ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน - บทที่ 10 เจ้าเป็นสัตว์ประหลาดกินปราณแบบไหนกัน?
บทที่ 10 เจ้าเป็นสัตว์ประหลาดกินปราณแบบไหนกัน?
บทที่ 10 เจ้าเป็นสัตว์ประหลาดกินปราณแบบไหนกัน?
ตุบ!
“ท่านอาจารย์ โปรดรับการคำนับของข้าในฐานะศิษย์ด้วย!”
ทันทีที่ชิงยวนมาถึง ก่อนที่นางจะมีเวลาทักทายผู้ใด หลิงเยว่ที่หัวไวพลันคุกเข่าลงพร้อมกับเอาหัวโขกคำนับพื้นอย่างจริงใจ
เสียงหัวโขกนั้นฟังดูแล้วเจ็บแน่ ๆ
หลิงเยว่ซึ่งหน้าผากจรดอยู่กับพื้น เริ่มแสดงสีหน้าเจ็บปวด
บรรยากาศรอบด้านเปลี่ยนเป็นหนักอึ้ง
หลิงเยว่รู้สึกได้ว่าทุกคนกำลังมุ่งความสนใจมาที่ตน
เป็นไปได้หรือไม่ว่าการคุกเข่าของนางจะทำให้ดูไม่ดี
หลิงเยว่รู้สึกไม่สบายใจ นี่เป็นครั้งแรกที่ตนคุกเข่าให้กับคนอื่น จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้หากมันจะไม่ดีพอ มีแต่สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่านางต้องทำใจนานแค่ไหนก่อนที่จะตัดสินใจคุกเข่าลงแบบนี้
แต่เพื่อที่จะได้มาซึ่งผู้หนุนหลังรายใหญ่ในอนาคต นางจำเป็นต้องทุ่มเทให้สุดตัว!
“ชิงยวนดูสิว่าเสี่ยวเยว่จริงใจแค่ไหน เหตุใดเจ้ายังไม่รีบให้ลุกขึ้นอีกล่ะ?”
แม้ว่าเล่อเหอจะมีรอยยิ้มบนใบหน้าของเขา แต่ชิงยวนก็เข้าใจว่าวันนี้นางจะต้องยอมรับหลิงเยว่เป็นลูกศิษย์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ชิงยวนไม่ได้โกรธ แต่กลับรู้สึกสงสัยเกี่ยวกับหลิงเยว่คนนี้แทน ลูกศิษย์สำนักที่เจ้าสำนักเล่อเหอและสยงฉีเลวี่ยพยายามแนะนำในเวลาเดียวกันต้องมีอะไรไม่ธรรมดามากแน่ ๆ
สยงฉีเลวี่ยมองไปที่หลิงเยว่ด้วยความไม่เต็มใจ หากไม่ใช่เพราะว่ายอดเขาบ่มเพาะกายามีทรัพยากรไม่พอปรนเปรอสัตว์ประหลาดที่สวรรค์ประทานมาผู้นี้ได้ เขาคงจะรับนางเป็นศิษย์อีกคนไปแล้ว!
“ลุกขึ้นเถอะ”
ชิงยวนช่วยพยุงหลิงเยว่ขึ้น
หลิงเยว่ถูกพยุงขึ้นมาด้วยพลังที่มองไม่เห็น ปราณอันอ่อนโยนผสานเข้าสู่ร่างกายพัดผ่านไปตามผิวหนัง แก่นปราณพฤกษาของนางเริ่มมีปฏิกิริยาอย่างมากทันที
“หืม?”
ชิงยวนขมวดคิ้วด้วยความประหลาดใจ
“แก่นปราณพฤกษาของเจ้ากำลังดูดกลืนปราณพฤกษาของข้าหรือ?”
หลิงเยว่อยากจะบอกว่านางไม่ได้ตั้งใจ แต่ตอนนี้นางควบคุมความบ้าคลั่งของแก่นปราณพฤกษาในร่างของตนไม่ได้แล้ว
“ข้าอยากจะรู้เหมือนกันว่ามันจะกินได้ขนาดไหน!”
ทันใดนั้น กระแสปราณพฤกษาพลันถูกส่งเข้าสู่ร่างกายของหลิงเยว่อย่างต่อเนื่อง
คนหนึ่งถ่ายเทและอีกคนดูดกลืนอย่างบ้าคลั่งตั้งแต่เย็นจนถึงดึก
เล่อเหอและอีกสามคนก็ไม่ได้จากไปเช่นกัน พวกเขายังคงนั่งกินหม้อไฟไปพลางดูความสนุกไปพลาง
จนกระทั่งเช้าวันรุ่งขึ้น แก่นปราณพฤกษาของหลิงเยว่ก็หยุดกลืนกิน นางรู้สึกราวกับว่าตนได้กินอาหารมื้อใหญ่และร่างกายพลันเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังปราณ!
