ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน - บทที่ 1 ไม่มีผู้ใดอดทนต่อของอร่อยอันหอมกรุ่นได้
บทที่ 1 ไม่มีผู้ใดอดทนต่อของอร่อยอันหอมกรุ่นได้
บทที่ 1 ไม่มีผู้ใดอดทนต่อของอร่อยอันหอมกรุ่นได้
ณ ตลาดนอกสำนักหลานเทียน
“เนื้อย่างหอม ๆ ย่างเสร็จร้อน ๆ วางขายแล้วจ้า ยี่สิบไม้เพียงแค่หินวิญญาณระดับล่างก้อนเดียวเท่านั้น คุ้มราคาแน่นอน!”
เสียงตะโกนเร่ขายดังก้องแจ่มชัด ดึงดูดเหล่าบรรดาผู้บำเพ็ญกลุ่มหนึ่งให้เข้ามามุงดู
อย่าเพิ่งเข้าใจผิดล่ะ พวกเขาก็แค่อยากรู้ว่าใครหน้าไหนที่ไร้ยางอาย เอาอาหารธรรมดา ๆ นี่มาขายแลกเป็นหินวิญญาณ
หืม…
ที่แท้เป็นแม่นางน้อยผู้หนึ่ง อายุอานามราวสิบสามปี ใบหน้าเล็กกระจุ๋มกระจิ๋ม ดวงตากลมโตสดใสเป็นประกาย โดยรวมแล้วค่อนข้างผอม แลดูเปราะบาง
เมื่อเห็นว่ากลิ่นหอมอันยั่วยวนของเนื้อย่างดึงดูดผู้คนเข้ามามากมายเช่นนี้ รอยยิ้มบนใบหน้าของหลิงเยว่ก็ยิ่งสดใสมากขึ้น
นางพลิกไม้เสียบเนื้อย่างบนตะแกรงอย่างคล่องแคล่ว ตอนนี้เนื้อแกะย่างสุกแล้ว นางโรยผงยี่หร่าลงไป เมื่อเนื้อถูกอังด้วยไฟจากถ่าน กลิ่นหอมกรุ่นของเครื่องเทศก็กระจายไปทั่ว กลิ่นเผ็ดจัดจ้านของยี่หร่าที่เป็นเอกลักษณ์อบอวลไปทั่วทุกอณูอากาศ
“ศิษย์พี่ใหญ่ รับสักชุดหรือไม่?”
หลิงเยว่ยื่นหน้าถามผู้บำเพ็ญที่ยืนอยู่หน้าสุด
ศิษย์พี่ใหญ่ผู้นั้นส่ายหน้าพลางถอยหลังและกล่าวว่า “ข้างดเว้นธัญพืช*[1]!”
นี่ช่างเป็นเรื่องที่น่าเศร้ายิ่งนัก
ใบหน้ายิ้มแย้มของหลิงเยว่พลันเจื่อนไปทันใด นางละสายตาไปสนใจอีกคนที่อยู่ข้าง ๆ ทว่ายังมิทันได้กล่าวอันใดก็ถูกปฏิเสธอย่างไร้ไมตรีอีกครั้ง
“ข้ากินโอสถงดธัญพืชแล้ว”
ผู้บำเพ็ญที่ถูกหลิงเยว่กวาดสายตามองต่างพากันส่ายหน้าปฏิเสธ บ้างก็บอกว่าตนเองกำลังงดเว้นธัญพืชอยู่ บ้างก็บอกว่ากินโอสถงดธัญพืชไปแล้ว ส่วนคนที่ไม่ได้งดเว้นธัญพืชต่างก็บอกว่าตนเองอับจนเงินทอง
“แม่นางน้อย เอาอาหารธรรมดาเช่นนี้มาขายแลกหินวิญญาณ เจ้าคิดอันใดอยู่?”
“นั่นน่ะสิ หากมิใช่เพราะเจ้าอายุยังน้อย ข้าว่าเจ้าคงถูกคนรุมตีไปแล้วเป็นแน่”
“ใช่ นี่เจ้าคิดว่าจะหลอกพวกข้าได้ง่าย ๆ อย่างนั้นหรือ?”
