ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล - ตอนที่ 775 ใช่ว่าไม่รายงาน!
ตอนที่ 775 ใช่ว่าไม่รายงาน!
ผู้คนมักจะพูดว่า ความลำบากคือทรัพย์สินก้อนหนึ่ง แท้จริงแล้วหลายครั้งนี่นับว่าเป็นเพียงการฉีดยาชาราคาถูกที่หมดอายุให้ตัวเอง เพราะเหมือนเป็นกฎอย่างหนึ่ง คนที่ทนรับความลำบาก เขามักจะเจอเรื่องแย่ๆ หลายครั้ง พอลำบากครั้งหนึ่ง ความลำบากครั้งที่สองก็จะตามมาติดๆ จากนั้นถูกความลำบากทุบจนเป็นลม…
นักพรตเฒ่าถูกตำรวจนำตัวไป เขาต้องให้ความร่วมมือกับการสอบสวน ตามคำพูดของเหล่าจาง อันที่จริงแค่ทำพอเป็นพิธีเท่านั้น ไม่มีอะไร
โจวเจ๋อไม่ได้ขับรถกลับร้านหนังสือ แต่ขับตามรถพยาบาลมาที่โรงพยาบาลพร้อมกัน เขาไม่รู้ว่าทำไมตัวเองต้องตามมา เพื่อความรู้สึกเห็นใจเล็กน้อยของเขาเหรอ ดังนั้นโจวเจ๋อจึงจอดรถในลานจอดรถของโรงพยาบาล แล้วนั่งครุ่นคิดปัญหานี้อยู่ในรถ
พอนั่งคิด ก็กินเวลาไปหนึ่งชั่วโมงกว่าแล้ว จากนั้นโจวเจ๋อรู้สึกว่าตัวเองหิวแล้ว เขาอยากกลับไปกินข้าวเย็นที่ร้านหนังสือ และที่สำคัญที่สุดคือ เขาคิดอะไรไม่ออกเลย บังเอิญว่า เขาเห็นรถของหวังเคอขับเข้ามาในโรงพยาบาลเช่นกัน แต่ครั้งนี้เด็กสองคนไม่ได้อยู่ข้างใน หวังเคอสังเกตเห็นรถของโจวเจ๋อ จึงจงใจขับรถของตัวเองไปจอดข้างๆ โจวเจ๋อ
ตอนลงจากรถ โจวเจ๋อเห็นหวังเคอถือผลไม้และลูกอมจำนวนหนึ่งอยู่ในมือ โจวเจ๋อก็ลงจากรถเช่นกัน ถามว่า“นายไม่ได้ต้มน้ำซุปมาด้วยเหรอ”
“อ้อ ใช่แล้ว!” หวังเคอเปิดประตูรถอีกครั้ง หยิบกระติกน้ำร้อนออกมาจากข้างใน “ฉันเอาซุปเนื้อมาด้วย” หวังเคอพูดพลางหัวเราะเหอะๆ
“…” โจวเจ๋อ
ใช่แล้ว ฉันรู้บ้านของนายขาดอะไรก็ได้ แต่จะขาดซุปเนื้อไม่ได้
“เข้าไปดูด้วยกันไหม” หวังเคอถาม
“อืม”
ในเมื่อคนก็มาแล้ว เช่นนั้นจึงขึ้นไปดูเสียหน่อย ไม่อย่างนั้นจะเหมือนกับคนโง่คนหนึ่ง วิ่งมาที่นี่เพื่อพิจารณาการใช้ชีวิตของมนุษย์ เมื่อขึ้นลิฟต์แล้วจึงขึ้นไปยังชั้นห้าของตึกผู้ป่วยโดยตรง เป็นห้องคนไข้แบบเดี่ยว หน้าประตูมีตำรวจสองนายคอยเฝ้าอยู่