[ท่านเลื่อนเป็นขอบเขตกลั่นลมปราณขั้นสี่ได้สำเร็จ ได้รับรางวัล ค่าพลังวิญญาณ +500 แต้ม อายุขัย +10 วัน ค่าพลังวิญญาณคงเหลือ 3,760 แต้ม อายุขัยคงเหลือ 123 วัน]
ด้วยความดีใจอย่างสุดซึ้ง ทำให้หลิงเยว่พลันส่งยิ้มร่าออกมาอย่างไม่ทันรู้ตัว
ชิงยวนมองดูหลิงเยว่ด้วยสายตาที่ราวกับว่านางกำลังมองสัตว์ประหลาดกินปราณตัวใหญ่
“เจ้าดูดกลืนพลังปราณไปถึงหนึ่งในสิบของผู้บำเพ็ญขอบเขตบำเพ็ญเต๋าขั้นต้นแต่กลับทำได้เพียงเลื่อนขั้นไปสู่ขอบเขตกลั่นลมปราณขั้นสี่เท่านั้น แต่เจ้ากลับหัวเราะหรือ?”
เล่อเหอใช้ความจริงตบหน้าหลิงเยว่อย่างแรงและรวดเร็ว รอยยิ้มบนใบหน้าของนางแข็งค้างทันที
“หากเป็นผู้บำเพ็ญปกติคงจะเลื่อนขั้นไปสู่ระดับเจ็ดหรือแปดของขอบเขตกลั่นลมปราณไปแล้ว!”
สยงฉีเลวี่ยเอาความจริงอันโหดร้ายฟาดอีกรอบ
หลิงเยว่ที่ยิ้มอย่างสดใสเมื่อครู่พลันรู้สึกเศร้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อนางเห็นการแสดงออกของชิงยวนว่า ‘เลี้ยงไม่ไหว’ ยิ่งเศร้ามากขึ้นไปอีก
“อาจารย์! ข้าสาบานว่าข้าจะขยันหมั่นเพียรฝึกฝนให้หนักกว่าเดิมเป็นร้อยเท่าพันทวีในอนาคต จะไม่ทำให้ท่านผิดหวังที่รับข้าเป็นลูกศิษย์ของท่าน และทำให้ท่านภาคภูมิใจในตัวข้าได้แน่นอน!”
หลิงเยว่สาบานทันที
ครืน!!
เสียงฟ้าร้องดังขึ้นบนท้องฟ้าทำให้หลิงเยว่ตกใจมาก
แม่จ๋า! นางลืมไปได้อย่างไรว่าในแดนเซียนนี้ไม่สามารถสาบานส่ง ๆ ได้โดยไม่ยั้งคิด เพราะถ้าไม่สามารถปฏิบัติตามคำสาบานของตนเอง ผู้สาบานจะถูกสายฟ้าฟาด!
ตอนนี้มันสายเกินไปหรือไม่ที่นางจะคืนคำสาบาน
ชิงยวนคลี่เรียวปาก และด้วยรอยยิ้มนี้ ดอกไม้ทั่วทั้งภูเขาก็บานสะพรั่ง ทะเลดอกไม้เบ่งบานในสายตาของหลิงเยว่ อาจารย์ของนางอย่างกับเป็นเทพธิดาที่จุติลงมายังโลกท่ามกลางทะเลบุปผา
“หากเจ้าสามารถเอาชีวิตรอดจากการประลองชี้ชะตาที่จะถึงในหนึ่งเดือนข้างหน้าและเข้าสู่ยี่สิบอันดับแรกในการแข่งขันของสำนักครั้งถัดไป เจ้าจะได้รับสิทธิ์เป็นศิษย์สายตรงของข้า แต่สำหรับตอนนี้ ข้าจะยอมรับเจ้าเป็นศิษย์รอลงทะเบียนสายในของยอดเขาโอสถของข้าไปก่อน”
ชิงยวนโยนป้ายหยกสีเขียวให้หลิงเยว่ก่อนจะโค้งคำนับให้เล่อเหอแล้วหายตัวไป
ข้อกำหนดนั้นสูงมาก ถ้าหลิงเยว่ต้องการเป็นศิษย์สายตรงของนาง หลิงเยว่จะต้องแสดงความสามารถที่แท้จริงออกมาให้เห็นก่อน
หลิงเยว่ถือป้ายหยกแน่น นางจะต้องพยายามให้หนัก!
