ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล - ตอนที่ 753 แบบนี้ ก็ดีนะ
ตอนที่ 753 แบบนี้ ก็ดีนะ
เมื่อกลับถึงร้านหนังสือ เอามือปัดเส้นผม หาวหนึ่งที ยุ่งมาตลอดวัน สั่งงานหมดทุกอย่างแล้ว ทุกอย่างจัดการเรียบร้อย
“อ้าว เถ้าแก่ยังไม่กลับมาเหรอ” ทนายอันเดินไปนั่งที่เคาน์เตอร์ อิงอิงนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม อ่านตำราอาหารที่ถืออยู่ในมืออย่างตั้งใจ และจดบันทึกอย่างจริงจัง
เมื่อเห็นทนายอันกลับมาแล้ว อิงอิงลุกขึ้นไปชงกาแฟแก้วใหญ่มาให้ทนายอันหนึ่งแก้ว ช่วงนี้ของเต็ม ต้องรีบให้ทนายอันกินให้หมดไวๆ
ทนายอันรู้สึกซาบซึ้ง รับกาแฟมา แต่อาหารที่อิงอิงทำ ทนายอันไม่กล้ากิน ไม่เห็นเหรอว่าช่วงนี้นักพรตเฒ่าดื่มน้ำบ่อยมากกว่าปกติหลายเท่า ก็เหมือนกับที่เถ้าแก่ไม่เห็นด้วยที่อิงอิงจะขับรถ คนที่รถชนแล้วไม่ตายมาขับรถ คนที่กินยาพิษแล้วไม่ตายมาทำกับข้าว เอ่อ…
“เล่นเวยป๋อดูข่าวสิ เรื่องราวเริ่มพลิกผันแล้ว ผลลัพธ์ดีมาก มีนักข่าวไปบ้านเกิดของเธอแล้ว ขี้เกียจกันทั้งบ้าน พ่อของเขาเนื่องจากทำผิดฐานลักขโมยถูกตำรวจจับไปแล้ว เบื้องหลังถูกเปิดโปงทั้งหมด” ทนายอันตะโกนพูดกับนักพรตเฒ่าด้วยความพึงพอใจ
“อืม ขอบใจ” นักพรตเฒ่าพยักหน้า ยิ้มนิดๆ มองไม่ออกว่าดีใจมากแค่ไหน เพียงแค่ถอนหายใจเล็กน้อย
“จริงๆ แล้วครั้งนี้ไม่ยากอะไร อีกฝ่ายทำตัวโจ่งแจ้งเกินไป ไม่ใช่การต่อสู้เลยด้วยซ้ำ ตัวเองนิสัยแบบนั้น จัดการง่ายมากจริงๆ แต่ผมรู้ว่าคุณไม่อยากออกหน้า ไม่อย่างนั้นอาศัยความพลิกผันของประเด็นร้อนสร้างกระแสให้กับคุณให้คุณเดินไปหน้าเวที ไม่แน่ปีหน้าบุคคลที่ยิ่งใหญ่น่าประทับใจสิบคนของประเทศอาจจะมีรายชื่อของคุณอยู่ด้วย
เน็ตไอดอล อะไรคือเน็ตไอดอล พูดจริงๆ นะ เน็ตไอดอลในสายตาคนเป็นจำนวนมาก เป็นคำที่มีความหมายในเชิงลบ ถึงแม้คุณจะดังแค่ไหน ฮอตแค่ไหน เป็นที่นิยมแค่ไหน ก็ไม่มีประโยชน์ ถ้าคนเขาอยากจะดูถูกคุณ เขาก็ดูถูกคุณอยู่ดี
แต่ครั้งนี้ขอแค่คุณก้าวออกมา แต่งองค์ทรงเครื่องให้คุณใหม่ แล้วทำการตลาดเล็กน้อยเปิดเผยตัวตนของคุณออกมา พอตัวสะอาดสะอาดหมดจดแล้ว บนหัวของคุณยังมีออร่าติดมาด้วย ตอนที่มองเห็นยังจะมีใครกล้าฟ้องให้ปิดห้องไลฟ์สดของคุณอีก!”
