ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล - ตอนที่ 99 กินเข้าไป
ตอนที่ 99 กินเข้าไป!
ใบหน้าทั้งสองสบตาประสานกัน
น้องภรรยาอยากจะต่อต้าน แต่ใบหน้าของเธออยู่ภายใต้ฝ่ามือของโจวเจ๋อ ไม่มีช่องว่างให้เธอต่อต้านได้เลยแม้แต่น้อย
ช่วงเวลานี้เธอตระหนักได้ถึงความรู้สึกของเจ้าแม่ชิงอีบนดาดฟ้าในตอนแรกแล้ว
ต่อให้คุณมีการเปลี่ยนแปลงนับพันครั้ง ก็ไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหนเหมือนกัน
ผีดิบ เกิดจากการตายไปแล้วแต่สามารถมีชีวิตดำรงอยู่ได้ เหตุผลที่เขาถูกผู้คนจงเกลียดจงชังนั่นก็เพราะว่าเขาไม่อยู่ตามกฎเกณฑ์เดิมของเกม เป็นคนที่ผิดปกติ
ก็เหมือนกับตอนที่ทุกคนไม่ตัดผมเปียแต่คุณกลับตัดมัน
ก็เหมือนกับตอนที่ทุกคนตัดผมเปียแต่คุณกลับยังเก็บเปียไว้
เมื่อแตกต่างจากคนอื่นก็จะถูกเกลียดชังและถูกขับไล่เป็นธรรมดา
โจวเจ๋ออ้าปากอย่างช้าๆ
เขี้ยวสองซี่ที่ยื่นออกมาแฝงไปด้วยความกดดันอันหนักหน่วง
น้องภรรยาขมวดคิ้ว ร่างของเธอสั่นสะท้านและกำลังหวาดกลัว
เกมที่เดิมทีตัวเธอเป็นผู้ควบคุม กลับดำเนินไปในทิศทางที่เธอไม่อาจควบคุมได้ จนกระทั่งเธอเองต้องถูกดึงเข้าไปเอี่ยวด้วย ในตอนนี้อยากจะถอดปลั๊กปิดเกมทิ้งไปก็ทำไม่ได้แล้ว
เธอไม่รู้ว่าตัวเองปล่อยตัวประหลาดแบบไหนออกมากันแน่ กระนั้นเธอก็ยังเชื่อว่าโจวเจ๋อเองก็อาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจริงๆ แล้วเขาคือตัวประหลาด
นี่เป็นความเข้าใจผิดที่งดงาม และยังเป็นกับระเบิดที่เกิดขึ้นเองโดยไม่ทันคาดคิด
โชคไม่ดีที่เธอดันไปเหยียบมันเข้า และเต้นระบำละตินอยู่บนกับระเบิดอีกด้วย
เขี้ยวกดลงอย่างช้าๆ สัมผัสเข้ากับผิวคอของน้องภรรยา
ผิวเรียบเนียนนั้น ผิวพรรณนุ่มนิ่มนั้น
แฝงไปด้วยจิตวิญญาณของสาวน้อย
ลมหายใจแห่งความเยาว์วัย
มีชายหนุ่มไม่น้อยที่อยากจะจุมพิตกลิ่นหอมละมุนตรงนี้
มีชายหนุ่มไม่น้อยที่อยากจะฝังเขี้ยวตัวเองลงตรงนี้
“ฉันคือเธอ เธอก็คือฉัน”
น้องภรรยาเอ่ยขึ้น
“แกกัดฉันตาย เธอก็ตายไปด้วย”
นี่เป็นการขู่ เป็นคำขู่ครั้งสุดท้ายอย่างหนึ่ง
ถ้าไม่ใช่เพราะสถานการณ์วิกฤตถึงขั้นนี้ เกรงว่าน้องภรรยาจะไม่ปริปากขู่แบบนี้เด็ดขาด
เพราะนี่เท่ากับว่าตัวเองกำลังก้มหัวให้ของเล่น และกำลังขอความเมตตาจากของเล่นชิ้นหนึ่ง
เธอหยิ่งในศักดิ์ศรีของตัวเอง แต่เมื่อได้รับอันตรายถึงชีวิต ศักดิ์ศรีก็ไร้ค่าทันที
โจวเจ๋อชะงักไปครู่หนึ่ง ดวงตาสีเขียวพร้อมแสงประหลาดๆ ของเขากำลังกวาดดูไปทั่วใบหน้าของน้องภรรยา ราวกับกำลังลังเล ราวกับกำลังครุ่นคิด และราวกับกำลังอ้อยอิ่ง
จากนั้น เขาก็เงยหน้าขึ้นมาให้เขี้ยวของตัวเองอยู่ห่างจากผิวหนังออกไปอีกหน่อย ความรู้สึกกดดันรุนแรงจนหายใจไม่ออกก่อนหน้าจางหายไปมากทีเดียว
น้องภรรยาถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก รู้สึกเหมือนกำลังหนีจากความตายที่พุ่งเข้าหาเธอ ทำให้เธอรู้สึกวิงเวียนเล็กน้อย
จากนั้น โจวเจ๋อก็ก้มหน้าลงทันที!
