ยมทูตแห่งความมืด ผู้รับใช้สตรีศักดิ์สิทธิ์แสนขี้เกียจจอมโลภมาก - ตอนที่ 5
“แฮ่ก… แฮ่ก…”
“บ้าเอ๊ย! แม่งไปไหนแล้ววะ!”
“ไอ้ผมของปีศาจตัวเสนียดนั่น!”
ฉันวิ่งตัดทะลุป่ามืดสนิทในตอนกลางคืนแบบสุดชีวิต ก่อนจะใช้ประโยชน์จากร่างกายเล็กๆ ของตัวเองเพื่อซ่อนตัว
อาทิตย์เพิ่งจะตกไปเอง ฉันก็เลยกำลังจะหลับเอาแรง ตอนนั้นแหละที่จู่ๆ ก็มีผู้ชายเป็นสิบๆ คนโผล่มาจากไหนไม่รู้ พยายามกรูกันเข้ามาจับตัวฉัน แถมเพราะอะไรก็ไม่รู้เหมือนกัน ฉันก็เลยต้องรีบวิ่งหนี
“คิย้า!”
“นั่นไง! มันอยู่นั่น!”
“ลำบากชะมัดยาด…”
แต่ว่า คงเพราะความทรงจำนิดๆ ที่ยังเหลือจากชาติก่อนล่ะมั้ง ร่างกายฉันมันถึงขยับไม่ได้แบบที่คิดเลย
ตอนสุดท้าย ฉันวิ่งสะดุดแล้วก็หกล้ม เสียงนั่นก็เลยทำให้พวกผู้ชายพวกนั้นที่มีไฟสว่างมาด้วยไล่ตามฉันมาเลย
“อึก”
“อย่าปล่อยให้หลุดมือ! ต้องจับมันมาให้ได้!”
แสงจากทั้งคบเพลิงทั้งตะเกียงเข้ามารวมกันเป็นก้อนเดียวทันทีเลย พอเห็นแบบนั้นฉันก็รีบมุดเข้าไปซ่อนที่โพรงตรงลำต้นของต้นไม้แถวนั้นก่อน
กลั้นหายใจ แล้วก็กอดเข่าเข้าหาตัว พยายามทำให้เสียงของหัวใจที่เต้นระรัวนี่สงบลง
“ตรงนั้น!”
“ไม่อยู่! คลาดสายตาไปแล้ว… เวรเอ๊ย!”
“ไปไหนได้ไม่ไกลหรอกน่า หามันให้ทั่ว ไม่ว่ายังไงก็ต้องจับมันมาให้ได้”
“““โอ้!”””
ในความมืดขนาดนี้ ด้วยแสงแค่จากตะเกียงน่ะไม่มีทางเห็นโพรงนี่ได้หรอก คนพวกนั้นก็เริ่มกระจายกันออกไปตามหาตัวฉันกันแล้ว
บางทีอาจจะเพราะตาฉันคุ้นเคยกับที่มืดแบบนี้แล้วก็ได้ แต่ถึงจะไม่ชัดขนาดเวลากลางวัน แต่ต้องขอบคุณเรื่องที่ฉันเห็นป่าตอนกลางคืนแบบนี้ได้ค่อนข้างจะชัดอยู่บ้าง ดูเหมือนฉันจะยังพอมีโชคเหลืออยู่สินะ
“……ฟิ่ว”
อยู่ตรงนี้อีกซักพักดีกว่ามั้ยนะ
อย่างน้อยก็ อยู่เงียบๆ ตรงนี้ไปก่อนจนกว่าคนพวกนั้นจะหายไปก็แล้วกัน
แต่ว่า ทำไมฉันถึงถูกไล่ล่าแบบนี้ล่ะ?