ตอนที่หวังเคอเข้าไป ได้แสดงบัตรประชาชนของตัวเอง ส่วนโจวเจ๋อ ตำรวจสองคนนี้เนื่องจากรู้จักจางเยี่ยนเฟิงถึงได้รู้จักโจวเจ๋อ ดังนั้นจึงเดินเข้าไปได้เลย
หมอตรวจสุขภาพร่างกายของเด็กสาวแล้ว ตอนนี้กำลังให้น้ำเกลืออยู่ เด็กสาวเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว น่าจะเช็ดตัวเรียบร้อยแล้วเช่นกัน ตอนนี้นอนอยู่บนเตียง สีหน้าซีดขาว แต่กลับเต็มไปด้วยความสงบใจมากกว่าตอนที่อยู่ในห้องเก็บของ
“ยังจำฉันได้ไหม อามาเยี่ยมหนูแล้ว เอาของกินมาให้หนูด้วย” หวังเคอพูดอย่างอ่อนโยนเป็นอย่างมาก
เด็กสาวไม่กลัวหวังเคออย่างเห็นได้ชัด ไม่ว่าอย่างไรหวังเคอก็ทำอาชีพนี้ ถ้าหากไม่มีความสามารถในการทำให้ตัวเองได้รับความเป็นกันเองและความรู้สึกว่าเป็นที่น่าพอใจเลยสักนิด แล้วจะทำอาชีพนี้ได้อย่างไร
เพียงแต่หวังเคอเพิ่งจะวางของ พอขยับตัว เด็กสาวที่นอนอยู่บนเตียงหลังจากเห็นโจวเจ๋อตามเข้ามา เธอก็ดิ้นรนลุกขึ้นนั่งบนเตียงทันที ถ้าหากไม่ใช่เพราะหวังเคอตอบสนองไวเข้าไปกอดได้ทัน เด็กสาวอาจจะร่วงตกจากเตียงโดยตรง
“อย่าตื่นเต้น อย่าตื่นเต้น หนูอยากได้อะไร เดี๋ยวฉันไปหยิบให้ เดี๋ยวไปหยิบให้เอง” หวังเคอรีบปลอบใจทันที
ใครจะรู้ว่าดวงตาของเด็กสาวกลับจ้องมองโจวเจ๋อ และยังยื่นมืออยากจะจับมือของโจวเจ๋อ หวังเคอตกตะลึง มองโจวเจ๋ออย่างแปลกใจเล็กน้อย แววตาประมาณว่า คิดไม่ถึงว่านายจะได้รับความสนใจจากเด็กสาวขนาดนี้
โจวเจ๋อยักไหล่ เดินไปข้างเตียง เพื่อให้เด็กสาวจับมือของเขา เด็กสาวได้รับการปลอบใจทันที
“สงสัยร่างนี้ของฉัน จะหน้าตาไม่เลว”
“เหอะๆ” หวังเคอพยักหน้า แต่ไม่ได้พูดหัวข้อนี้ต่อ เขาไม่ชอบพูดเรื่องด้านนี้กับโจวเจ๋อเป็นอย่างมาก เพราะลูกสาวของเขาก็…
“สามารถสื่อสารได้ปกติไหม” โจวเจ๋อถามหวังเคอ
หวังเคอส่ายหน้า “ไม่เพียงโดนทรมาน ศีรษะยังเคยได้รับแรงกระแทก ตรวจพบว่าสมองได้รับความกระทบกระเทือน อาจจะทำให้เสียความทรงจำในระดับหนึ่ง บวกกับประสบการณ์ที่เจอในช่วงนี้ เฮ้อ ตอนนี้ทางตำรวจยังไม่แน่ใจว่าเด็กสาวคนนี้ถูกขังมานานแค่ไหน ไม่ว่าอย่างไรคนที่รู้เรื่องส่วนใหญ่ตายหมดแล้ว และคนโง่อายุสามสิบกว่าปีคนนั้นก็พูดไม่ค่อยรู้เรื่อง แต่จากเบาะแสของเถ้าแก่ร้านขายอุปกรณ์ช่างหน้าหมู่บ้าน เมื่อสี่เดือนก่อน ผู้หญิงเจ้าของบ้านเคยไปซื้อแม่กุญแจตัวใหญ่กับโซ่ล่ามสุนัขที่ร้านของเขา”
