ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล - ตอนที่ 746 ทำดีต้องทำให้ถึงที่สุด
ตอนที่ 746 ทำดีต้องทำให้ถึงที่สุด
เหล่าจางยืนอยู่ตรงนั้นด้วยความมึนงง เขารู้สึกว่าตัวเองมีความผิดปกเล็กน้อย ถึงแม้ตัวเองจะไม่ถูกรถชนเสียชีวิต แต่อย่างน้อยก็น่าจะตัวทรุดล้มลงไปบนพื้นลุกไม่ขึ้นหายใจไม่ไหวถึงจะถูก เป็นไปไม่ได้ที่จะลุกขึ้นมาใหม่
เขายื่นมือลูบคราบเลือดบนหน้าผากของตัวเอง เจอคราบเลือดเต็มมือ แต่ตัวเองกลับไม่เป็นลม ร่างกายไม่โอนเอน เหมือนเอากระดาษทิชชูหนึ่งแผ่นเช็ดนิดหน่อย ไม่ต้องใช้น้ำยาฆ่าเชื้อทำแผล ตัวเองก็ขับรถกลับบ้านได้แล้ว และอาจจะแวะกินหม้อไฟระหว่างทางได้ด้วย เหล่าจางถึงขนาดรู้สึกว่าตัวเองควรจะกลับไปนอนหรือไม่
“คุณหาเรื่อง คุณแกล้งให้รถชนเพื่อรีดไถเงิน!!!!!!!!!” ชายหนุ่มคนขับรถที่ก่อเหตุลงจากรถ ยื่นมือชี้นิ้วตวาดเสียงใส่เหล่าจาง
เหล่าจางขี้เกียจมองเขา หัวหน้าทีมตำรวจอาชญากรรมทงเฉิงวิ่งมาหาเรื่องที่สี่แยกตั้งแต่เช้า หน้าคุณจะใหญ่เกินไปไหม
ไม่ช้ารถตำรวจและรถพยาบาลก็มาถึง ขั้นตอนการจัดการทุกอย่างเข้าสู่เส้นทางปกติ ภายใต้กล้องวงจรปิด ใครถูกใครผิดแป๊บเดียวก็รู้แจ้งแจ่มชัด โดยเฉพาะหลังจากที่รู้ตัวตนของเหล่าจางแล้ว เจ้าของรถผู้ก่อเหตุรีบเป็นฝ่ายยอมรับผิดด้วยตัวเองทันที ยินดียอมรับโทษและการอบรม ท่าทางจริงใจเป็นอย่างยิ่ง
เหล่าจางเดิมทีไม่รู้สึกมึนศีรษะ แต่หลังจากไปโรงพยาบาลกับทีมตำรวจจราจรแล้วกลับรู้สึกมึนศีรษะ หัวหน้าสถานีตั้งใจมาเยี่ยมเขาเป็นพิเศษ เมื่อเห็นศีรษะของเขาถูกพันแผล จึงให้กำลังใจอยู่นาน และยังอนุญาตให้เขาพักผ่อนเป็นการพิเศษ
ถ้าหากไม่ใช่เพราะเหล่าจางปฏิเสธการสัมภาษณ์และการรายงานข่าวพิเศษของนักข่าว มีความเป็นไปได้ว่าตอนนี้คงปลีกตัวหนีไม่พ้น บางทีคนอื่นอาจจะชอบการถูกสัมภาษณ์ ชอบโชว์หน้าตา อยากโดนสัมภาษณ์เรื่องอะไรบางอย่าง แต่งานไว้อาลัยของเหล่าจางเองเคยถูกนำไปออกอากาศโดยสถานีโทรทัศน์แล้ว และขี้เกียจจะสนใจเรื่องพวกนี้