‘ฉึก!’
ฝังเขี้ยวลงไป
เลือดและของเหลวในร่างเริ่มสาดกระเซ็น
ร่างกายมนุษย์ดูเปราะบางและอ่อนแอมากในเวลานี้
ศีรษะของน้องภรรยายังคงถูกมือของโจวเจ๋อกดเอาไว้ สีหน้าของเธอแสดงอาการเจ็บปวดอย่างรุนแรง ในส่วนลึกของแววตามีความตื่นตระหนกและดิ้นรนแฝงอยู่
ความใจเย็นสงบนิ่งก่อนหน้านี้ได้มลายหายไปอย่างไร้ร่องรอย
ก่อนหน้านี้เธออยู่ในห้องน้ำ ถามและตอบกับตัวเองพร้อมกับบีบโจวเจ๋อไปสู่ทางตัน
ตอนนี้ ทำกรรมใดไว้ก็ต้องชดใช้คืนเสมอ
อันที่จริงผีดิบไม่ได้กินคน และไม่ได้ดื่มเลือดของคน
ในนิยายมหัศจรรย์โบราณยุคแรกๆ มีการบันทึกเอาไว้ และมีการกล่าวถึงเล็กน้อยว่าผีดิบกินและดูดเลือดของคน ส่วนความเข้าใจมากมายเกี่ยวกับผีดิบของคนยุคใหม่นั้น ส่วนใหญ่มาจากภาพยนตร์ผีดิบในยุคภาพยนตร์ฮ่องกง แต่ในขณะนั้นได้รับอิทธิพลจากภาพยนตร์ซอมบี้ของยุโรปและอเมริกาบางเรื่อง จึงมีการเพิ่มฉากเหล่านี้เข้าไป
โจวเจ๋อไม่ได้ดูดเลือดของอีกฝ่าย เขาแค่สนุกกับความรู้สึกแบบนี้มาก และฉีดเจตจำนงของตัวเองเข้าไปในร่างกายของอีกฝ่ายผ่านเขี้ยวของตัวเอง
เป็นคำปฏิญาณอธิปไตย เป็นการแก้แค้นที่สาสมที่สุด
ให้ลมหายใจของตัวเองเหยียบย่ำอีกฝ่าย
ทรมานเธอ
กัดเธอ
คืนของทุกอย่างที่เธอได้สร้างให้เขากลับไป!
“กรี๊ดดดดดดดด!!!!!!!!!!!”