ไม่สิ ก็รู้อยู่แล้วไม่ใช่เหรอว่าทำไม
ฉันกำผมสีดำที่แห้งเสียไปหมดที่พาดอยู่ตรงไหล่ของฉันเอง ก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่
พวกนั้นบอกว่า ฉันมีผมของปีศาจสินะ
แทบไม่ต้องคิดเลย นี่ต้องเป็นเพราะผมสีนี้แน่ๆ ที่ว่ากันว่านำความโชคร้ายมาให้น่ะ
ดูเหมือนผมสีดำนี่จะโดนเกลียดมากกว่าที่ฉันคิดเอาไว้เยอะเลยแฮะ
แต่ว่า ทำไมฉันถึงโดนไล่ตอนใกล้มืดแบบนี้ล่ะ? ทั้งๆ ที่เมื่อตอนกลางวัน ฉันยังแค่โดนไล่ตะเพิดออกมาเท่านั้นเอง
ไม่สิ นั่นไม่ใช่เรื่องที่ฉันต้องคิดตอนนี้นี่นา ตอนนี้ฉันต้องให้ความสำคัญกับการหนีให้พ้นก่อน
โชคดีจังที่สายตาของฉันมองเห็นในความมืดได้ดีแบบแปลกๆ แต่ถ้าเป็นแบบนี้ล่ะก็ ฉันรีบหนีจากตรงนี้ไปตั้งแต่กลางคืนเลยดีกว่า
อาจจะมีพวกสัตว์นักล่าที่ออกหากินกลางคืนด้วยก็ได้ แต่สัญชาตญาณมันร้องบอกฉันว่าโดนพวกสัตว์กินเนื้อพวกนั้นจับกินไป ยังไงก็ดีกว่าโดนคนพวกนั้นเจอตัวแล้วจับไปแน่นอน
(แสงไฟพวกนั้นเล็กลงเรื่อยๆ แล้ว แสดงว่าไปไกลแล้วสินะ ตอนนี้แหละ ต้องขยับแล้ว)
พอตัดสินใจได้ ฉันก็โดดออกมาจากโพรง หมอบให้ต่ำที่สุดเท่าที่จะทำได้ ย่อตัวเล็กๆ ของฉันลงไปอีก แล้วก็ออกวิ่ง
ฉันใช้ตาที่มองเห็นดีเป็นพิเศษคอยมอง แล้วทำเสียงให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ หันหน้าออกมาในทิศตรงข้ามกับเมืองนั่น
ถ้าอยากจะไล่กันขนาดนี้ล่ะก็―――
“เฮ้ย! มีอะไรขยับอยู่ตรงนั้นด้วย! อาจจะเป็นเจ้านั่นก็ได้!”
“เฮะ!?”
ฉันหันขวับไปทางต้นเสียงนั่นทันที แล้วก็เห็นลุงวัยกลางคนผมสีเขียวคนนึงชี้นิ้วมาทางที่ฉันอยู่เฉยเลย
นี่อะไรกันเนี่ย พวกนั้นยังไม่น่าจะเห็นฉันสิ
ไม่สิ เดี๋ยวก่อน ผมสีเขียวแสดงว่าคนคนนั้นมีเวทมนตร์สายวายุนี่นา
หรือก็คือ―――
(อ่านกระแสของอากาศ แล้วตรวจจับการเคลื่อนไหวของวัตถุได้งั้นเหรอ!)
ในบรรดากลุ่มพ่อค้าทาส มันก็มีคนที่ใช้เวทมนตร์คล้ายๆ กันนี่ในการติดตามพวกเราเหมือนกัน
ถ้าเจ้านั่นเป็นเหมือนกันล่ะก็ ความยากในการหนีมันการเพิ่มขึ้นพรวดขึ้นมาเลยน่ะสิ
ระยะในการตรวจจับจะขึ้นอยู่กับทักษะของผู้ร่าย แต่ถ้าการเคลื่อนไหวของฉันมันยังถูกเจอได้จากระยะเท่านี้ล่ะก็ การที่กำลังของเด็กคนนึงจะหนีให้พ้นจากระยะมันก็ยากแล้วล่ะ
นี่ฉันมาได้แค่นี้เองเหรอ
แล้ว ตอนที่ฉันคิดแบบนั้น
“หนู! ทางนี้!”
มีเสียงกระซิบจากที่นึงเรียกฉันให้มาหา
“โอ้ย! ไปไหนของมันแล้วเนี่ย!”
“นี่ไง มันต้องอยู่ในถ้ำนี่แน่-… เอ๊ะ?”