สี่เดือนที่แล้ว…โจวเจ๋อก้มหน้า มองเด็กสาวที่นั่งอยู่บนเตียงที่กำลังมองเขาตาเป็นประกายกลัวว่าตัวเขาจะหายไปด้วยความจนใจและเสียดายอยู่บ้าง
เด็กสาวอายุเท่านี้ ถ้าหากเกิดในครอบครัวปกติ เมื่อเจอแมลงสาบอาจจะร้องตะโกนวี้ดว้ายเสียงดัง แต่ตอนนี้กลับต้องมาเจอกับเหตุการณ์เช่นนี้
“นายรู้ไหม เธอ..” โจวเจ๋อพูดถึงตรงนี้ แล้วจึงหยุด เพราะจู่ๆ เขาก็นึกได้ว่า ดูเหมือนไม่เหมาะที่จะพูดกับหวังเคอ
“เธอท้องเหรอ” หวังเคอพูดตามตรงด้วยสีหน้าปกติ น้ำเสียงปกติ ทุกอย่างปกติ บางครั้งจุดที่หวังเคอทำให้คนอื่นเป็นบ้าได้เหมือนกัน ก็คือเขาปกติมากเกินไปจริงๆ!
เวลานี้ โจวเจ๋อรับโทรศัพท์สายหนึ่ง เป็นสายของนักพรตเฒ่า เขาบอกว่าเขาเสร็จธุระจากสถานีตำรวจแล้ว ตอนนี้กำลังกลับไปร้านหนังสือ โจวเจ๋อจึงตอบว่ารับทราบแล้ว
เมื่อตัดสาย โจวเจ๋อพบว่าหวังเคอแกะลูกอมให้เด็กสาวกินแล้ว เด็กสาวกำลังกินอยู่ แต่ดวงตากลับยังจ้องมองตัวเขา
“เธอถูกชะตากับนาย” หวังเคอพูดอย่างปลงอนิจจัง “เหมือนสิ่งมีชีวิตใหม่ที่เพิ่งฟักออกจากไข่ จะรู้สึกสนิทสนมคุ้นเคยกับสิ่งมีชีวิตที่ตัวเองได้เห็นแวบแรกตอนที่ฟักตัวออกมา นายเป็นคนช่วยเธอออกมาใช่ไหม บางทีนี่ก็คือพรหมลิขิต เพราะตอนที่ออกมาจากที่นั่น สำหรับเธอแล้ว เท่ากับได้ชีวิตใหม่”
“นายพูดโดยไม่มีหลักฐานอ้างอิงทางวิทยาศาสตร์” โจวเจ๋อกล่าว
“แต่สิ่งที่อยู่ตรงหน้าไม่ใช่เรื่องจริงเหรอ”
“อ้อ คนที่เข้าไปเป็นคนแรก คนที่เธอเห็นเป็นคนแรก ไม่ใช่ฉัน แต่เป็นนักพรตเฒ่า”
“…” นักพรตเฒ่า
เอ่อ ดูเหมือนว่าจะเป็นโลกที่เย็นชามองคนที่หน้าตาอย่างแท้จริง หวังเคอพูดอย่างผิดหวังอยู่บ้าง “บางทีนักพรตเฒ่าอาจจะแก่เกินไป”
โจวเจ๋อเข้ามานั่งข้างเตียงอย่างเงียบๆ เด็กสาวคายลูกอมที่ตัวเองเพิ่งเอาใส่ปากเมื่อครู่ใส่กลางฝ่ามืออย่างมีความสุข แล้วยื่นไปที่ปากของโจวเจ๋อ อยากจะแบ่งปันให้โจวเจ๋อ!