ทันใดนั้นพลังงานสีดำก็ลอยออกมาจากร่างของน้องภรรยา พลังงานสีดำเหล่านี้ค่อยๆ แปรสภาพหลอมรวมเป็นเงาร่างของผู้หญิงชุดดำ
ทันทีที่ผู้หญิงคนนั้นออกมา อุณหภูมิรอบๆ ลดลงฉับพลันกระทั่งมีน้ำค้างแข็งปรากฏออกมา
คุณสามารถบอกได้ว่านี่คือสเปเชียลเอฟเฟกต์และความยิ่งใหญ่เอิกเกริกตอนที่หัวหน้าใหญ่ปรากฏตัวออกมา
แต่ในความเป็นจริงแล้ว นี่เป็นสัญญาณบ่งบอกว่าไม่สามารถกักขังพลังจิตวิญญาณหญิงสาวเอาไว้ได้ เธอเป็นเหมือนน้ำแข็งที่ออกมาจากช่องแช่แข็ง แม้ว่ามันจะยังคงแผ่ความหนาวเย็นได้เหมือนเคยแต่ก็คงอยู่ได้ไม่นาน
‘ป๊อก!’
โจวเจ๋อถอนเขี้ยวตัวเองออกมา บนคอของน้องภรรยามีรอยแผลในพริบตา แต่ไม่มีเลือดไหลออกมาเลยแม้แต่หยดเดียว
เมื่อปล่อยมือออก ทันใดนั้นร่างของน้องภรรยาก็ร่วงลงไปกองที่พื้น
ล้มจนเสียงดัง ‘ตุ้บ’
ไม่มีความสงสารใดๆ และไม่มีความกังวลใดๆ
แม้ว่าเด็กสาวคนนี้จะล้มจนกลายเป็นคนปัญญาอ่อน แต่มันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับโจวเจ๋อเลยสักนิด
วิญญาณของหญิงสาวค่อยๆ เริ่มดูเซื่องซึม ราวกับว่าเธอจะอยากเข้าสู่ร่างนี้อีกครั้ง แต่โจวเจ๋อยืนอยู่ด้านล่าง เธอไม่กล้าลงไป
ในเวลาเดียวกันนั้น มีสมุดเล่มเล็กลอยว่อนอยู่ข้างๆ หญิงสาวคนนั้น มันเป็นสมุดเล่มเดียวกับที่โจวเจ๋อครอบครอง สมุดเล่มนี้บ่งบอกถึงตัวตนของหญิงสาว
เธอก็เป็นยมทูตเช่นกัน
แต่สมุดของหญิงสาวนั้นแทบจะเป็นสีขาวโพลน ขาดเสียหายจนแม้แต่ตอนที่มันลอยว่อนอยู่ก็มีเศษซากร่วงหล่นลงมาไม่หยุด เห็นได้ชัดว่ามันหนักหน่วงเกินทนแล้ว
“ฉันก็เป็นยมทูตเหมือนกัน แกฆ่าฉันไม่ได้”
หญิงสาวพูดทั้งตัวสั่นงันงก เธอไม่ได้กลัวโจวเจ๋อที่มาถึงจุดนี้ แต่เธอรู้สึกหนาวอย่างมากต่างหาก
เธอที่หลุดออกจากกายเนื้อ ก็เหมือนคนที่ธรรมดาที่ถอดเสื้อผ้าและยืนอยู่บนธารน้ำแข็งแอนตาร์กติกา
ความรู้สึกแบบนั้นพูดไม่ได้เลยจริงๆ ว่าแค่อาศัยความแน่วแน่ของจิตก็เพียงพอที่จะต้านทานมันได้
โจวเจ๋อเงยหน้าขึ้นมองเธอ แล้วเปิดปากเล็กน้อยราวกับกำลังยิ้ม จากนั้นโจวเจ๋อก็เอียงศีรษะอย่างช้าๆ
เสียงกระดูกดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ศีรษะก็ยังเอียงลงมา
การเยาะเย้ย
เป็นการเยาะเย้ยที่ตรงจุดที่สุด
เปลวเพลิงสีฟ้าอ่อนเริ่มโผล่ออกมาจากร่างของหญิงสาวอย่างช้าๆ วิญญาณของเธอกำลังถูกแช่แข็งและเริ่ม สูญเสียการมีตัวตนอยู่ เธอหนาวจับจิตและต้องการที่พักพิงอันแสนอบอุ่น
เธอรอไม่ไหวแล้ว และรอต่อไปอีกไม่ไหวแล้ว
‘ฟิ้ว!’