ฉันกลั้นหายใจอีกรอบ แล้วก็พยายามซ่อนตัว
“เฮ้ยๆ มีอะไรกันเนี่ย มีคนเยอะแยะขนาดนี้วิ่งหน้าตั้งกันมาเลย”
“มีเกิดอะไรขึ้นงั้นเหรอ?”
“อ- โอ้ พวกทหารรับจ้างเรอะ? เห็นไอ้เด็กผมปีศาจมันวิ่งเข้ามาแถวนี้มั้ย?”
“ผมปีศาจที่ว่านี่ หมายถึงผมสีดำสินะ? มาตลกอะไรของพวกนายเนี่ย ของหายากแบบนั้นมันไม่มีทางจะมาเจออยู่ในที่แบบนี้อยู่แล้วไม่ใช่เรอะ”
“นั่นสิ พวกนายเข้าใจผิดอะไรหรือเปล่า?”
“ไม่ใช่! นี่เรื่องจริงนะ! ข้าสัมผัสได้ว่ามันวิ่งเข้ามาในถ้ำนี้น่ะ”
“สัมผัสเอาจาก {แอโรเซนเซอร์ (ตรวจจับบรรยากาศ)} งั้นสินะ? เวทนั่นมันเข้าใจขนาดกับรูปร่างได้แค่แบบคร่าวๆ เท่านั้นเองนี่ แถมยิ่งห่างจากตัวผู้ร่าย ความแม่นยำก็ยิ่งต่ำลงไปอีกต่างหาก คงไม่ได้เข้าใจผิดกับสัตว์ตัวเล็กๆ ใช่มั้ย? เมื่อกี้นี้ก็เพิ่งจะมีกระต่ายป่าตัวนึงวิ่งผ่านไปทางข้างหลังนั่นเองด้วยนะ”
“พวกเราเพิ่งจะคุยกันเรื่องมื้อเย็นที่จะกินกันคืนนี้เอง ถ้าไม่รังเกียจ จะมากินด้วยกันมั้ย?”
“ม- ไม่ล่ะ ขอผ่านแล้วกัน ยังไงก็เถอะ พวกข้ายังอยู่แถวๆ นี้แหละ ถ้าเจอเจ้าผมปีศาจเข้าก็ช่วยบอกทีนะ”
คนพวกนั้นพูดทิ้งท้ายเอาไว้แบบนั้น แล้วก็เดินออกจากถ้ำไป
หลังจากนั้นซักพักนึง ฉันก็ได้ยินเสียงพูดด้วย
“เอ้า แค่นี้ก็พอแล้วล่ะ”
ฉันคลานออกมาจากกล่องใบเดียวที่วางอยู่ในถ้ำนี้ ก่อนจะสูดหายใจเข้าลึกๆ เพราะเพิ่งนึกได้ว่าตัวเองกลั้นหายใจเอาไว้นานขนาดไหน
“ฟุฮ่า ช- ช่วยไว้ได้พอดีเลยค่ะ ไม่รู้ว่าพวกคุณเป็นใคร แต่ขอบคุณมากๆ เลยนะคะ”
“อ- โอ้ เป็นเด็กที่สุภาพจังเลยนะ”
ฉันได้คน 3 คนที่อยู่ตรงนี้ช่วยเอาไว้จากคนพวกนั้นพอดีเลย
ถ้าพวกเขาไม่ได้กวักมือเรียกจากข้างนอกถ้ำ แล้วซ่อนฉันเอาไว้ในกล่องล่ะก็ ตอนนี้ฉันคงจะโดนจับตัวไปแล้วล่ะมั้ง
“ให้ตายสิ ผมดำจริงๆ ด้วยแฮะ ไม่เคยคิดเลยนะเนี่ยว่าชีวิตนี้จะมีโอกาสได้เห็นด้วยน่ะ”
“อ่า น่าตกใจจริงๆ เลย”
ชายผมแดงที่มีดาบเล่มนึงเหน็บอยู่ที่เอว กับคนตัวโตผมสีเขียวที่มีขวานเล่มใหญ่เหน็บอยู่ที่หลัง
แล้วก็ ผู้หญิงผมสีน้ำตาลที่มีไม้เท้าวางอยู่ข้างๆ
จากที่ได้ยินที่เขาคุยกันเมื่อกี้นี้ แสดงว่าพวกเขาเป็นทหารรับจ้างสินะ
“วางใจเถอะ พวกผมไม่คิดจะทำร้ายหนูหรอก กลัวแย่เลยสินะ กินก่อนสิ”
พี่ชายผมแดงพูด ก่อนจะส่งขนมปังชิ้นเล็กๆ มาให้ฉัน
ฉันไม่ค่อยได้กินอะไรดีๆ เลยเพราะต้องเก็บเงินเอาไว้ ฉันก็เลยตอบไปแบบลังเลอยู่บ้าง
“ข- ขอโทษค่ะ ช่วยชีวิตเอาไว้ แล้วไหนจะยังแบ่งอาหารให้อีก”
“ไม่ต้องคิดมากหรอกนะ แต่ว่า ไหงเด็กสาวตัวน้อยอย่างเธอถึงได้มาอยู่ในที่แบบนี้ในเวลาแบบนี้ได้ล่ะเนี่ย? คุณพ่อคุณแม่ของหนูล่ะ?”