สิ่งสำคัญที่สุดคือ เขารู้สึกว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ในตำแหน่งนี้ก็ดีมากแล้ว ไม่อยากเลื่อนขั้นอะไรอีก รถของเขาถูกทีมตำรวจจราจรลากกลับมา เขาอยากขับรถของตัวเองกลับเอง แต่กลับถูกปฏิเสธ ไม่ว่าอย่างไรเหล่าจางถึงแม้จะสามารถเดินและพูดได้ไม่มีปัญหา แต่ถูกผ้าพันแผลพันรอบศีรษะขนาดนั้น ใครจะกล้าให้เขาขับรถ
ดังนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจคนหนึ่งของทีมตำรวจจราจรจึงมาส่งเหล่าจางที่บ้านเช่า เหล่าจางกลับไปเข้าในบ้าน นอนลงไป และเริ่มทำสมาธิ ทว่าเพิ่งจะเข้าสู่การทำสมาธิ ภาพที่ตัวเองถูกรถชนได้ผุดขึ้นมาในหัวทันที แล้วจึงตัวสั่นในทันใด เขาถอนหายใจด้วยความจนใจอยู่บ้าง เหล่าจางอยากจะกลับไปถามที่ร้านหนังสือ เขารู้สึกว่าร่างกายของตัวเองน่าจะมีปัญหา แต่เขาเพิ่งจะออกมา จึงรู้สึกไม่ค่อยดีถ้าจะกลับไปอีก ไม่ว่าอย่างไรตัวเองก็ไม่ได้ถูกรถชนตาย ถือว่าเป็นเรื่องดี คอยจับตาดูไปก่อน ไม่รีบ
ก่อนหน้านี้เขาก็ถามนักพรตเฒ่าและทนายอันแล้ว พวกเขาบอกว่าไม่เป็นไร อย่างนั้นก็คงไม่เป็นไร เขาไม่อยากทำสมาธิต่อแล้ว อันที่จริงเหล่าจางไม่ได้ง่วงนอนมาก เขาจึงลุกขึ้นแล้วเดินมานั่งที่หน้าโต๊ะทำงาน หยิบเอกสารหนึ่งฉบับไว้ในมือแล้วเริ่มเปิดอ่าน เมื่ออ่านไปได้หนึ่งชั่วโมง เหล่าจางจึงยื่นมือบิดขี้เกียจ เตรียมตัวลงไปข้างล่างหาร้านบะหมี่กินให้อิ่มท้อง
เวลานี้โทรศัพท์ดังขึ้น เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจคนหนึ่งในทีมของตัวเอง “ฮัลโหล เสี่ยวสวี่ มีเรื่องอะไร”
“หัวหน้า วันนี้คุณไม่เป็นไรใช่ไหมครับ”
“ผมไม่เป็นไร กำลังอยู่บ้าน”
“คืออย่างนี้ครับ วันนี้เป็นวันที่จัดแบ่งคนใหม่เข้ามาสองคน พวกเราจึงตัดสินใจว่าจะเลี้ยงอาหารกันตอนกลางวันร่างกายของหัวหน้าตอนนี้สะดวกไหมครับ”
เหล่าจางลังเลเล็กน้อย แล้วเอ่ยว่า “ได้ๆ”
“โอเคครับ อย่างนั้นผมจะส่งที่อยู่ของภัตตาคารขนาดเล็ก ให้คุณนะครับ”
“ครับ โอเค เดี๋ยวผมไป”
เมื่อได้รับที่อยู่แล้ว เหล่าจางจึงลงไปข้างล่าง แล้วเรียกรถแท็กซี่ไปที่ภัตตาคารขนาดเล็กนั่น
คนในทีมมาถึงเกือบหมดแล้ว อันที่จริงก็เป็นมื้ออาหารที่เรียบง่าย ไม่มีแอลกอฮอล์ ดื่มแค่พวกเครื่องดื่มต่างๆอย่างไรก็ตามยังต้องไปทำงานต่อ
“หัวหน้า!”
“หัวหน้า!”