ทนายอันยิ่งพูดก็ยิ่งตื่นเต้น เพราะมีความเป็นไปได้สูงจริงๆ เขารู้จักนิสัยของนักพรตเฒ่า จุดด้อยเพียงอย่างเดียวก็คือชอบไปปลอบใจสาวใหญ่ด้วยการใช้บริการเท่านั้น แต่นี่นับว่าเป็นข้อด้อยเหรอ นักพรตเฒ่ายังไม่ได้แต่งงาน และไม่ได้ใช้กฎลับกับลูกน้องให้ต้องแอบมาฝึกทักษะการแสดงคู่กันยามวิกาล ถ้าคุณให้เหล่าซูเปอร์สตาร์ที่ได้รับความนิยมในตอนนี้ปล่อยข่าวออกมาว่าชอบไปหาผู้หญิงในร้านสระผมตามท้องถนน คาดว่าบรรดาแฟนคลับนอกจากจะไม่โกรธแล้ว กลับรู้สึกซาบซึ้งมากกว่า ซาบซึ้งจนต้องตะโกนว่าได้ขายตัวให้ไอดอลแล้วมีเงินเข้าไปทำงานวงในแล้ว
“ไม่เป็นไรๆ” นักพรตเฒ่าโบกมือด้วยความเขินอายและไม่สบายใจอยู่บ้าง เขาไม่อยากมีชื่อเสียงแบบนี้ เขารู้สึกว่าตอนนี้ใช้ชีวิตอยู่ในร้านหนังสือแบบนี้ก็ดีแล้ว เมื่อก่อนไลฟ์สด ก็พอมีชื่อเสียงอยู่บ้าง แต่ชื่อเสียงนั้นไม่ได้มีผลกระทบต่อการใช้ชีวิต
ถ้าหากถูกผลักดันโปรโมตให้เป็นแบบอย่างจริงๆ ต่อไปเขาอาจจะไม่สามารถอยู่ที่ร้านหนังสือได้อีก
“อันนี้ค่อยว่ากัน อ้อใช่ นักพรตเฒ่า ทั้งชีวิตนี้ของคุณ บริจาคเงินไปเท่าไรแล้ว” ทนายอันถามด้วยความสงสัยอยู่บ้าง
อันที่จริง ตามความคิดของทนายอัน นักพรตเฒ่าน่าจะบริจาคเงินไปล้านสองล้านแล้ว คาดว่าน่าจะไม่เกินสามล้านหยวน หรืออาจจะสูงกว่านี้ แต่ไม่น่าเยอะมากเกินไป
ไม่ว่าอย่างไร อุตสาหกรรมการไลฟ์สดเพิ่งเกิดขึ้นไม่กี่ปีเท่านั้น และนักพรตเฒ่าก็ไม่ได้อยู่ในระดับที่สูงสุดของวงการ มากสุดก็เป็นคนไลฟ์สดที่พอมีชื่อเสียงเล็กน้อย
เมื่อก่อนนักพรตเฒ่าน่าจะเป็นคนจัดงานศพ อาศัยปากหาเลี้ยงชีพ ชีวิตน่าจะสบาย แต่หาเงินก้อนโตนั้นคงเป็นไปไม่ได้ หากย้อนกลับไปอีกหน่อย เงินเดือนกับค่าครองชีพต่ำมาก สามารถเก็บเงินนำมาบริจาคได้เหรอ
อย่างเช่นเมื่อยี่สิบสามสิบปีก่อน ยุคนั้นหากเสียดายไม่กินไม่ใช้จะขาดทุนที่สุด สู้กินข้าวมีเนื้อแกล้มเหล้าทุกมื้อจะดีกว่า ไม่อย่างนั้นเงินที่เก็บสะสมมาในช่วงนั้นตอนนี้แม้แต่ห้องน้ำครึ่งตารางเมตรก็ยังซื้อไม่ไหว