เธอพุ่งลงไป พยายามเข้าไปในร่างของน้องภรรยาอีกครั้ง
‘วืด!’
โจวเจ๋อสะบัดแขนออกไป เล็บที่ไม่โปร่งบางใสเหมือนก่อนหน้านี้แต่ดูมีความผันผวนมากยิ่งขึ้นกวาดเข้าใส่ร่างของหญิงสาวทันที หญิงสาวส่งเสียงกรีดร้องออกมา ในท้ายที่สุดก็ถูกโจวเจ๋อคว้าไว้ได้อย่างรวดเร็วและจับมาอยู่ตรงหน้า
เอวของหญิงสาวสามารถจับได้ด้วยมือเดียวจริงๆ ไม่ได้หมายความว่าหญิงสาวหุ่นดีมากหรือดีเกินจริง แต่หมายความว่าร่างวิญญาณของหญิงสาวถูกทำร้ายและจับพลิกไปพลิกมาอย่างต่อเนื่องภายใต้ฝ่ามือของโจวเจ๋อ
“ปล่อยฉัน ฉันเป็นยมทูต!”
หญิงสาวคำราม
โจวเจ๋ออ้าปากกว้าง จากนั้นเริ่มส่งมือไปที่ปาก
หญิงสาวดิ้นรนและคำรามอย่างรุนแรงมากขึ้น เธอมีลางสังหรณ์ว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น และในขณะเดียวกัน เธอก็เข้าใจสิ่งหนึ่งเช่นกัน ผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าได้เสียสติไปแล้ว ตอนนี้เขาก็แค่ทำตามสัญชาตญาณ
เขาหิวโหย
ร่างกายของเขาเจ็บปวดสาหัส
ร่างกายของเขาทรุดโทรม
เหมือนกับคนป่วยคนหนึ่ง เมื่อฟื้นจากอาการบาดเจ็บก็ต้องการอาหารเสริมเข้าไปบำรุง
ตอนนี้เขาต้องการการเสริมบำรุง
ร่างนี้ไม่สามารถทนรับสภาพรูปแบบปัจจุบันของเขาได้
“ฉันเป็นยมทูต ไม่ว่าจะเคยทำอะไรมาก็ตามมีเพียงนรกเท่านั้นที่จะตัดสินฉันได้ แกทำไม่ได้ แกจะแบกรับค่าราคาที่ตามมาไหวเหรอ แกตั้งสติเดี๋ยวนี้ ตั้งสติเดี๋ยวนี้นะ!”
นี่ก็เหมือนกับการเผชิญหน้ากับกระบองสีทองของพี่ลิงใน ‘ไซอิ๋ว’ สัตว์ประหลาดที่เข้าตาจนเริ่มจำนนต่อครอบครัวเพื่อให้พระโพธิสัตว์หรือเทพเจ้ามารับตัวเองกลับไป นี่เป็นการเปิดเผยภูมิหลังของตัวเอง
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านั้นโจวเจ๋อก็เป็นยมทูตตนหนึ่ง แม้ว่าเขาจะเป็นพนักงานชั่วคราวก็ตาม แต่หญิงสาวก็ยังพร้อมที่จะฆ่าเขาตามเดิม
ฆ่าเขาแล้วก็ค่อยฆ่าหมอหลิน
เจตจำนงอีกอย่างในกายเนื้อก็คงจะไม่รบกวนตัวเองแล้วละ
มือของโจวเจ๋อหยุดลงแล้ว และไม่ได้ส่งวิญญาณของอีกฝ่ายเข้าไปในปาก
หญิงสาวมองโจวเจ๋อ เธอยังรู้สึกประหม่าอยู่ จากบทเรียนครั้งที่แล้ว เธอจะไม่จินตนาการถึงการหลบหนีให้รอดของตัวเองอีกต่อไป
โจวเจ๋อบีบหญิงสาวและเริ่มเคลื่อนไหว