“…” โจวเจ๋อ
เด็กสาวมองโจวเจ๋อด้วยความคาดหวัง เธอเหมือนเด็กสาวที่ไอคิวต่ำคนหนึ่ง เหลือเพียงความรู้สึกโดยสัญชาตญาณ
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับแววตารอคอย เมื่อต้องเผชิญหน้ากับเด็กสาวที่น่าสงสาร เมื่อต้องเผชิญหน้ากับบรรยากาศที่ทำให้ใจต้องเศร้า โจวเจ๋อจึงอ้าปาก แล้วพูดตามตรงว่า “สกปรก”
“…” หวังเคอ
เด็กสาวเหมือนจะสัมผัสได้ถึงอารมณ์ของโจวเจ๋อว่าไม่ชอบ จึงไม่ยื่นลูกอมให้โจวเจ๋ออีก และได้แต่นั่งบนเตียงด้วยความผิดหวังอยู่บ้าง ทว่ามืออีกข้างหนึ่งยังคงจับข้อมือของโจวเจ๋อเอาไว้แน่น
“นายลองสื่อสารกับเธอดู จริงๆ แล้ว อาการของเธอ ถือว่าเป็นการตอบสนองต่อสิ่งเร้าเพื่อปกป้องจิตของตัวเองอย่างหนึ่ง เธอกำลังหลบโลกใบนี้โดยสัญชาตญาณ หลบการสื่อสารกับโลกใบนี้ กระทั่งหลบตัวเอง ดังนั้นถึงได้ปรากฏเหตุการณ์ประเภทนี้ พวกเราต้องค่อยๆ ลอกชั้นไหมในหัวใจของเธออย่างช้าๆ คอยปกป้องเธอ เพื่อให้เธอมีความกล้าที่จะเผชิญหน้ากับโลกใบนี้ใหม่อีกครั้ง กล้าที่จะเผชิญหน้ากับแสงอาทิตย์”
เมื่อเห็นว่าเด็กสาวถูกใจโจวเจ๋อ หวังเคอจึงมองโจวเจ๋อเป็นผู้ช่วยของตัวเองอย่างเห็นได้ชัด
“เธอชื่ออะไร” โจวเจ๋อถาม
เด็กสาวเงียบ เธอเหมือนกำลังครุ่นคิดคำถามนี้ จากนั้นเธอค่อยๆ คลายมือที่จับมือของโจวเจ๋อ ในแววตาของเธอ เริ่มปรากฏความลนลาน ปรากฏความหวาดกลัว ปรากฏความดิ้นรน ร่างกายของเธอเริ่มสั่นขึ้นมา ดูเหมือนว่าทั้งตัวเธอจู่ๆ ก็อยู่ในจุดที่ใกล้จะพังทลาย!
หวังเคอลุกขึ้นทันที ใช้มือข้างหนึ่งปิดดวงตาของเด็กสาว มืออีกข้างหนึ่งลูบหลังของเด็กสาว พร้อมกับพูดเสียงเบานุ่มนวล นี่น่าจะเป็นวิธีการสะกดจิตอย่างหนึ่ง จากนั้นร่างกายของเด็กสาวจึงเริ่มสงบลงอย่างช้าๆ เด็กสาวค่อยๆ เอนตัวไปข้างหลัง เธอยังคงลืมตาอยู่ ทว่านัยน์ตาคู่นั้นกลับเหม่อมองเพดาน
“เฮ้อ จิตใจได้รับผลกระทบรุนแรงเกินไป ภายใต้สภาวะแบบนี้ ความเสียหายทางจิตวิญญาณ มักจะรุนแรงและรับมือยากยิ่งกว่าความเสียหายภายในใจ ฉันเคยรักษาเคสที่คล้ายกันอยู่ไม่น้อย อัตราการรักษาให้หายไม่สูงเลยจริงๆ”