แต่ถึงแม้จะเป็นเงินแค่สองสามล้านหยวน ก็เพียงพอแล้ว สมัยนี้ต่อให้เป็นซูเปอร์สตาร์ บริจาคเงินสองสามล้านก็มีน้อยมากเหลือเกิน บวกกับนักพรตเฒ่าอายุเจ็ดสิบกว่าปีแล้ว จุ๊ๆ ทั้งเรื่องภาพลักษณ์และการปฏิบัติจริง ล้วนได้ผลถึงขั้นระเบิดระเบ้อเลยทีเดียว
นักพรตเฒ่ากะพริบตาปริบๆ คำนวณอย่างเงียบๆ แล้วกล่าวว่า “สองสามร้อยล้านน่าจะได้”
“เอ่อ แค่สองสาม…พรืด!” ทนายอันพ่นเนสกาแฟหมดอายุออกมาจากปากทั้งหมด! ให้ตายเหอะ สองสามร้อยล้าน
“อะแฮ่ม นักพรตเฒ่า ที่ผมพูดไม่ได้หมายถึงอสุจิ” ทนายอันพูดเตือน
“ประมาณสองสามร้อยล้านหยวน” นักพรตเฒ่านับนิ้วคำนวณ
“เฮ้ๆ คุณเอาเงินสองสามร้อยล้านมาจากไหน คุณไปปล้นธนาคารมาเหรอ”
นักพรตเฒ่าได้ยินดังนั้น จึงหัวเราะ พยักหน้าเอ่ยว่า “มีความคล้ายคลึงกัน จำได้ว่าตอนนั้นเดินทางไปทางใต้ ตอนอยู่ที่เมืองเซิน เหมือนไปปล้นธนาคารมาจริงๆ”
“เอ่อ…”
“ตอนนั้น มีใบจองซื้ออะไรสักอย่างไม่ใช่เหรอ ที่เกี่ยวข้องกับตลาดหุ้น ประเทศจีนตอนนั้นเพิ่งจะเริ่มทำ คนที่รู้ก็ไม่เยอะ คนที่ทำเป็นจึงมีน้อย จำได้ว่าตอนนั้นมีการแบ่งกันรับผิดชอบตามสัดส่วน คนหลายหน่วยงานล้วนมีส่วนแบ่ง เพื่อที่จะได้ขายส่วนนี้ออกไป กลุ้มใจจนกินข้าวไม่ลง
ตอนนั้นข้าคงโชคไม่ดี ไปกินเหล้ากับหัวหน้าคนหนึ่ง ผู้ใหญ่ที่บ้านของเขาเสียชีวิตข้าจึงไปช่วยจัดงานศพให้ ถูกมอมด้วยเบียร์หลายขวด มึนมาก จึงยอมซื้อใบจองซื้อของเขา ตอนนั้นข้าราชการที่มากินข้าวในงานศพที่บ้านของเขาก็ไม่น้อย เมื่อเห็นข้าดวงซวยหน้าโง่ยอมจ่ายเงินซื้อ พวกเขาจึงพยายามบังคับให้ข้าซื้อส่วนที่พวกเขาได้รับแบ่งมาด้วย
ตอนนั้นดื่มเยอะมากจริงๆ จึงซื้อทั้งหมดเลย เฮ้อ หลังจากดื่มหมดแล้ว ข้าเสียใจมาก จ่ายเงินที่เก็บสะสมมานับสิบปีซื้อกระดาษบ้าๆ พวกนี้ หลังจากสร่างเมา ข้าจึงตบหน้าตัวเองหลายครั้ง ตอนนั้นเงินมีค่ามาก เดิมทีอยากบริจาคให้โรงเรียนชั้นประถม สร้างอาคารเรียนไม่ไหว แต่เงินซื้อโต๊ะเก้าอี้เพิ่มให้เด็กๆ ปรับปรุงสวัสดิการของอาจารย์ให้ดีขึ้นถือว่าทำได้เหลือเฟือ”
“…” ทนายอัน
ทนายอันรู้ว่า นี่คือโบนัสของการปฏิรูปประเทศ ระดับชั้นและความเวอร์วังอลังการของโชคลาภที่ลอยมา อยู่เหนือยุคสหัสวรรษที่คุณทุบหม้อยืมเงินไปซื้อบ้านใจกลางเมืองมาก!