หลิงเยว่ถูกต่อว่าจนใบหน้าร้อนผ่าว ในโลกของผู้บำเพ็ญเซียน ส่วนมากพวกเขาจะกินเนื้อสัตว์วิญญาณและผักวิญญาณเป็นอาหาร ส่วนเนื้อแกะที่นางขายนับว่าเป็นอาหารธรรมดาทั่วไปในโลกมนุษย์ เงินไม่กี่ตำลึงก็สามารถซื้อได้ แต่นี่นางเอาอาหารธรรมดา ๆ มาขายแลกหินวิญญาณ มันช่างไม่สมเหตุสมผลเอาซะเลย
[ภารกิจแรก : นำวัตถุดิบธรรมดามาทำอาหารอันโอชะเพื่อขายแลกหินวิญญาณมาให้ได้ มีเวลาจำกัดภายใน 1 วัน รางวัลตอบแทนคือ ค่าพลังวิญญาณ 100 แต้ม อายุขัย +10 วัน หากเกินกำหนดอายุขัย -1 วัน]
นี่เป็นคำสั่งของระบบยอดกุ๊ก
ตอนนี้อายุขัยของหลิงเยว่เป็นศูนย์ หากวันนี้นางทำภารกิจล้มเหลว มีหวังต้องถูกดินกลบฝังเป็นแน่!
จากชื่อของระบบและเนื้อหาของภารกิจดังกล่าว เดาไม่ยากเลยว่าจุดประสงค์สำคัญที่สุดคือให้นางใช้อาหารอันโอชะเอาชนะแดนเซียนให้ได้
นางมิได้ปฏิเสธภารกิจนี้ ถึงกับยินดีด้วยซ้ำไป เพียงแต่สภาพความเป็นจริงมันตบหน้านางต่อสายตาผู้คนมากมาย ขายไม่ได้ก็ขายไม่ได้สิ
กลิ่นหอมกรุ่นของเนื้อที่ฟุ้งกระจายยิ่งเข้มข้นขึ้นเรื่อย ๆ หากไม่กินเสียตั้งแต่ตอนนี้ต้องไหม้เป็นแน่ ดังนั้นหลิงเยว่จึงตัดสินใจกินก่อนไม้หนึ่ง แล้วค่อยคิดหาทางอีกที
เนื้อแกะย่างไม้หนึ่งถูกหยิบขึ้นมาจากตะแกรงยกขึ้นจ่อที่ปาก นางเป่าให้คลายร้อนสองสามครั้ง ก่อนจะกัดเนื้อสองชิ้นแรกเบา ๆ และดึงเข้าปาก ทันทีที่เนื้อแกะเข้าไปในปาก รสชาติเผ็ดร้อนก็แผ่ซ่านไปทั่ว ขยับเคี้ยวเล็กน้อยน้ำมันชุ่มฉ่ำก็ออกมาจากเนื้อ ทั้งสดและอร่อย ไม่มันเยิ้ม ไม่มีกลิ่นสาบ อร่อยมากจนแสงออกปาก!
แม้ว่าจะเป็นเนื้อแกะธรรมดา แต่มันก็เติบโตมาจากสถานที่ที่มีปราณเข้มข้น ได้รับปราณมาไม่น้อย รสชาติอร่อยกว่าเนื้อแกะทั้งหมดที่นางเคยกินในยุคปัจจุบันอย่างมิอาจเทียบได้!
วัตถุดิบที่ใช้ทำอาหารล้วนเป็นของธรรมดาทั่วไปแต่ยังทำให้รสชาติน่าทึ่งได้ถึงเพียงนี้ หากว่าเป็นเนื้อสัตว์วิญญาณและเนื้อสัตว์อสูรแล้วละก็ รสชาติจะน่าทึ่งเพียงใดกันนะ
หลิงเยว่กำลังเคลิบเคลิ้มกับเนื้อแกะอย่างมิอาจถอนตัวออกมาได้ นางกินไปสามไม้ติดต่อกันถึงจะหยุดลง
แปลกนัก คนในโลกแห่งนี้เป็นอันใดไปหมด
นางถึงขั้นกินให้ดูต่อหน้า สีหน้าท่าทางที่แสดงออกมาล้วนแต่จริงใจทั้งยังยั่วน้ำลายเช่นนี้ เหล่าผู้บำเพ็ญกลับเอาแต่ดมกลิ่มหอมของเนื้อย่างอย่างหลงใหล บ้างก็จ้องเนื้อแกะย่างตาเป็นมันจนน้ำลายหกแต่กลับไม่มีผู้ใดเอ่ยปากจะซื้อ!
เป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไร!
ไม่มีผู้ใดอดทนต่อของอร่อยอันหอมกรุ่นได้ หลิงเยว่ไม่เชื่อหรอกว่าหากพวกเขาได้ชิมเนื้อแกะย่างนี้กับปากตัวเองแล้วจะอดใจไม่ควักหินวิญญาณออกมาซื้อไหว!
ดังนั้นต้องให้ชิมโดยไม่คิดเงินก่อนสักสิบไม้!