พวกลูกน้องทุกคนลุกขึ้นทักทาย เหล่าจางพยักหน้าให้ทีละคนเพื่อขานรับ จากนั้นกวาดตามองคนใหม่สองคนที่อยู่ตรงโต๊ะ คนหนึ่งรูปร่างแข็งแรงกำยำ กล้ามเนื้อเป็นมัดๆ คนที่สอง…คนที่สอง คนที่สองทำไมถึงคุ้นหน้าขนาดนี้
“หัวหน้า นี่คือหวังลี่ นี่คือจางเฟิง เป็นคนใหม่ครับ”
จางเฟิง
จางเฟิง!
เหล่าจางตัวเซเล็กน้อย เกือบล้มไปบนพื้น ไม่แปลกใจเลยที่คุ้นหน้า เพราะเป็นลูกชายของตัวเอง!
“หัวหน้า สวัสดีครับ” จางเฟิงเดินไปข้างหน้า จับมือกับเหล่าจาง
…
“คุณไม่สบายตรงไหนไหม” ทนายอันถามคนที่นอนอยู่ข้างๆ
เด็กผู้ชายส่ายหน้า
“ถ้าอย่างนั้นมีจุดพิเศษตรงไหนไหม”
เด็กผู้ชายส่ายหน้าอีก
“ไม่มีเลยสักนิดเหรอ”
“ไม่มี”
“อย่างนั้นตอนที่ผมเห็นคนผู้นั้นตบไหล่ของคุณ คุณดูท่าทางดีใจมาก”
เด็กผู้ชายขมวดคิ้ว มองไปทางทนายอัน แล้วพูดอย่างจริงจัง “ดูเหมือน ตอนนั้นเจ้าจะดีใจมากกว่าข้า”
“…” ทนายอัน
“ไม่เหมือนกัน ผมมองเขาเป็นหัวหน้า ผมรู้สึกว่าผมประจบมากพอแล้ว แต่ไม่เก่งเหมือนคุณ พอเอ่ยปากก็พูดว่า ‘บรรพบุรุษ’ คุณไหวพริบดีทีเดียว เรียกเขาว่าบรรพบุรุษตอนนี้ บรรพบุรุษจะต้องเอาของมาให้คุณเลี้ยงฉลองปีใหม่แน่นอน เจ้าลิงของนักพรตเฒ่ายังเก่งไม่เท่าคุณ ตกใจหัวหดกลับไป หรือว่าคนผู้นั้นจะคิดจะทำซุปสมองลิงบำรุงกำลังเหรอ”
“ข้ารู้สึกว่า คนผู้นั้นไม่ได้ไม่พอใจเจ้าลิง คนผู้นั้นไม่พอใจนักพรตเฒ่าต่างหาก”
“หืม” ทนายอันแอบตกใจอยู่ในใจ เก่งจริงๆ ไม่น่าเชื่อว่าจะมองออก
“ข้ารู้สึกว่า สาเหตุที่ก่อนหน้านี้เขาพูดกับเจ้า ทั้งหมดเป็นเพราะตอนนั้นเจ้ายืนอยู่ข้างๆ นักพรตเฒ่าพอดี”
“…” ทนายอัน
บางครั้งความจริงก็ทำร้ายจิตใจคน
“แต่ข้าแปลกใจมาก ทำไมคนผู้นั้นถึงมีความรู้สึกพิเศษกับนักพรตเฒ่า”
ทนายอันรีบหัวเราะฮ่าๆๆ ทันที เอ่ยว่า “จะมีอะไรพิเศษ ไม่พูดด้วยสักประโยคเลยไม่ใช่เหรอ”
“ไม่ใช่ ไม่เหมือนกัน ข้าสัมผัสได้ สายตาของคนผู้นั้นตอนที่มองพวกเรา พอๆ กับสายตาของคนทั่วไปที่มองขยะข้างทาง”
“แค่กๆ…” ทนายอันไอสองสามที
“แต่ตอนที่เขามองนักพรตเฒ่า ข้าสามารถสัมผัสได้ว่า ในวินาทีนั้น เขาโกรธ แสดงอารมณ์ออกมาอย่างชัดเจน เจ้าจะโกรธขยะที่อยู่ข้างทางด้วยเหรอ”
