจางเป็นความถูกต้องทางการเมืองของร้านหนังสือ เช่นนั้นนักพรตเฒ่าก็เป็น ‘เทพอารักษ์ประตู’ ที่แท้จริงของร้านหนังสือแล้ว
โจวเจ๋อเข้าใกล้อาวุธแห่งเวรกรรมสุดๆ ขาดก็แค่ประกาศว่า ‘สัญญาจะไม่เป็นฝ่ายเริ่มใช้อาวุธอย่างนักพรตเฒ่าก่อน’ บางทีนี่อาจเกี่ยวข้องกับชะตากรรมของมนุษย์ละมั้ง
ทนายอันนั่งอยู่บนขั้นบันไดของอาคารเรียน พลางแกว่งตุ๊กตาตัวนั้นที่ถืออยู่ในมือไม่หยุด คล้ายกับคุณลุงประหลาดๆ คนหนึ่งในมหาวิทยาลัยยามวิกาล นอกจากนี้ร่างของทนายอันในตอนนี้ยัง ‘ร้อมรุ่มเป็นไฟ’ หากไม่ใช่เพราะรู้ว่าตอนนี้ตัวเองยังมีเรื่องต้องทำละก็ ทนายอันก็อยากจะปลอบดอกไม้แห่งมาตุภูมิที่เพิ่งผลิบานเหล่านี้สักหน่อยจริงๆ
เมื่อเห็นโจวเจ๋อและนักพรตเฒ่ามาแล้ว ทนายอันก็ถอนหายใจเฮือกยาว กุลีกุจอลุกขึ้นและเดินเข้ามาทันที
“เถ้าแก่ คุณดูนี่สิ” ขณะที่พูด ทนายอันยื่นตุ๊กตามีหนวดย้อยสองข้างในมือให้โจวเจ๋อรับไปถือ
โจวเจ๋อลังเลครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วเปล่งออกมาสองคำ “น่าเกลียดจริง”
“…” นักพรตเฒ่า
ทนายอันที่อยู่ข้างๆ ลึกๆ แล้วเขาก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน!
“ยังมีปราณวิญญาณเหลืออยู่ เคยถูกสิงมาก่อนใช่ไหม” โจวเจ๋อถาม
“ใช่ครับ เคยถูกผีสิงมาก่อน ก็เลยเหลือร่องรอยปราณวิญญาณอยู่ แถมยังมีฤทธิ์อยู่เล็กน้อย ผมเจอมันตอนที่ยืนอยู่บนดาดฟ้าแล้วมองลงมาข้างล่างน่ะ ถ้าไม่ผิดไปจากที่คาดละก็ ตอนนั้นคนที่ชื่อซุนเถี่ยจู้…”
“เถี่ยเฉิง”
“อ้อ เด็กน้อยเถี่ยเฉิง คงยืนคุยโทรศัพท์อยู่บนดาดฟ้าแล้วถูกผีที่สิงร่างตุ๊กตาผ้าตัวนี้ล่อลวงจนกระโดดลงไปทั้งงงๆ ไงล่ะ”
“เด็กน้อยนั่นก็เลยถูกผีฆ่าตายเหรอ” นักพรตเฒ่ารีบถามทันที มันเป็นปมในใจของเขา ไม่สามารถบอกได้ว่านักพรตเฒ่าคร่ำครึ และจะบอกว่านักพรตเฒ่าเป็นแม่พระเกินไปก็ไม่ใช่ นักพรตเฒ่าแค่ไม่อยากใช้ชีวิตอย่างค้างคาใจเท่านั้นเอง อีกทั้งเรื่องนี้ก็เกี่ยวพันไปถึงวันข้างหน้าว่าเขาจะใช้ชีวิตอย่างปลอดโปร่งโล่งใจได้หรือไม่
ตัวอย่างเช่น ฝูงชนที่เฝ้าดูฉากกระโดดลงมาจากตึก กระทั่งตะโกนอย่างหมดความอดทนอยู่ด้านล่าง
‘รีบโดดสิวะ!’