“…พ่อกับแม่ เอาฉันไปขายแล้วค่ะ ฉันเกือบจะ ถูกขายไปเป็นทาสอยู่แล้ว”
ฉันอธิบายเรื่องที่ผ่านมาจนถึงตอนนี้ให้พวกเขาฟังแบบคร่าวๆ
“แล้วเพราะอะไรไม่รู้ สุดท้ายฉันก็เลยโดนไล่ตามแบบนี้นี่แหละค่ะ”
“ยังงี้เอง ลำบากน่าดูเลยนะหนูเนี่ย”
“ความเกลียดชังในผมสีดำนี่มันฝังรากลึกมากจริงๆ เลยนะ ไม่เคยคิดเลยว่าเด็กจะโดนพ่อแม่แท้ๆ เอามาขายแบบนี้ได้…”
“เลวชะมัด ยังเด็กอยู่เลยแท้ๆ ข้าคงจะไม่เข้าใจความรู้สึกของหนูหรอก แต่ก็ กินนี่ซะนะ จากนั้นก็เติมกำลังใจตัวเองซักหน่อย”
ฉันขอบคุณคุณลุงตัวยักษ์ ก่อนจะยกชามซุปขึ้นจิบ พอดื่มเสร็จแล้ว ฉันก็เริ่มพูด
“คือ ฉันไม่ค่อยคุ้นเคยกับเรื่องเรื่องในโลกเท่าไหร่ ถ้าไม่รบกวน ช่วยเล่าให้ฟังหน่อยได้มั้ยคะ? เรื่องผมสีดำ หรือที่จริง เอาเรื่องที่ว่าทำไมพวกเส้นผมชั้นต่ำถึงโดนกดขี่จังเลยก็ได้ค่ะ”
“อ่า ฉันเล่าให้หนูฟังได้นะ แต่ว่า จะเล่ากันพรุ่งนี้ดีมั้ย? หนูดูมึนๆ แล้วด้วย แถมพรุ่งนี้เราก็ยังมีงานต้องทำกันอีก”
หลังจากที่ได้ยินแบบนั้น ฉันก็รู้ตัวซักทีว่าร่างกายของฉันมันไม่มีแรงเหลือแล้ว
ดูเหมือนพอความตึงเครียดผ่อนคลาย แรงที่มีก็หายตามไปด้วยเลย
“งั้น เอาตามนั้นก็แล้วกันค่ะ”
“อ้า จะใช้ผ้าห่มก็ได้นะ ไม่มีปัญหา”
ฉันเอามือหนุนหัวตัวเอง ที่เริ่มจะแล่นช้าลงไปเรื่อยๆ แล้วก็เอาผ้าห่มที่เขาชี้ไปมาห่มกับตัว ทั้งๆ ที่ยังมึนๆ อยู่
พอฉันปิดตาลง ความเหนื่อยล้าทั้งหมดมันก็ถาโถมมาใส่แบบรวดเดียวเลย จนฉันหลับสนิททันที