หวังเคอถอดแว่นตา หยิบกระดาษทิชชูมาเช็ด แล้วพูดพลางถอนหายใจ “หลายคน ดูเหมือนจะรักษาหายแล้ว แต่หลังจากนั้นไม่นาน คงเป็นเพราะโดนกระตุ้นอะไรบางอย่าง จึงเลือกที่จะปลิดชีวิตตัวเอง เพราะในช่วงเวลาที่ผ่านมายาวนาน พวกเธอใช้ชีวิตเหมือนตายทั้งเป็น เกิดตราประทับฝังลึกอยู่ที่ส่วนลึกภายในใจ คนทั่วไปถึงแม้จะเคยคิดฆ่าตัวตายในบางครั้ง แต่นั่นเป็นเรื่องชั่วคราว จริงๆ แล้วนั้นเป็นอาการที่อันตรายมากอย่างหนึ่ง เหมือนโดนยาพิษ ถ้าหากได้รับปริมาณน้อยก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าหากปริมาณมากในระดับหนึ่งแล้ว ก็ยากที่จะแก้ไข”
“นายพยายามทำให้เต็มที่แล้วกัน” โจวเจ๋อกล่าว
หวังเคอพูดพลางหัวเราะอย่างขมขื่น “อาการของเธอ เป็นลักษณะที่อันตรายมากอย่างหนึ่ง อย่างเช่น ก่อนหน้านี้เธอโดนทารุณ ถูกบังคับขู่เข็ญทุกวัน กลไกการปกป้องตัวเองที่เกิดจากสิ่งเร้าพวกนี้จะอยู่ตลอดไป เหมือนแอนติบอดี นายเข้าใจไหม แต่ตอนนี้ไม่มีใครมาทารุณเธออีก และไม่มีใครบังคับเธออีก เธอได้กลับเข้าสู่สภาพแวดล้อมการใช้ชีวิตปกติแล้ว ดังนั้นการปกป้องตัวเองจึงค่อยๆ คลายออก จากนั้น…หลังจากสูญเสียเกราะป้องกันแล้ว เธอควรจะเผชิญหน้าต่อโลกที่แท้จริงอย่างไร”
“ไม่เป็นไร นายทำให้เต็มที่เถอะ ฉันยังมีเพื่อนอีกคนหนึ่ง ค่อนข้างถนัดการสะกดจิต ฉันจะให้เขามาดู”
“โอเค”
โจวเจ๋อนึกถึงทนายอัน โจวเจ๋อนั่งอยู่ในห้องคนไข้อีกสักพักหนึ่ง ท้องฟ้าก็มืดแล้ว ตำรวจที่อยู่ข้างนอกเปลี่ยนกะไปหนึ่งรอบ โจวเจ๋อเห็นหวังเคอยังไม่กลับ จะอยู่เป็นเพื่อนเด็กสาวต่อ โจวเจ๋อจึงไม่เรียกเขาไปด้วยกัน แล้วตัวเองจึงเดินออกจากห้องคนไข้ก่อน
ตอนที่รอลิฟต์ โทรศัพท์ของโจวเจ๋อดังขึ้น เป็นสายของนักพรตเฒ่า “ฮัลโหล”
“ฮัลโหล เถ้าแก่…” เสียงของนักพรตเฒ่าสั่นเล็กน้อย
“เป็นอะไร เกิดเรื่องที่ร้านเหรอ”
“ไม่ ไม่ใช่ ที่ร้านมีลูกค้าแล้ว…”
“แล้วทำไมคุณถึงเสียงสั่น”
“ข้า…ข้า…ข้า…ฮ่าๆๆๆ!!!!! ฮือๆ…” นักพรตเฒ่าหัวเราะเสียงดังในทันใด จากนั้นหัวเราะไปหัวเราะมาแล้วจู่ๆ ก็ร้องไห้
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่”
น้ำเสียงของนักพรตเฒ่าพลันกดต่ำหนักอึ้ง แฝงไปด้วยความรู้สึกโกรธจัดพุ่งปรี๊ด พูดคำรามเสียงต่ำกดอารมณ์ที่อัดอั้นจนแทบจะขาดออกจากกัน “เถ้าแก่ ไอ้พวกเลวระยำยันบรรพบุรุษทั้งสี่คนนั่น วิญญาณของพวกเขามาที่ร้านหนังสือของพวกเรา!”
……………………………………………………………………….