“ผมไม่ชอบเอามากๆ ที่เปรียบตัวเองเป็นขยะ”
“แต่พวกเราในสายตาของเขา ก็คือขยะ ความแตกต่างคือ บางส่วนเป็นขยะที่นำมากลับมาใช้ใหม่ได้ บางส่วนนำกลับมาใช้ใหม่ไม่ได้”
“ลึกล้ำมาก” ทนายอันอยากจบบทสนทนานี้
เด็กผู้ชายกลับมองทนายอันโดยตรง แล้วพูดว่า “เจ้าไม่รู้สึกเหรอ นักพรตเฒ่าไม่เหมือนกับพวกเรา”
“ไม่เหมือนกันอยู่แล้ว ตอนนี้ทั้งร้านหนังสือ มีเขาคนเดียวที่เป็นคนเป็นอย่างแท้จริง เป็นสมบัติล้ำค่าที่หายาก”
“ใช่แล้ว คนเป็นปกติทั่วไป สามารถอยู่ที่นี่ได้หนึ่งถึงสองปี ไม่น่าแปลกเหรอ และยังได้ยินว่าคราวที่แล้วเขาได้ติดตามเถ้าแก่คนหนึ่ง หลังจากเกิดเรื่อง เขาก็ยังมีชีวิตต่อ เมื่อก่อนข้าไม่ได้คิดอะไร แต่ครั้งนี้แม้แต่ ‘บรรพบุรุษ’ ก็ยังมองเขาต่างออกไป ข้ารู้สึกว่า…”
“คำพูดพวกนี้ เก็บไว้ส่วนลึกในใจก็พอ”
เด็กผู้ชายเผยรอยยิ้มมุมปาก “เจ้าเดาอะไรออกนานแล้ว ใช่ไหม”
“เดาออกแล้วมีประโยชน์อะไร เดาไม่ออกแล้วมีประโยชน์อะไร ทุกวันนี้ต้องใช้ชีวิตให้ผ่านไปแต่ละวัน กินข้าวก็ยังต้องกินทีละคำ ตอนนี้คุณควรจะคิดว่า รอให้ผ่านช่วงนี้ไปก่อนตอนที่จะไปเสฉวน คุณจะขอให้เถ้าแก่พาคุณไปด้วยได้ไหม”
“อ้อ ข้าเข้าใจแล้ว”
“เด็กดี เข้าใจก็ดีแล้ว พวกเรานอนกันต่อเถอะ”
…
“โอ้วววว” ฟางฟางบิดขี้เกียจและหาวหนึ่งที แสงแดดในฤดูหนาวสาดส่องบนร่างกายช่างสบายเสียจริง ฟางฟางง่วงนอน แต่ยังดีที่เธอมีความเป็นมืออาชีพเป็นอย่างมาก ไม่ได้นั่งหลับตรงนั้นจริงๆ แต่พยายามเอามือประคองแก้มของตัวเอง พยายามจ้องมองไปที่หน้าประตูร้าน
ศีรษะโคลงเคลง…ตาจ้องเขม็ง… บางครั้งมีคนเดินผ่านหน้าร้านขายยา เมื่อถูกฟางฟางกวาดตามองเช่นนี้ ในใจรู้สึกประหม่าเล็กน้อย เวลานี้ผู้ชายสามคนที่บนร่างกายยังถูกพันด้วยผ้าพันแผลและใส่เฝือกอยู่เดินออกมาจากด้านในห้องคนไข้ ทำให้ฟางฟางสะดุ้งตกใจ
“อ้าว จะไปแล้วเหรอคะ” ฟางฟางลุกขึ้นด้วยความกระตือรือร้นเป็นอย่างมาก เพราะเมื่อครู่ สามคนนี้ได้ชำระเงินค่ารักษาพยาบาลทั้งสองเดือนหมดแล้ว โอนเงินเร็วมาก แค่อาศัยเขาสามคน บนหน้ารายการสมุดบัญชีร้านขายยาก่อนสิ้นปี ไม่น่าเชื่อว่าจะสามารถพลิกผันจากขาดทุนเป็นกำไร!