แน่นอนว่าตนจะไม่มีวันลืมความตั้งใจเดิมนี้เด็ดขาด
หลิงเยว่ซึ่งเพิ่งอาศัยอยู่ในหุบเขาระลอกคลื่นเป็นเวลาสองวันก็ได้ย้ายที่อยู่อีกครั้ง นางย้ายไปอยู่ที่ยอดเขาโอสถแทน กลิ่นหอมของยาวิเศษที่นี่หนาแน่นกว่า ‘บ้าน’ ล่าสุดของนางมาก และกลิ่นอายของศิษย์สายในที่นี่ก็ดูน่าเกรงขามมากกว่าพวกศิษย์สายนอกอย่างเทียบกันไม่ได้
นางยิ้ม ก่อนถูกหยุดขณะที่กำลังจะเข้าไป
“นี่! ศิษย์สายนอก นี่ไม่ใช่ที่ที่เจ้าควรเข้ามา!”
คำพูดที่รุนแรงจากชายตรงหน้า ทำให้หลิงเยว่ก้มศีรษะลงโดยไม่รู้ตัวและมองดูเสื้อผ้าของนาง เสื้อผ้าของนางไม่ได้เหมือนกับพวกศิษย์สายนอก แต่ก็ไม่ได้ดูดีไปกว่ากันมากนัก
หลิงเยว่ไม่ได้พูดอะไร เพียงแสดงป้ายหยกสีฟ้าให้กับชายที่อยู่ตรงหน้าซึ่งสูงกว่านางหนึ่งช่วงหัว
“ศิษย์รอลงทะเบียนสายในของยอดเขาโอสถ?”
ชายคนนั้นพึมพำเบา ๆ ด้วยน้ำเสียงงุนงงและไม่อยากจะเชื่อ ไม่เคยมีศิษย์รอลงทะเบียนคนใดได้อยู่ในยอดเขาหลักเลย พวกเขาทั้งหมดไม่เคยผ่านข้อกำหนดในการเข้าร่วมการแข่งขันประจำปีตามความสามารถของพวกเขา แต่ทำไมสาวน้อยคนนี้ถึงมีสิทธิ์ได้เข้ามาอยู่ก่อนได้?
“ข้าเข้าไปได้หรือยังศิษย์พี่?” หลิงเยว่ถามด้วยน้ำเสียงเริงร่า
ชายคนนั้นโยนป้ายหยกกลับไปให้หลิงเยว่แล้วเอามือไพล่หลัง เพียงแค่มองที่แผ่นหลังก็ทราบได้ทันทีว่าเขารู้สึกไม่สบอารมณ์นัก
หลิงเยว่ไม่ได้รู้สึกอะไรมาก ท้ายที่สุดนางใช้เส้นสายเพื่อให้ได้เข้ามาอยู่ที่นี่ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องปกติที่จะถูกปฏิบัติเช่นนี้
การปรากฏตัวของศิษย์สายนอกที่ยอดเขาโอสถดึงดูดความสนใจของผู้คนมากมาย แต่พวกเขาเพียงแค่มองนางอย่างเฉยเมยแวบเดียวก่อนจะแยกย้ายไปทำธุระของตน
หลิงเยว่ใช้เวลาเกือบทั้งวันเพื่อขึ้นไปที่หอกลั่นโอสถใกล้กับยอดเขา มีหอกลั่นโอสถอยู่ทุกชั้นของยอดเขาหลัก ยิ่งระดับของผู้กลั่นโอสถสูงเท่าไหร่ ห้องที่พวกเขาอาศัยอยู่ก็จะยิ่งสูงขึ้นเท่านั้น
หลิงเยว่ยืนอยู่ที่หอกลั่นโอสถหมายเลขหนึ่ง ก่อนยกมือขึ้นเคาะ
“ข้าแนะนำให้เจ้าอย่ารบกวนหลงหว่านโหรวในช่วงเวลาสำคัญเมื่อนางกำลังกลั่นโอสถ”
เสียงผู้ชายที่อ่อนโยนหยุดหลิงเยว่จากการเคาะประตูได้สำเร็จ ก่อนหันไปมองชายที่ออกมาจากหอกลั่นโอสถหมายเลขสอง
ชายผู้นี้ดูอายุน้อยมาก มีรูปลักษณ์อ่อนเยาว์ นิสัยอ่อนโยนแต่แฝงด้วยความแปลกแยก เขาสวมชุดคลุมสีน้ำเงินเพื่อแสดงตัวตนของเขาในฐานะศิษย์สายตรงของยอดเขาโอสถ
เสื้อผ้าของศิษย์สายในของยอดเขาโอสถเป็นเสื้อคลุมสีเขียว ในขณะที่ศิษย์สายตรงจะสวมเสื้อคลุมสีฟ้า เสื้อผ้าลินินหยาบสีขาวนวลของหลิงเยว่ดูแล้วไม่สมควรที่จะมายืนอยู่ที่นี่เลย
ที่แท้ชายคนนี้ก็คือศิษย์พี่ร่วมอาจารย์ของนางในอนาคต!
