ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล - ตอนที่ 735 ทรยศ!
ตอนที่ 735 ทรยศ!
ค่ายกลและการจัดวางรูปแบบของสวี่ชิงหล่างนั้น เอามาจับเต่าทะเลไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่ถ้าหากจะล่าวาฬละก็ เริ่มไม่น่าดูแล้ว
จานใหญ่แค่ไหนก็สามารถกินได้เท่านั้น หากฝืนยัดเยียดเข้าไป จะทำให้ตัวเองพลาดท่าเสียเปล่าๆ แต่ก็ใช่ว่าร้านหนังสือจะไม่มีวิธีอื่น พูดถึงการผนึก พูดถึงการปราบข่ม เจ้างั่งปากกาพิฆาตของฉันไม่ได้มุ่งเป้าไปที่ใคร ทุกคนที่นี่ล้วน…
“หึๆ จะจัดการสินะ” ทนายอันแย้มรอยยิ้มบนหน้า แต่ภายในใจอัดอั้นไปด้วยความอิจฉาเต็มไปหมด
ทำไมถึงไม่มีขาใหญ่มองฉันบ้างล่ะ
ทำไมขาใหญ่ถึงไม่คิดถึงฉันล่ะ
พวกคุณทุกคนตาบอดกันหมดแล้วหรือไง
ฉัน อันปู้ฉี่ อยากจะได้การแสดงก็มีให้ อยากจะให้หน้าเนื้อใจเสือก็ทำได้ อยากจะให้คิดร้ายก็คิดได้ อยากจะให้ใจโหดเหี้ยมก็ทำได้ ชวนมองขนาดนี้ สมบูรณ์แบบขนาดนี้ น่าเอ็นดูขนาดนี้ เชื่องขนาดนี้ ท่าทางใดๆ ก็ล้วนทำได้ ทำไม่เป็นก็เรียนรู้ได้รวดเร็ว เตาหลอมยอดเยี่ยมขนาดนี้ ทำไมถึงไม่มีคนใช้ประโยชน์ล่ะ
พวกคุณไม่ใช้ฉันก็ไม่เป็นไร พวกคุณตาบอดแล้วก็ไม่เป็นไร แต่ดูสิ่งที่พวกคุณใช้นี่สิ ล้วนเป็นแตงเบี้ยวๆ ไม่สมบูรณ์ทั้งนั้น
เกาะแข้งเกาะขาเป็นเรื่องที่เยี่ยมยอดมาก และเป็นสิ่งที่น่าพึงพอใจมากด้วย แต่ต่อให้คุณจะพึ่งพาคนอื่นสักแค่ไหน และต่อให้คุณจะมีคนให้พึ่งพามากเพียงใด มันก็ยังสู้พึ่งพาตัวเองไม่ได้อยู่ดี!
แต่ทว่า ทนายอันอย่างไรก็คือทนายอัน เขาใช้สถานะต่ำต้อยปิดบังเหตุการณ์ในอดีตมาจนถึงตอนนี้ ไม่มีเบื้องหลังไม่มีคุณสมบัติล้วนแต่พึ่งพาตัวเองทั้งนั้น ดังนั้นจึงสลัดความอิจฉาออกไปได้อย่างรวดเร็ว ชี้ฮวาหูเตียวบนไหล่ของโจวเจ๋อและเอ่ยพูด “ที่ผมเป็นห่วงคือ พอดึงเจ้างั่งออกจากก้นเจ้านี่ คนที่จะทรยศก็คือเจ้านี่แหละ”
เมื่อฮวาหูเตียวที่ยืนเกาะและส่ายตูดไปมาบนไหล่ของโจวเจ๋อได้ยินดังนั้น ก็รีบหันหน้าไปแยกเขี้ยวใส่ทนายอัน อดรนทนรอไม่ไหวที่จะฉีกทนายอันออกเป็นชิ้นๆ จนนับไม่ถ้วน!
เจ้าต่างหากที่กบฏ เจ้าต่างหากที่ทรยศ เจ้าคือคนนั้น!
‘จิ้ดๆ จิ้ดๆ!’