‘จะโดดไหมเนี่ย ฉันยังรอกลับไปทำกับข้าวให้ลูกกินนะ!’
‘เร็วเข้าสิโว้ย แดดส่องจ้าขนาดนี้ต้องให้ทุกคนรอนานแค่ไหนกัน!’
เวลานี้คนที่จะกระโดดลงมาจากตึกก็ตะโกนว่า ‘ได้ พวกคุณบอกให้ฉันกระโดด ฉันก็จะโดด!’
จากนั้นก็กระโดดทิ้งตัวลงมา
ปัง
ตาย
คุณว่าเมื่อพวกคนที่แหกปากโห่ร้องพวกนี้กลับไปนอนตอนกลางคืนจะฝันร้ายหรือไม่
“งั้นมันไปไหนแล้วล่ะ” ที่โจวเจ๋อถามก็คือ ‘ร่างจริง’ ของผีตนนั้น
อันที่จริง เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ก็ถือว่าได้เข้าสู่ขอบเขตการจัดการของยมทูตแล้ว
ยมโลกตั้ง ‘สถานี’ ของยมทูตและผู้จับกุมในโลกมนุษย์ ก็คล้ายๆ กับสถานีตำรวจในท้องที่ และผีที่ทำร้ายคนประเภทนี้ ก็เป็นหน้าที่รับผิดชอบของสถานีตำรวจยมโลกในท้องที่ ทั้งยังไม่สามารถผลักภาระให้ผู้อื่นได้
“ยังตามหาอยู่เลยครับ เจ้านี่น่ะมันออกจะแปลกอยู่นิดหน่อย ถ้าหากเป็นผีธรรมดาทั่วไปทำร้ายคนละก็ มักจะแสดงให้เห็นถึงความเคียดแค้นที่ฝังลึก แม้อยู่ห่างกันก็ยังได้กลิ่นมาแต่ไกล แต่นี่มันต่างออกไป ผมรู้สึกได้เพียงรางๆ ว่าเหมือนมันจะอยู่ใกล้ๆ แถวๆ นี้ แต่ผมหาไม่เจอว่าปัญหาคืออะไรกันแน่”
“งั้นก็ค่อยๆ หาแล้วกัน ผมไม่เชื่อหรอกว่ามันจะซ่อนตัวจนหาไม่เจอน่ะ”
ตอนนี้โจวเจ๋อมีความรู้สึกว่าเพิ่งเอาชนะทหารม้าอนารยชนนอกด่านมา ตอนนี้ดันต้องหันกลับมาปราบกองทัพกบฏชาวนาเสียนี่ มันก็ใช่ เรื่องของชายชราเพิ่งผ่านพ้นไปได้ไม่นาน ต่อให้ไปต่อกรกับภูตผีปีศาจธรรมดาๆ หรือแม้แต่ผีร้ายที่ทำร้ายผู้คนในตอนนี้ ก็ยังขาดความท้าทายอยู่เล็กน้อย
นี่ไม่ใช่ความทะเยอทะยาน แต่ในเมื่อวันนี้เจ้าโง่ตื่นขึ้นแล้ว ความมั่นใจของโจวเจ๋อก็ท่วมท้นเสียเหลือเกิน ขนาดผู้เล่นที่เป็นโปรแกรมเมอร์ภายในหรือแม้แต่ผู้เล่นที่ร่ำรวย ก็ยังถูกเขาเล่นงานเหมือนลิง นับประสาอะไรกับผู้เล่นธรรมดาๆ กันล่ะ
“หายังไง” นักพรตเฒ่ามีแรงจูงใจที่จะเข้าร่วมงานนี้สูงมาก เขาหวังเป็นอย่างยิ่งว่าผีจะถูกจับ และถูกนำตัวเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมเพื่อยุติเรื่องนี้