“เอ๊ะ! นั่นแม่นางน้อยสาวบ้านนอกหลิงเยว่ ศิษย์ที่มาอยู่เกือบปีแล้วแต่ยังดูดซับปราณเข้าร่างกายไม่ได้ใช่หรือไม่”
ผาวฮุยพาศิษย์น้องสองคนเดินเข้ามาพลางกล่าวอย่างไม่ไว้หน้าผู้ใด
ในที่สุดคนที่ควรมาก็มาสักที หลิงเยว่คิดในใจ นางฉวยโอกาสตอนที่ทุกคนหันไปมองผาวฮุย เอาลูกกลม ๆ เม็ดหนึ่งเข้าปากตนเองอย่างรวดเร็ว
“นี่พี่ใหญ่คงยังไม่รู้กระมังว่านางเอาอาหารขยะ ๆ มาขายแลกหินวิญญาณน่ะ!”
“เหลือเวลาอีกแค่เจ็ดวันนางก็จะกลับบ้านเกิดแล้ว จะอยู่ใช้หินวิญญาณทันหรือ?”
ศิษย์น้องสองคนตะโกนกล่าวเสียงดัง ราวกับกลัวคนอื่นจะไม่ได้ยิน
เหล่าบรรดาผู้บำเพ็ญที่มามุงดูต่างก็นึกขึ้นได้ทันที สายตาของพวกเขาที่มองหลิงเยว่เต็มไปด้วยความรังเกียจและดูถูกเหยียดหยาม มิหนำซ้ำยังหัวเราะเยาะเย้ยนางอีก
“สวรรค์ช่วย โชคดีนะที่ข้าไม่ซื้อ! หากกินเนื้อย่างนางเข้าไปแล้วการบำเพ็ญของข้าถดถอยลงจะทำเช่นไร?”
“โชคดีที่ไม่ซื้อบ้าอะไรของเจ้า นี่ต้องซื้อด้วยหินวิญญาณเชียวนะ เจ้ามีปัญญาซื้อหรือ?”
ทุกคนต่างส่งเสียงหัวเราะเย้ยหยันนางและพากันตอบว่า “ปัดโธ่ ข้าไม่มีปัญญาซื้อหรอก ฮ่า ๆ ๆ”
เหตุใดเจ้าของร่างเดิมถึงยังดูดซับปราณเข้าร่างกายไม่ได้ ผาวฮุยผู้นี้ย่อมรู้ดีที่สุด!
หากไม่ใช่เพราะเขาพาพวกไปกลั่นแกล้งเจ้าของร่างเดิมทุกหนทุกแห่ง และให้พ่อของเขาที่เป็นผู้ดูแลสำนักสายนอกคอยหาเรื่องให้นางทำไม่เว้นแต่ละวัน ภายใต้ร่างกายและจิตใจที่ถูกทรมานซ้ำแล้วซ้ำเล่านี้ ลำพังแค่ใช้ชีวิตก็ยากอยู่แล้ว จะเอาจิตใจที่ไหนดูดซับปราณเข้าร่างกันเล่า
ไหนจะกฎของสำนักหลานเทียนอีก ศิษย์ที่เข้าร่วมสำนักมาแล้ว หากยังดูดซับปราณเข้าร่างกายไม่ได้ภายในเวลาหนึ่งปี ก็จะถูกส่งตัวกลับบ้าน
อีกเจ็ดแปดวันก็จะถึงเวลาที่ถูกส่งตัวกลับบ้านแล้ว เจ้าของร่างเดิมเห็นว่าไร้หนทางที่จะดูดซับปราณเข้าร่างจนไม่มีหน้ากลับไปเจอหน้าพ่อแม่ จึงเลือกที่จะฆ่าตัวตาย
จากนั้น หลิงเยว่ก็มาอยู่ในร่างนี้
“นี่ ข้ากำลังพูดกับเจ้าอยู่นะ เจ้าหูหนวกหรือไร?”
ผาวฮุยเดินเข้ามาใกล้อีก จ้องมองนางอย่างดูถูกเหยียดหยาม
ทันทีที่เขาเข้ามาใกล้ กลิ่นหอมก็โชยเข้าจมูก เขายื่นมือจะไปหยิบเนื้อย่างบนตะแกรง
“สุนัขน่ารังเกียจเช่นเจ้าไม่คู่ควรที่จะกินมัน!”
หลิงเยว่ตีมือผาวฮุย
“นี่เจ้ากล้าตีข้าหรือ! ทั้งยังว่าข้าเป็นสุนัขน่ารังเกียจอีก เจ้าอยากตายหรือ!”