ทนายอันเมินการขู่ของฮวาหูเตียว พูดอีกว่า “ถ้าบอกว่าจะปล่อยมันไปก็ดีหน่อย ปล่อยให้มันไปเอง ถ้าไม่ถูกฟ้าผ่าตายก็หาที่หลบภัยเอง แต่มีความเป็นไปได้มากที่มันจะทรยศ ถึงยังไงเถ้าแก่คุณมักจะปฏิบัติต่อมันอย่างนี้…”
อย่างไรเสียมันก็เป็นสายเลือดสัตว์ปีศาจที่โผล่มาช่วงยุคของเทพเจ้า! คุณทั้งหยาบคายแถมยังลูบก้นมันอีก ทำเหมือนมันเป็นลูกหมาคอร์กี้มาตั้งนานด้วย ไม่สิ คอร์กี้บ้านคนอื่นยังมีฐานะสูงกว่ามันอีกมั้ง! อย่าเห็นว่าต่อหน้ามันทำเป็น ‘พูดจาเสแสร้ง’ แต่ใจจะต้อง ‘ด่า’ อยู่แน่ๆ!
“อีกอย่าง ปล่อยเจ้านี่ไปก็น่าเสียดายทีเดียว ถ้าเจ้านี่เต็มใจไม่กลัวความเจ็บปวดและพยายามอย่างเต็มที่ละก็ จุ๊ๆ…”
ทนายอันคิดมาตลอดว่าถ้าพูดถึงประสิทธิภาพการต่อสู้ส่วนตัว ไม่กลัวเจ็บปวด หากไม่รวมปัจจัยด้านบุคลิกภาพ ความสามารถที่แท้จริงของฮวาหูเตียวน่าจะแกร่งยิ่งกว่าเด็กชายเสียอีก แต่ครั้งก่อนที่เจ้านี่เผชิญหน้ากับชายชราและร่างแยกของเซี่ยจื้อก็แอบขี้เกียจไม่เอาอ่าวไปแล้ว ถ้าตอนแรกมันไม่กลัวความเจ็บปวดก็คงจะไม่ถูกเถ้าแก่ของเขาควบคุมไว้หรอก
เพียงแต่ว่าที่ใดมีการข่มเหงที่นั่นล้วนมีการทรยศหักหลัง คุณข่มมันมานานขนาดนี้ จะเปลี่ยนมาอ่อนโยนกับมันก็เป็นไปไม่ได้ อีกทั้งสถานการณ์ตอนพบกันครั้งแรกก็ไม่มีทางที่จะยึดเส้นทางอ่อนโยนชวนให้ประทับใจได้
“เรื่องนี้ผมรู้” มือของโจวเจ๋อยังลูบไล้ก้นของฮวาหูเตียวต่อ ดูเหมือนว่าถ้าไม่ลูบให้มากๆ อีกหน่อยจะไม่มีโอกาสแล้ว ฮวาหูเตียวก็ทำท่าทางยินยอมอย่างดีและตอบสนองให้ก่อน ใช้สายตาประจบสอพลอ ราวกับกำลังพูดว่า ‘ภูเขากลายเป็นพื้นราบ ท้องฟ้าและแผ่นดินมาบรรจบกัน ถึงจะกล้าแตกหักกับท่าน!’
“ปล่อยมันไปก็น่าเสียดายจริงๆ นั่นแหละ แต่ก็ยังต้องดูว่ามันเต็มใจหรือเปล่า เมื่อเทียบกับมันแล้ว ผมยังคิดว่าถ้าเหล่าจางสามารถใช้สิ่งนี้รับร่างแยกของเซี่ยจื้อได้ มันจะมีค่ามากกว่า”
คนหนึ่งแอบอู้และเป็นพนักงานที่ไม่ซื่อสัตย์ต่อคุณ ส่วนอีกคนเป็นคุณอาตำรวจที่เก่งกาจและมีหลักการ จะเลือกอันไหนมันก็เป็นเรื่องที่ชัดเจนแล้วจริงๆ ไม่ว่าจะพูดถึงส่วนรวมหรือส่วนตัว เหล่าจางล้วนชนะฮวาหูเตียวขาดลอย
สิ่งสำคัญที่สุดคือ ก่อนหน้านี้เหล่าจางไม่มีพลังใดๆ เลย ดังนั้นเมื่อร้านหนังสือประสบปัญหา เขาทำได้แค่ดูอยู่ข้างๆ แต่ด้วยนิสัยของเหล่าจาง เมื่อเขามีพลังเช่นเดียวกับตำรวจเฉิน เขาเต็มใจทุ่มเทอย่างเต็มที่เพื่อตอบแทนน้ำใจคนตั้งแต่แรกอย่างแน่นอน!