ส่วนความเห็นและข่าวสารของประชาชนที่โต้กลับนั้น เขาไม่สนใจหรอก เขาเป็นคนดังทางอินเทอร์เน็ตใช้ประโยชน์จากอินเทอร์เน็ตเพื่อสร้างรายได้ ดังนั้นจึงรู้ดีสุดๆ ว่าอินเทอร์เน็ตมันเกี่ยวกับอะไรอย่างไร แถมไม่รู้จะดีใจหรือพูดไม่ออกดี แม้ว่าซุนเถี่ยเฉิงที่กระโดดตึกฆ่าตัวตาย เอาแต่พูดในปลายสายว่า เขาเลือกสมัครเข้ามหาวิทยาลัยในทงเฉิงเพื่อตอบแทนน้ำใจที่ได้รับอุปการะ และหวังว่าจะได้ใกล้ชิดกับนักพรตเฒ่าอีกสักหน่อย
แต่ในความเป็นจริง เขาไม่เคยมาเยี่ยมเยือนนักพรตเฒ่าเลยสักครั้งเดียว จึงไม่รู้ว่านักพรตเฒ่าอาศัยอยู่ที่ไหน แม้แต่แม่ของซุนเถี่ยเฉิงก็มีแค่เบอร์มือถือเพียงอย่างเดียว ยังไม่รู้ว่านักพรตเฒ่าทำงานอยู่ในร้านหนังสือด้วยซ้ำ ดังนั้นไม่ว่าในอินเทอร์เน็ตจะร้อนแรงแค่ไหน แต่ในความเป็นจริง ที่ร้านหนังสือยังคงสงบไร้การเคลื่อนไหว
“เอาตุ๊กตาผ้านี่ให้ผม ผมของลองหน่อยว่าจะสัมผัสถึงมันได้ไหม” โจวเจ๋อวางตุ๊กตาผ้าลงบนพื้นแล้วค่อยๆ นั่งลง เล็บงอกยาวออกมา ไอหมอกกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าเริ่มรวมตัว จากนั้นแทงเล็บทะลุพื้น ไม่นาน ไอหมอกเริ่มฟุ้งกระจาย สิ่งที่น่าแปลกใจก็คือ คิดไม่ถึงว่ามันจะกระจายออกไปมากกว่าสิบสาย แต่ทว่าในนั้นมีอยู่เส้นหนึ่งที่หนาที่สุด
“ตามเส้นที่หนาที่สุดนั้นไป” โจวเจ๋อพยุงไม้เท้าลุกขึ้น หมอกยังแผ่ซ่านออกจากปลายนิ้วของเขาเพื่อนำทางไม่หยุด ทนายอันและนักพรตเฒ่าแยกกันยืนขนาบข้างโจวเจ๋อ และทุกคนก็เดินไปข้างหน้าพร้อมกัน
เมื่อใกล้จะถึงเขตที่อยู่อาศัย โจวเจ๋อถึงจำขึ้นมาได้ว่าดูเหมือนเขาจะเคยมามหาวิทยาลัยแห่งนี้ ดูเหมือนว่าหลินอี้น้องภรรยาในนามของเขาจะเรียนอยู่ที่นี่ด้วย
คราวก่อนเขามาทำอะไรนะ
ฝึกทหารเหรอ
ปีศาจแมวเหรอ
จากนั้น สิ่งที่ทำให้โจวเจ๋อไม่คาดฝันยิ่งกว่าก็เกิดขึ้นแล้ว ในที่สุดเส้นสีดำที่หนาที่สุดก็นำโจวเจ๋อและคนอื่นๆ ไปด้านหน้าอาคารหอพักหญิงในเขตที่อยู่อาศัยของมหาวิทยาลัยทีละก้าวๆ อีกทั้งตึกแห่งนี้ยังเป็นตึกที่หลินอี้อาศัยอยู่จริงๆ
คงเป็นไปไม่ได้ที่จะบังเอิญขนาดนั้นใช่ไหม
“เข้าไปไหมครับ” ทนายอันถาม
โจวเจ๋อพยักหน้า ทนายอันดีดนิ้ว ไอหมอกสีชมพูปกคลุมทั้งสามคนไว้ด้วยกัน จากนั้นทุกคนก็เดินเข้าไปในหอพักหญิงอย่างโจ่งแจ้ง ภายใต้สายตาของคุณน้าประจำหอพักที่เข้มงวดราวกับแม่ไก่เฝ้าลูกไก่