ฟางฟางอยากให้พวกเขาอยู่ต่อจริงๆ แบบนี้รายงานผลงานของปีหน้าก็มีแล้ว
“ครับ คงไม่อยู่ต่อแล้ว ไม่อยู่ต่อแล้วครับ” โกวซินส่งสายตาบอกเสี่ยวเฮยและเสี่ยวไป๋ที่อยู่ข้างหลัง สองคนที่อยู่ข้างหลังรีบตามมาทันที
ใช่แล้ว หลังจากที่พวกเขาฟื้นขึ้นมา ก็ตัดสินใจออกจากที่นี่ทันที! ถ้าไม่ไปอีก ตัวพวกเขาคงต้องสิ้นหวัง!
“อ้อ โอเคค่ะ ให้ฉันช่วยเรียกรถให้พวกคุณไหมคะ” ฟางฟางถาม
“ครับ ขอบคุณครับ ขอบคุณมาก” ขณะเดียวกัน โกวซินเหมือนนึกอะไรได้ รีบพูดทันที “คนข้างบ้าน พวกเราไปบอกแล้ว ไม่ต้องไปแจ้งพวกเขาแล้วครับ ส่งกันไปส่งกันมา เดี๋ยวจะยุ่งยากเปล่าๆ”
“ใช่ค่ะ ฉันก็รู้สึกแบบนี้เหมือนกันค่ะ ฉันกลัวที่สุดคือเรื่องยุ่งยากแบบนี้” ฟางฟางคิดแบบนี้เหมือนกัน “พวกคุณรอเดี๋ยว ฉันจะไปช่วยเรียกรถให้พวกคุณค่ะ”
“ครับ ขอบคุณครับ”
“ไม่ต้องเกรงใจค่ะ วันหลังมาบ่อยๆ นะคะ!”
“…” โกวซิน
ฟางฟางเดินไปนอกประตู พลางหยิบโทรศัพท์ออกมา คิดจะเรียกรถ แล้วทอดตามองว่ามีรถแท็กซี่ขับผ่านมาบ้างไหม แต่ตอนนี้เป็นเวลากลางวัน ยากที่จะเจอ แอปพลิเคชันเรียกรถก็โชว์ว่ากำลังต่อแถวอยู่ ฟางฟางจนใจอยู่บ้าง บังเอิญเห็นนักพรตเฒ่ากำลังนั่งยองๆ แปรงฟันอยู่หน้าร้านพอดี
‘กร็อกๆๆ…พรวด!’ นักพรตเฒ่าหยิบผ้าขนหนูที่พาดอยู่บนบ่าลงมาเช็ดปาก แล้วพับอีกครั้ง จากนั้นก็เช็ดใบหน้า เขาเพิ่งจะตื่นนอน อีกสักพักต้องไปยุ่งวุ่นวายกับงานตกแต่งซ่อมแซมอีก
“เฮ้ นักพรตเฒ่า!” ฟางฟางทักทายนักพรตเฒ่า
“หืม” นักพรตเฒ่าลุกขึ้นยืน มองไปที่ฟางฟาง “มีเรื่องอะไร น้องสาว”
“คนไข้สองสามคนนั้นจะออกโรงพยาบาลแล้ว ตอนนี้เรียกรถไม่ได้ คุณไปส่งเขาหน่อยสิ ไม่ว่าอย่างไรเขาก็จ่ายเงินให้ที่นี่ไปเยอะมาก”
นักพรตเฒ่าได้ยินดังนั้น รีบวางของทันที ตบมือ แล้วเอ่ยว่า “ได้เลย สมควรแล้ว สมควรแล้ว ข้าจะขับรถไปส่งด้วยตัวเอง เป็นคนก็ต้องมีคุณธรรมมีน้ำใจ ทำดีต้องทำให้ถึงที่สุด”
……………………………………………………………………….