ทุกครั้งที่เท้าของเขาเหยียบย่ำลงไป จะทิ้งร่องรอยสีดำที่ไม่จางหายเอาไว้เป็นเวลานาน เขาลงมาชั้นล่าง เขามาถึงที่ห้องครัว
รูม่านตาสีเขียวกำลังสาดส่องไปทั่วห้องครัว
จากนั้นเขาก็เจอแล้ว
เหล่ากานมาหนึ่งกระปุก
เขาบีบกระปุกจนแตก น้ำพริกทั้งหมดข้างในไหลลงมาในมือ
เขากระดกน้ำพริกเข้าปากไปก่อน จากนั้นโจวเจ๋อก็ยกมือที่จับหญิงสาวขึ้นอีกครั้ง
อ้าปากและนำวิญญาณของหญิงสาวส่งเข้าไปในปากตัวเอง
เสียงกรีดร้องและคำสาปแช่งสุดท้ายของหญิงสาว ราวกับว่าเป็นเสียงเพลงที่บรรเลงอยู่ในลำโพงรอบๆ ตัวในช่วงเวลามื้ออาหาร นำสีสันแปลกๆ มาสู่มื้ออาหาร
หลังจากที่กลืนลงไปแล้ว โจวเจ๋อเหยียดแขนออก
‘เอิ๊ก…’
เสียงเรอดังขึ้นสนั่น
โล่งใจแล้ว
พอใจแล้ว
อิ่มแล้ว
แต่ก็ยังอยากกินอีกนะ
…
“ก่อนหน้านี้เธอทำไมไม่บอกให้เร็วกว่านี้!”
ไป๋อิงอิงกำลังก่นด่าอยู่ในรถ
ถังซือไม่สนใจศพผีสาวที่แทบระเบิดอารมณ์ตนนี้ และแกะเปลือกทอฟฟี่กระต่ายใส่เข้าปากต่อ
“ก่อนหน้านี้เขาเองก็ไม่เคยถามรายละเอียด เลยไม่ได้สนใจ อีกอย่างฉันจะไปรู้ได้ไงว่าทงเฉิงมียมทูตอีกตน แล้วยังอยู่ในบ้านภรรยาของเขาอีกน่ะ”
“เอาละ สาวๆ ทั้งหลาย ถึงแล้วครับ ถึงแล้ว”
นักพรตเฒ่าก็ยังเป็นคนขับรถ
หลังจากที่เขากลับไปร้านหนังสือแล้วพูดถึงสถานที่ระหว่างการเดินทางของโจวเจ๋อให้ถังซือฟัง
จากนั้นความลับที่ไม่ใช่ความลับนี้ก็ถูกเผยแพร่ออกไป ต่อมาก็โทรหาโจวเจ๋อไม่ติด ทุกคนถึงได้รีบยกโขยงกันมา
สวี่ชิงหล่างนั่งหน้าครึ้มอยู่ที่ตรงนั่งข้างคนขับ
เมื่อรถหยุดลง ทุกคนลงจากรถและเดินเข้าไปข้างใน
ไป๋อิงอิงเดินนำหน้าเป็นคนแรก
ตอนที่เธอเดินไปถึงโถงทางเดิน จู่ๆ ไป๋อิงอิงก็หยุดฝีเท้าลง
เธอสัมผัสได้ถึงลมหายใจที่คุ้นเคยที่อยู่ตรงหน้าไม่ไกล ราวกับว่าวิญญาณชั่วร้ายในร่างเธอถูกกระชากและเริ่มตัวสั่นสะท้านขึ้นมา
“เธอเป็นอะไรไปน่ะ”
ถังซือเห็นไป๋อิงอิงไม่เดินต่อจึงถามขึ้น
ไป๋อิงอิงกัดริมฝีปากแน่น
ลมหายใจที่สะท้านอยู่ภายในยิ่งชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ และดูเหมือนว่าจะพุ่งขึ้นถึงจุดสูงสุด มันทั้งชัดเจนและใจเต้นแรงยิ่งกว่าเมื่อก่อนเสียอีก
ความเชื่อมโยงระหว่างสายเลือดกับสายสัมพันธ์ทางเผ่าพันธุ์นี้ ราวกับมีกระแสไฟฟ้าไหลผ่านร่างของเธอ
……………………………………………………..