หลิงเยว่ส่งยิ้มหวานหยดย้อยกลับไป เพียงคิดว่ารอยยิ้มของตนคงดูหวานชื่นน่าเอ็นดู แต่ความเป็นจริงในสายตาของว่านอวี้เฟิงมองนางราวกับคนโง่
“เจ้าต้องการอะไรจากหลงหว่านโหรว?”
หลิงเยว่แสดงป้ายหยกสีฟ้าอย่างเชื่อฟัง
ว่านอวี้เฟิงตกตะลึงเมื่อเห็นป้ายหยกที่เคยเป็นของชิงยวน จากนั้นจึงเริ่มอ่านข้อมูลข้างใน เริ่มครุ่นคิดด้วยความสงสัย แต่เขาก็ปกปิดมันอย่างรวดเร็ว
“การแข่งขันในสำนักกำลังจะมาถึงในเร็ว ๆ นี้ หลงหว่านโหรวจะไม่ออกจากหอกลั่นโอสถในเวลาอันสั้น เจ้า…”
ว่านอวี้เฟิงต้องการบอกว่าเขาจะจัดที่อยู่อาศัยให้หลิงเยว่ แต่ปัจจุบันเตากลั่นโอสถของเขาก็ต้องดูแลอย่างใกล้ชิดเช่นกัน
“ตอนนี้เจ้าเข้าไปอยู่ในหอกลั่นโอสถหมายเลขสามก็แล้วกัน”
เมื่อเขาพูดจบ หอกลั่นโอสถหมายเลขสามก็เปิดออก และป้ายหยกอีกป้ายก็ตกลงไปในมือของหลิงเยว่ ว่านอวี้เฟิงกลับไปที่หอกลั่นโอสถด้านหลังเขาทันที
หลิงเยว่ “…”
ขนาดย้ายมาอยู่ที่ใหม่นางก็ยังคงเป็นเหมือนคนที่ไม่มีใครสนใจอีกแล้ว แต่นี่เป็นสิ่งที่หลิงเยว่ต้องการพอดี หลังจากนี้นางจะต้องยุ่งมากเช่นกัน
หลิงเยว่ปิดประตูและทิ้งตัวลงนอน ณ จุดนั้นโดยไม่ได้สำรวจสภาพภายในห้องด้วยซ้ำ
“ระบบ ข้าต้องการอ่านตำราอาหารวิญญาณระดับต้น!”
ตำราปกสีแดงเก่า ๆ ค่อย ๆ คลี่ออกในใจของหลิงเยว่
ทุกสิ่งในโลกนี้กินได้!
หลิงเยว่ไม่เห็นด้วยกับคำนำเจ็ดตัวอักษรที่ล้างสมองนี้มากนัก แต่ร่างกายยังคงสั่นเทาด้วยความตื่นเต้น
ตำราพลิกไปยังหน้าสอง ก่อนจะพลิกไปยังหน้าที่สามและสี่อย่างรวดเร็ว… เมื่อความเร็วในการพลิกตำราเพิ่มขึ้น ข้อความและภาพประกอบที่อัดแน่นบนกระดาษก็ดูเหมือนจะมีชีวิตขึ้นมา ซึ่งมันพรั่งพรูหลอมรวมเข้ากับจิตสำนึกของหลิงเยว่
หลิงเยว่นอนอยู่บนพื้นหลับตาและหายใจถี่รัว หน้าผากเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ ก่อนที่เม็ดเหงื่อจะไหลลงมาจากใบหน้า และทำให้เสื้อผ้านางเปียกโชก
สีหน้าสลับจากความเจ็บปวดเป็นความตื่นเต้น จากนั้นก็แปลกใจ ประหลาดใจ และตกใจ… สีหน้าของนางเปลี่ยนสลับไปมารวดเร็วมากจนแสนจะประหลาด
ดินแดนลึกลับแห่งความเป็นอมตะได้เปิดม่านเล็ก ๆ ในใจของนางแล้ว!