อุปนิสัยของคนเรา บุคลิกภาพของคนเรา จะใช้ประโยชน์ก็ตรงนี้แหละ
ทนายอันได้ยินดังนั้นก็พยักหน้า เห็นด้วยแล้ว ไม่มีอะไรจะพูดจริงๆ แม้ว่าจะไม่มีเจ้าฮวาหูเตียวแล้ว แต่ตราบใดที่ทางเหล่าจางทำได้สำเร็จ ความแข็งแกร่งและศักยภาพการพัฒนาในอนาคตของร้านหนังสือจะน่ากลัวขนาดไหนกัน!
เจ้าลิงน้อยที่ถูกวานรย้ายภูเขาทิ้งไว้ข้างหลัง สวี่ชิงหล่างที่สร้างการติดต่อสัมพันธ์กับเทพเจ้าแห่งท้องทะเล ไป๋อิงอิงที่ได้รับพลังของหนึ่งในสี่บรรพบุรุษของผีดิบหล่อเลี้ยงจนวิวัฒนาการได้ บวกกับเจ้าทะเลแห่งความตาย และนักพรตเฒ่าผู้ต้องสงสัยว่าเป็นไท่ซานฝู่จวินผู้นั้นอีก ให้ตายเถอะ นี่มันเป็นทีมระดับโกลด์คลาสอะไรกันเนี่ย!
เมื่อเวลาผ่านไปหากทุกคนเติบโตขึ้นละก็ จะชักธงกบฏกลับนรกทันทีก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้ใช่ไหม
แล้วฉันล่ะ ทนายอันตกอยู่ในความสงสัยในตัวเองลึกๆ อีกครั้ง ตอนนี้ฉันอยู่ระดับเดียวกับใคร
จู่ๆ ทนายอันก็พบความสิ้นหวัง หลักจากเดดพูลได้รับมรดกอักขระของโจวเจ๋อดูเหมือนจะแกร่งกว่าเขาไปครึ่งระดับ คิดไม่ถึงว่าเขาจะตกไปอยู่ระดับเดียวกับหญิงสาวตัวดำนั่น และอาจจะสูงกว่าระดับของสาวน้อยโลลิกับพวกเยวี่ยหยานิดหน่อยแค่นั้นเอง!
จำได้ว่าไม่นานมานี้ เขาเป็นถึงหัวหน้าลำดับที่สองของร้านหนังสืออยู่เลย…
“เหล่าสวี่ นายเตรียมตัวก่อนเลย ส่วนเหล่าจางก็ปล่อยให้นั่งอยู่ตรงนี้พักหนึ่ง ฉันไปเอาปากกาออกมาก่อน ที่ควรจัดการทุกคนก็จัดการซะ อะไรที่ต้องเตรียมพร้อมก็ไปเตรียม เรื่องครั้งนี้จะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันไม่ได้”
และไม่ยอมให้เกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้นด้วย หลังจากเหล่าจางถูกเซี่ยจื้อสิงร่างก็ไม่ได้คิดรายงานเรื่องร้านหนังสือ แต่ยอมเสี่ยงถ่อมาส่งข่าวด้วยตัวเอง หากแผนหลังจากนี้ล้มเหลว ยึดร่างแยกของเซี่ยจื้อไม่สำเร็จ ตัวเหล่าจางเองก็คงจะไม่รอดเช่นกัน
นี่เป็นเหตุการณ์ที่โจวเจ๋อจะไม่ยอมให้เกิดขึ้นเด็ดขาด!
ขณะที่พูด โจวเจ๋อก็ลูบฮวาหูเตียวพร้อมกับเดินเข้าสวนผักข้างบ้านไปด้วย เดดพูลกำลังคุกเข่าอยู่ข้างเตียงฟาง หญิงสาวตัวดำฟื้นแล้ว แต่ยังอ่อนแออยู่บ้างเล็กน้อย
“พาเธอไปส่งข้างบ้านก่อนแล้วก็มาช่วยผม” โจวเจ๋อพูดจบก็นั่งลงบนพื้นโดยตรง ฮวาหูเตียวถูกจับไว้ในอ้อมแขนแล้วขยุมขยุ้ม เนื้อนุ่มนิ่มและเด๋อด๋า แถมขนยังมีคุณภาพเยี่ยมขนาดนี้
ฮวาหูเตียวเปลี่ยนรูปร่างไปตามฝ่ามือของโจวเจ๋อเรื่อยๆ ยังคงยิ้มแย้มให้อยู่เหมือนเดิม แถมยังให้ความร่วมมือกับการขยับของโจวเจ๋ออีกต่างหาก ช่างเป็นการ…ทิ้งศักดิ์ศรีจนหมดสิ้นจริงๆ อีกทั้งดูเหมือนรู้ว่าอีกสักครู่จะเกิดอะไรขึ้น ตอนนี้มันยิ่งดี๊ด๊าและกระตือรือร้นมากขึ้นกว่าเดิม!