ผาวฮุยง้างมือจะตบนาง แต่ยังไม่โดน จู่ ๆ สีหน้าของหลิงเยว่ก็ซีดเผือด เลือดสีแดงสดไหลออกมาจากมุมปาก ร่างของนางพลันล้มลงไปกับพื้นอย่างอ่อนแรง
เหตุการณ์อันไม่คาดคิดเกิดขึ้น
ผาวฮุยที่ง้างมือค้างอยู่งุนงงกับเหตุการณ์ตรงหน้า
เหล่าบรรดาผู้บำเพ็ญที่มุงดูอยู่ก็งุนงงไม่ต่างกัน
นี่มันต้มตุ๋นชัด ๆ
หลิงเยว่เป็นมนุษย์ธรรมดา ถูกลมฝ่ามือของผาวฮุยที่เป็นผู้อยู่ขอบเขตกลั่นลมปราณขั้นสามทำให้ได้รับบาดเจ็บ เช่นนี้คงจะสมเหตุสมผลแล้วกระมัง
สู้ไม่ได้ก็ทำให้เขาตกใจเสียเลย พวกสุนัข คิดว่าแข็งแกร่งแล้วจะรังแกผู้อ่อนแอง่าย ๆ ได้อย่างนั้นหรือ!
เลือดสีแดงสดไหลออกมาจากมุมปากของหลิงเยว่มากขึ้นเรื่อย ๆ หญิงสาวนอนตาเหลือก ร่างกายชักกระตุกราวกับได้รับบาดเจ็บภายในอย่างสาหัสก็มิปาน
ทักษะการแสดงอันยอดเยี่ยมนี้ทำให้บรรดาผู้บำเพ็ญที่มุงดูอดสงสัยในตัวเองและผาวฮุยไม่ได้
เมื่อเผชิญหน้ากับเหล่าบรรดาผู้บำเพ็ญที่มีความสุขบนความทุกข์คนอื่นเช่นนี้ อีกทั้งสีหน้าของพวกเขาก็กำลังบอกผาวฮุยว่า ‘เจ้าก่อเรื่องใหญ่ขึ้นแล้ว’ ผาวฮุยพลันตื่นตระหนกขึ้นทันที
หากหลิงเยว่ล้มตายไปต่อหน้าผู้คนมากมายเช่นนี้ ตนก็จะถูกกล่าวหาว่าฆ่าสหายร่วมสำนัก ต่อให้ไม่ต้องตาย แต่ก็อย่าหวังว่าจะได้อยู่ในสำนักหลานเทียนต่อเลย หากเรื่องเกิดในที่ลับ พ่อของเขายังสามารถช่วยพลิกดำให้เป็นขาวได้
ทว่าตอนนี้อยู่ต่อหน้าสายตาผู้คนมากมาย ต่อให้เป็นพ่อของเขาก็มิอาจปกป้อง!
“ข้ายังไม่ได้โดนตัวนางเลย นางเสแสร้ง!”
ผาวฮุยเป็นคนที่ภายนอกดูเข้มแข็ง แต่ภายในจิตใจกลับเป็นคนขี้ขลาดตาขาว เขาเดินอ้อมตะแกรงย่างไป ตั้งใจจะใช้ปลายเท้าเขี่ยร่างหลิงเยว่สองสามครั้ง
ทว่าเมื่อปลายเท้าผาวฮุยสัมผัสอีกฝ่าย เลือดหญิงสาวพลันไหลออกมาอย่างไร้ทีท่าว่าจะหยุด จนพื้นดินใต้ร่างหลิงเยว่ถูกย้อมด้วยสีแดง
ครั้งนี้ผาวฮุยถึงกับตกตะลึงพรึงเพริด
ศิษย์น้องทั้งสองเห็นว่าพี่ใหญ่ของตนกำลังก่อเรื่องใหญ่ขึ้น พวกเขาจึงแอบเดินหลบหนีไป
ผาวฮุยเองก็อยากหนีเช่นกัน แต่เขากลัวว่าหลิงเยว่จะตายขึ้นมาจริง ๆ
เขาจึงรีบควักยาลูกกลอนรักษาอาการบาดเจ็บออกมาจากถุงอย่างลุกลี้ลุกลน ก่อนจะยัดยาลูกกลอนทั้งหมดเข้าปากหลิงเยว่ที่เลือดกำลังไหลไม่หยุด เขาพึมพำกับตัวเอง “ข้าไม่เกี่ยว! ข้าไม่ได้ทำ นางเสแสร้ง กำลังเสแสร้ง…”
เมื่อผาวฮุยยัดยาลูกกลอนเสร็จก็รีบกระถดตัวถอยหลัง ก้าวเท้าวิ่งหนีไป
ทุกการกระทำล้วนแต่เป็นที่ประจักษ์ต่อสายตาเหล่าบรรดาผู้บำเพ็ญที่มามุงดูทั้งสิ้น มิต้องไถ่ถามหาความจากผู้อื่นเลย
หลิงเยว่ที่ถูกยัดยาลูกกลอนกำใหญ่เข้าปากในตอนนี้รู้สึกเจ็บปวดใจ ยาลูกกลอนที่นี่ช่างประหลาดยิ่งนัก พอเข้าปากก็ละลายทันที นางจะเก็บเอาไว้ใช้ภายหลังก็ไม่ได้!