โจวเจ๋อจำได้ว่าครั้งก่อนที่มา ยังให้เหล่าจางแสดงบัตรประจำตัวเจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่เลย แต่มันก็สะดวกสู้เหล่าอันที่ทำอย่างนี้ไม่ได้จริงๆ
ทั้งสามคนขึ้นไปชั้นบนพร้อมกัน และสิ่งที่ทำให้โจวเจ๋อสบายใจเล็กน้อยก็คือ เส้นสีดำไม่ได้ชี้ไปที่ห้องนอนที่น้องภรรยาอยู่
พูดตามตรง โจวเจ๋อไม่อยากให้เกิดอะไรขึ้นกับหลินอี้อีกแล้ว ในฐานะที่เธอเป็นเหยื่อที่หลังจากยมทูตสิงร่างแล้วเกิดความผิดปกติทางจิต ชีวิตที่สงบสุขในตอนนี้ถึงจะเป็นสิ่งที่เธอต้องการมากที่สุด เรื่องยุ่งเหยิงเหล่านี้ไม่ควรรบกวนเธออีกต่อไป
“ไม่มีใครอยู่ในหอพัก” ทนายอันตรวจสอบและพูดขึ้น จากนั้นไม่ต้องรอคำสั่งของโจวเจ๋อ เขาใช้มือกระดูกของตัวเองสะเดาะกลอนประตูหอพักทันที แล้วผลักประตูเดินเข้าไป
“แหวะ!”
“แค่กๆ…”
“เวรเอ๊ย!”
หลังจากชายอกสามศอกทั้งสามคนเข้าไปในหอพักหญิงห้องนี้ ไร้จินตนาการเคลิ้มฝันสีชมพูฟุ้งใดๆ ทั้งยังไม่มีความกรุ้มกริ่มและแรงกระตุ้นใดๆ เลยสักนิด แต่กลับเกือบจะเป็นลมเพราะกลิ่นเหม็นอันน่าขนพองสยองเกล้าอีกต่างหาก
‘แปะ!’
ทนายอันเปิดไฟ จากนั้นทั้งสามคนก็เบิกตากว้างพร้อมกัน บนเตียงในหอพักมีชุดชั้นในของอีกฝ่ายกระจัดกระจายอยู่ บนพื้นและใต้เตียงมีกล่องอาหารเดลิเวอรี่ที่ยังไม่ได้ทิ้งส่งกลิ่นเหม็นเปรี้ยวคละคลุ้งไปทุกที่ ทนายอันยกเท้าขึ้น คิดไม่ถึงว่าใต้ฝ่าเท้าของเขาจะมีผ้าอนามัยเปื้อนเลือดติดอยู่
“นี่เป็นหอหญิงเหรอ” ทนายอันรู้สึกเหลือเชื่อมาก และรู้สึกเหมือนมุมมองทั้งสามของเขาพังทลายลง
โจวเจ๋อไออย่างต่อเนื่อง แม้เพียงชั่วครู่เขาก็ไม่อยากอยู่ในสถานที่แห่งนี้จริงๆ แต่ก็ยังอดทนอดกลั้นความใจร้อนเอาไว้ และตรงไปที่ตู้เสื้อผ้าตรงนั้นพร้อมกับยื่นมือดึงประตูตู้เสื้อผ้าให้เปิดออก!
ชายตัวดำคนหนึ่งกลับหัวขดตัวอยู่ในตู้เสื้อผ้าอันคับแคบเหลือแสนด้วยท่าทางที่แปลกประหลาดเกินจริง หอบชุดชั้นในผู้หญิงเต็มไม้เต็มมืออยู่ตรงหน้าอก
เมื่อโจวเจ๋อเปิดประตูตู้เสื้อผ้า ชายคนนั้นดูประหลาดใจมาก เขาพูดพลางชี้ใบหน้าตัวเองอย่างไม่อยากจะเชื่อ “คุณ…เห็นผมด้วยเหรอ”
…………………………………………………………….