“ต่อมาได้ยินว่ากระดาษบ้าๆ นี่มีมูลค่าแล้ว มีคนจำนวนไม่น้อยร้องไห้ตะโกนอยากให้ข้าขายกลับไป ยอมจ่ายเงินสองเท่าอะไรแบบนี้ แต่ข้าไม่ขาย ข้าไปที่เมืองเซิน จนถึงตอนนี้ ข้ายังจำความเอิกเกริกที่ยืนต่อแถวได้ดีว่าโอเวอร์มากขนาดไหน”
“คุณขายหมดเลย”
“อืม ขายเร็ว ได้กำไรแค่สองสามล้าน ถือว่าเป็นพ่อค้าขายของมือสอง ไม่ว่ายังไงข้าก็ไม่เข้าใจเศรษฐกิจ และไม่เข้าใจว่าอะไรคือตลาดหุ้น หลังจากขายไปแล้ว ข้าไปพักในโรงแรมขนาดเล็ก ห้องข้างๆ มีวัยรุ่นคนหนึ่ง เอาบ้านไปขาย หลอกเงินเพื่อนและญาติสนิท แล้วเอาไปซื้อใบจองซื้อนี่หมดเลย
จากนั้นคนที่บ้านจึงมาหา ทั้งเตะทั้งต่อยเขาอยู่ตรงโถงทางเดิน ต่อยหัวแตก บอกว่าตัวเองหน้ามืดคนเดียวไม่พอ ยังต้องลากครอบครัวและบรรพบุรุษเข้าไปในหลุมไฟอีก! เฮ้อ ตอนนั้นข้าใจอ่อน ทนดูไม่ได้ ครอบครัวของเขาเห็นข้ามองอยู่ข้างๆ คิดว่าข้าเป็นคนมีเงิน อืม ตอนนั้นมีเงินอยู่ในกระเป๋าจริงๆ จึงบอกว่าจะขายใบจองซื้อให้กับข้า ข้าคิดว่า ก็ได้ ยอมช่วยวัยรุ่นที่น่าสงสารคนนี้แล้วกัน จึงซื้อเก็บไว้”
“ไม่รู้ชื่อของวัยรุ่นคนนั้นใช่ไหม”
“ไม่รู้ ครอบครัวของเขาเดิมทีอยากจะขอบใจข้า และอยากเลี้ยงข้าวคำนับข้า แต่ข้าปฏิเสธ ทำความดี ไม่ต้องบอกชื่อ”
ทนายอันพยักหน้า ดีที่ไม่ทิ้งชื่อไว้ ไม่อย่างนั้นคาดว่าพวกเขาคงมาฆ่าคุณนานแล้ว
“ต่อจากนั้นล่ะ”
“ต่อจากนั้นข้าก็ขายอีก”
“ขายได้เท่าไร”
“ประมาณสิบกว่าล้าน”
ทนายอันสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พยักหน้า “อย่างนั้นก็ไม่ถึงหนึ่งร้อยล้าน”
“อืม ต่อมา น่าจะปีสองพัน ช่วงนั้นข้าอยู่ที่เซี่ยงไฮ้ ทำมาหากินไปทั่วทุกพื้นที่ บังเอิญไปเดินเล่นริมแม่น้ำ เจอคนกำลังจะกระโดดน้ำฆ่าตัวตาย ข้าจึงไปช่วย เขาร้องไห้ด่าข้า ไปช่วยเขาทำไม เขาบอกว่าเขาอยู่ต่อไม่ได้แล้วไม่อยากมีชีวิตต่อ แฟนเลิกกับตัวเอง ตัวเองอายุใกล้สามสิบปีแล้ว ยังไม่ประสบความสำเร็จสักอย่าง”
“คุณช่วยใคร”
“ลืมชื่อไปแล้ว ตอนนั้นข้าแค่อยากช่วยเขาเท่านั้น แต่จะให้เงินโดยตรงก็ไม่ได้”
“อืม หาปลาให้กินไม่สู้สอนวิธีหาปลา”
“ใช่ เป็นหลักการนี้แหละ ข้าคิดว่าเด็กคนนี้คงลำบากเหมือนกัน จึงช่วยเรื่องงานของเขา เขาจะได้ไม่คิดฆ่าตัวตายอีก”