ทว่าเมื่อเล่นละครตบตามาถึงขั้นนี้แล้ว ตนขอแกล้งนอนต่ออีกหน่อยก็แล้วกัน รอให้ยาลูกกลอนออกฤทธิ์ก่อนแล้วค่อยลุก
“เนื้อย่างนี่ยังขายอยู่หรือไม่?”
น้ำเสียงอันแจ่มชัดของชายหนุ่มผู้หนึ่งดังขึ้น
“ขาย ๆ ๆ!”
หลิงเยว่ที่ ‘ได้รับบาดเจ็บสาหัส’ อยู่ในตอนนี้กลับลุกพรวดขึ้น ก่อนจะรีบหยิบเนื้อไม้ใหม่ออกมาจากตะกร้าแล้วย่างบนตะแกรงอย่างรวดเร็ว
“ข้าย่างไม้ใหม่ให้เจ้าก็แล้วกัน ยี่สิบไม้แลกด้วยหินวิญญาณระดับล่างเพียงก้อนเดียวเท่านั้น รับรองว่าอร่อยคุ้มค่าแน่นอน”
ในขณะที่กล่าว หลิงเยว่เงยหน้าขึ้น นางสูดลมหายใจเย็นเข้าปอดด้วยความร้อนรนจนเกือบสำลักน้ำแตงโมในปาก
ชายหนุ่มตรงหน้ามีดวงตาสุกสกาว เพียงมองแค่แวบเดียวก็เหมือนหลุดเข้าไปอยู่ในวังวนดวงดารานั้น ใบหน้าอันประณีตราวกับถูกสลักอย่างละเอียด ร่างสูงโปร่งในชุดคลุมยาวสีดำขับผิวขาวราวหิมะของเขา พร้อมกลิ่นอายเย็นยะเยือก
แข็งแกร่งยิ่งนัก!
ทันทีที่เขาย่างกรายมาถึง ฝูงชนที่กำลังส่งเสียงเอะอะโวยวายเมื่อครู่พลันเงียบกริบลงในทันที
หลิงเยว่ก้มหน้ามองตัวเอง เสื้อผ้าเปรอะเปื้อนฝุ่น อีกทั้งคอเสื้อยังเลอะน้ำแตงโม
นางรีบเอามือปัดชุดอย่างทุลักทุเล
แตงโมที่ผลิตออกมาจากร้านค้าระบบไม่เพียงมีสีแดงเหมือนเลือดเท่านั้น แต่ยังเช็ดออกยากอีกด้วย
ชายหนุ่มมองดูกองเลือดบนพื้นที่อยู่ด้านหลังหลิงเยว่เงียบ ๆ ด้วยความฉงน
เหล่าบรรดาผู้บำเพ็ญที่มุงดูอยู่มองตามสายตาชายหนุ่มไปที่กองเลือดนั้น แม้พวกเขาจะสงสัยว่าหลิงเยว่เป็นนักต้มตุ๋นแต่ก็ไม่มีหลักฐาน เนื่องจากกองเลือดนั้นมีกลิ่นคาวออกมาจริง ๆ
ทว่าหลิงเยว่กลับนิ่งผิดปกติ ต่อให้เหล่าบรรดาผู้บำเพ็ญจะตรวจสอบว่าเลือดที่ไหลออกมาจากปากนางเป็นเลือดจริงหรือไม่นางก็ไม่กลัว เพราะความสามารถในการทำของปลอมให้เหมือนของจริงเป็นฝีมือชั้นยอดอยู่แล้ว!
[1] งดเว้นธัญพืช หมายถึง วิธีบำเพ็ญเพียรโดยการงดกินอาหาร ซึ่งหลีกเลี่ยงการกินธัญพืชทั้งห้าชนิด ได้แก่ ข้าว ข้าวโพด ข้าวฟ่าง ข้าวสาลี และถั่ว