เดดพูลอุ้มหญิงสาวตัวดำออกไปวางลงอย่างดี แล้วเดินกลับมานั่งลงตรงหน้าโจวเจ๋อ
เดดพูลยังเคารพโจวเจ๋อมากเหมือนเดิม ท่าทางดูอ่อนน้อมถ่อมตนมากๆ
ระหว่างพ่อกับลูก ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าฉากซาบซึ้งเปี่ยมไปด้วยความรัก โจวเจ๋อพูดขึ้น “ปิดล้อมสถานที่นี้ไว้หน่อย”
เดดพูลพยักหน้า สองเท้าจมลงไปในพื้นดิน ทันใดนั้นผนังและพื้นดินก็ผลิดอกไม้บาน ดอกไม้สีดำชั้นแล้วชั้นเล่าปกคลุมทั่วพื้นที่นี้ คล้ายกับการสร้างกรงที่ทำมาจากพืชพรรณ
“เตรียมตัวพร้อมหรือยัง” โจวเจ๋อถาม
เดดพูลพยักหน้าอย่างเงียบๆ โจวเจ๋อยิ้มๆ และชี้เจ้าฮวาหูเตียวบนตักของตัวเอง “ฉันจะมอบอิสระให้แกเอง!”
เจ้างั่งออกมา!
‘วืด!’
ตัวของฮวาหูเตียวกระตุกอยู่พักหนึ่ง เจ็บมาก เจ็บปวดเหลือเกิน!
แต่หลังจากผ่านความเจ็บปวดในช่วงแรก ช่วงล่างก็สบายจริงๆ เจ้างั่งกลายเป็นปากกาปรากฏอยู่บนฝ่ามือของโจวเจ๋อ รอยแตกเดิมด้านบนหายไปแล้ว ดูเหมือนว่าเจ้างั่งอยู่ในร่างของฮวาหูเตียวจะดูดซับสารอาหารเพิ่มให้ตัวเองได้ไม่น้อย มันเกี่ยวข้องกับการที่เจ้าเตียวโง่ตัวนี้ชอบนอนมากหรือเปล่านะ
“ลำบากแกแล้ว จริงๆ นะ” โจวเจ๋อพูดกับปากกาในมือ
เจ้างั่งสั่นเล็กน้อยราวกับตอบรับโจวเจ๋อ
ความสัมพันธ์ระหว่างคนกับปากกา แท้จริงแล้วตั้งแต่ตอนที่โจวเจ๋อตะโกนเรียกมันว่า ‘เจ้างั่ง’ สองคำนี้ก็ได้กำหนดเอาไว้แล้ว มันเป็นการผสมผสานที่แปลกและประหลาดมากทีเดียว แต่ดันกลายเป็นความสัมพันธ์ที่ไว้วางใจได้มากที่สุด ตอนแรกอิ๋งโกวยังแข่งกันยื้อแย่งเจ้างั่งกับเขาด้วยซ้ำ ซึ่งก็เพียงพอที่จะพิสูจน์คุณค่าของเจ้างั่ง!
โจวเจ๋อรู้สึกมาโดยตลอด แม้ว่าจะเป็นปากกาหยินหยางของผู้พิพากษาก็เทียบกับมันไม่ได้ ไม่อย่างนั้นคุณลองให้ผู้พิพากษามาลองผนึกเจ้าโง่ดูสิ ดูว่าเขาจะกล้าหรือเปล่า!
จากนั้น ฮวาหูเตียวที่นอนอยู่บนตักของโจวเจ๋อนวดคลึงตูดของตัวเองพร้อมกับหรี่ตาลง หรี่จนตาเหลือขีดเดียว ในระหว่างขีดนั้นซ่อนความเยือกเย็นเอาไว้!
‘พรืด!’