“เรื่องงานเหรอ เขาทำอะไร”
“เป็นนายหน้าขายบ้าน”
“ซี้ด…” ทนายอันสูดปาก
“ข้าซื้อบ้านกับเขา เขาจะได้ค่านายหน้า และเลื่อนตำแหน่ง เหอะๆ นี่คงเป็นพรหมลิขิต ตอนนั้นราคาบ้านในเซี่ยงไฮ้ก็สองสามพันหยวนต่อหนึ่งตารางเมตรแล้ว พอดีว่าเงินของข้าก่อนหน้านั้นก็บริจาคมาตลอด แต่บริจาคให้สถานที่โดยตรง น้อยมากที่จะบริจาคให้โครงการสำหรับเด็กด้อยโอกาส ข้าไม่ค่อยเชื่อใจ ดังนั้นจึงบริจาคค่อนข้างช้า ข้าเหลือเงินในกระเป๋าสองสามล้านหยวน จึงเอาไปซื้อบ้าน ถึงยังไงก็ซื้อบ้านมาแล้ว ปล่อยไว้อย่างนั้นรอตอนที่ต้องการเงินไปบริจาค ค่อยเอาไปขายก็ได้เหมือนกัน”
ทนายอันเอามือกุมหน้าผาก ทันใดนั้นรู้สึกว่าบุตรแห่งความโชคดีที่ยังนอนอยู่ในห้องคนไข้ร้านข้างๆ ไม่ได้ได้รับความไม่เป็นธรรมแล้ว
“ใครจะรู้ว่าบ้านขึ้นราคาไวมาก เหมือนฟ้าเอาเงินฟาด ข้าแทบจะเป็นลม พลางคิดว่าบ้านมีไว้อยู่อาศัยไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงขึ้นราคาแรงขนาดนี้”
“จากนั้นล่ะ บริจาคเหรอ”
“บริจาคแล้ว สองสามปีที่ผ่านมาชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้น ข้อมูลก็ไวขึ้น อยากจะบริจาคก็มีความโปร่งใสและง่ายขึ้น จึงขายบ้านแต่ละหลัง ใช้เงินทั้งหมดไปกับการสร้างโรงเรียน สองปีก่อนไปหรงเฉิง ข้าได้ขายหลังสุดท้ายไปพอดีบริจาคเงินไปแล้ว จึงจากมา”
“ฮู่ว…” ทนายอันหายใจยาวด้วยความโล่งอก ก่อนจะเดินไปข้างๆ นักพรตเฒ่า แล้วยื่นมือวางบนไหล่ของนักพรตเฒ่า “นักพรตเฒ่า”
“หืม”
“ผมรู้สึกว่า พวกเราแอบซ่อนอยู่เบื้องหลัง ก็ดีเหมือนกัน” คนแก่อายุเจ็ดสิบปีมีใจรักงานการกุศล บริจาคเงินสองล้าน กับคนแก่อายุเจ็ดสิบปีมีใจรักงานการกุศล บริจาคเงินสองสามร้อยล้าน ได้ผลลัพธ์ที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
“อืม ข้าก็รู้สึกแบบนั้น แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน ฮิๆ” นักพรตเฒ่ายื่นมือเรียกเจ้าลิงน้อยมาหา นำถั่วลิสงที่เพิ่งแกะเสร็จในมือยื่นใส่มือของเจ้าลิงน้อย แล้วลูบศีรษะของเจ้าลิง
“แบบนี้ ก็ดีนะ”
……………………………………………………………………….