กรงเล็บของฮวาหูเตียวมาอย่างรวดเร็ว ไม่มีการพูดจา ไม่มีการลังเล ไม่มีเรื่องหยุมหยิม เพียงแค่ลุย! เพียงแค่แก้แค้น! เพียงแค่จะฉีกแกเป็นชิ้นๆ! ความอัปยศอดสู ความเคียดแค้น ความทรมาน กลายเป็นความโกรธที่พลุ่งพล่านถล่มทลายทันที!
อักขระไหลเวียนผุดขึ้นบนหน้าอกของโจวเจ๋อสายแล้วสายเล่า ได้ยินเพียงเสียง ‘ปัง’ เท่านั้น ตัวโจวเจ๋อลอยกระเด็นออกไป ไม่ได้ล้ม ทั้งสองเท้าแตะพื้นและหายใจเข้าลึกเท่านั้น
เสื้อผ้าท่อนบนฉีกขาด แม้จะมีอักขระเพิ่มพลังอยู่บนหน้าอกก็ยังมีคราบเลือดผุดขึ้น โจวเจ๋อแลบลิ้นเลียริมฝีปากของตัวเองพลางมองฮวาหูเตียวที่ลอยอยู่ตรงหน้า ฮวาหูเตียวมองเขาอยู่ แถมยังชูกงเล็บน้อยของมันขึ้นมากำเบาๆ และเลียนแบบท่าทางของโจวเจ๋อแลบลิ้นออกมา แต่ลิ้นของมันยาวไปหน่อยจึงเลียโดนจมูกของมันโดยไม่ตั้งใจ ทำให้ ‘ฮัดชิ้ว!’ ออกมาโดยตรง
“มาเลย ฉันก็คันไม้คันมืออยู่พอดี” กลิ่นอายผีดิบบนตัวของโจวเจ๋อเริ่มพรั่งพรูออกมา
หายนะ คำสาปแช่ง ความบ้าคลั่ง ความรุนแรง…อารมณ์เชิงลบที่รุนแรงเติมเต็มสภาพแวดล้อมทั้งหมดในชั่วพริบตา ร่างกายของเขาสั่นเทิ้ม กลิ่นอายของเขากำลังข่มระงับ และส่วนลึกในดวงตาของเขาไม่ใช่สีแดงคลุ้มคลั่งจนควบคุมไม่ได้ แต่เป็นสีดำ!
สีดำเข้มลุ่มลึกราวกับหล่มโคลนที่ไม่อาจหยั่งถึง
เขายกมือขึ้นวางปากกาไว้บนฝ่ามือ ใช้เล็บถูๆ ไถๆ มันเบาๆ ตัวเจ้างั่งสั่นสะท้านเล็กน้อย ไม่รู้ว่ามันเป็นความตื่นเต้นหรือว่าต่อต้านกันแน่ ต่อมา โจวเจ๋อเหน็บปากกาไว้ตรงหูของตัวเอง อ้าแขนข้างเดียวอย่างช้าๆ เล็บห้านิ้วงอกยาวออกมา ลมแกร่งของมวลหมอกสีดำสายแล้วสายเล่าเริ่มรวมตัวระหว่างเล็บมือ
“มาเลย เด็กน้อยของฉัน”
‘ต้อง…การ…ให้…ข้า…ลง…มือ…ไหม…จะ…ได้…เร็ว…หน่อย’
‘ไม่ต้องหรอก คุณเก็บแรงไว้เถอะ เจ้ารุ่งเรืองของคุณส่งของขวัญปีใหม่มาให้อีกแล้ว’
ต่อจากนี้ตอนที่ช่วยเหล่าจางจัดการร่างแยกของเซี่ยจื้อ ไม่แน่ว่าอาจจะต้องให้อิ๋งโกวช่วยข่มไว้ แต่เมื่อไรที่อิ๋งโกวออกมาจะมีเวลาจำกัดทุกครั้ง เพราะความแข็งแกร่งของตัวโจวเจ๋อไม่เพียงพอจะรองรับการดำรงอยู่ของเขาได้ตลอดไป ดังนั้นอย่าเสียเวลากับเจ้าตัวน้อยน่ารักตรงหน้าจะดีกว่า
‘เจ้า…รุ่งเรือง…’ อิ๋งโกวพึมพำครู่หนึ่งและพูดต่อ ‘เป็น…สุนัข…ที่…ดี…ตัว…หนึ่ง…’
……………………………………………………