ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน - บทที่ 101 ใช้ค่าพลังวิญญาณไปหนึ่งล้านแต้ม ได้แค่นี้เองหรือ?
บทที่ 101 ใช้ค่าพลังวิญญาณไปหนึ่งล้านแต้ม ได้แค่นี้เองหรือ?
บทที่ 101 ใช้ค่าพลังวิญญาณไปหนึ่งล้านแต้ม ได้แค่นี้เองหรือ?
หลิงเยว่พลันกลืนน้ำลาย เมื่อต้องเผชิญกับสายตาจากคนกว่าร้อยคน นางจึงหลุบตาต่ำลง แล้วค่อยพยักหน้ารับด้วยความลำบากใจ
“ข้าเป็นคนย่างเองเจ้าค่ะ ที่จวนเจ้าเมือง”
“แสดงว่าผู้คนเหล่านั้นมารวมตัวกันที่หน้าจวนเจ้าเมืองเพราะกลิ่นสัตว์อสูรย่างหรือ?”
“แค่ได้กลิ่นหอม ก็รู้สึกมีพลังและกระปรี้กระเปร่าขึ้นเยอะเลยละ!”
“ข้ายังคิดว่าพวกเขาโกหกอยู่เลย ที่แท้มันเป็นเรื่องจริง”
เหล่าสหายบางคนมองดูชิ้นเนื้อสัตว์อสูรย่างที่ถูกแบ่งไว้ในถ้วย แต่ละคนพยายามหักห้ามใจไม่ให้รีบกิน ก่อนจะแอบซ่อนเนื้อย่างบางส่วนไว้ในถุงเก็บของ
แน่นอนว่าไม่ใช่แค่คนเดียวที่ทำเช่นนี้ ด้วยทุกคนสามารถเข้าใจกันโดยไม่ต้องพูดอะไร
เหลยซามองขาหมูย่างในมือที่ถูกกินไปแล้วเกือบหนึ่งในสาม เขาอยากจะเก็บไว้เหมือนคนอื่นเช่นเดียวกัน แต่สุดท้ายก็เกรงอำนาจของหัวหน้ากอง เลยต้องกินต่ออย่างปวดใจ
หลิงเยว่เห็นดังนั้นมุมปากก็กระตุก
“พวกท่านรีบกินเถอะเจ้าค่ะ หากเก็บไว้นาน สรรพคุณก็จะยิ่งลดลง”
แม้คำพูดนี้จะเป็นคำลวง แต่กลับได้ผลอย่างดีเยี่ยม ทำให้เหล่าสหายในกองรีบหยิบมันออกมาจากถุงเก็บของ ด้วยกลัวว่าหากกินช้ากว่านี้ สรรพคุณของโอสถจะหมดฤทธิ์ลง
หลิงเยว่เลือกที่จะย่างเนื้อสัตว์อสูรที่มีสรรพคุณในการรักษาโดยเฉพาะ เพราะนางตั้งใจจะช่วยเหลือเหล่าทหารชุดแดงผู้ปกป้องเมืองฮั่วหยาง ทหารเหล่านี้ได้รับโอสถฟื้นฟูเพียงเล็กน้อยเท่านั้นในแต่ละเดือน จะไปเพียงพอต่อการรักษาบาดแผลจากการต่อสู้ได้อย่างไร?
คนส่วนใหญ่เลือกที่จะใช้ปราณในการบำรุงรักษาอาการบาดเจ็บภายในอย่างช้า ๆ แต่บางครั้งบาดแผลยังไม่ทันหายดี สัตว์อสูรที่อาละวาดก็กลับมาเยือนอีกคราเสียแล้ว บาดแผลเก่าทับถมบาดแผลใหม่สะสมมาตลอดหลายปี ส่งผลให้แม้จะมีประสบการณ์การต่อสู้มากมาย แต่การฟื้นฟูกลับช้าลง
หลังจากกินอาหารเสร็จ เมื่อรวมเข้ากับการใช้ปราณในการรักษา จะยิ่งได้ผลรักษาดียิ่งขึ้น
แล้วนางก็ยังอยู่ที่นี่ จะให้พวกเขาอดอยากได้อย่างไร?
“หากพวกท่านออกนอกเมืองแล้วเจอสมุนไพรวิญญาณเหล่านี้ ก็เก็บกลับมาได้ ข้าจะทำให้พวกท่านกินเองเจ้าค่ะ”
หลิงเยว่มอบภาพวาดสมุนไพรระดับต่ำให้กับเหลยซา กระดาษที่ใช้มีความหนามาก แต่ละแผ่นได้จดบันทึกสภาพแวดล้อมและรูปร่างหน้าตาของสมุนไพรวิญญาณ รวมไปถึงเขียนสรรพคุณเอาไว้อย่างละเอียด
“พยายามทำความคุ้นเคยให้เร็วที่สุดนะเจ้าคะ เผื่อไว้ให้คนในกองอื่นได้ดูด้วย เมื่อถึงเวลาแล้ว หากผู้ใดอยากเรียนรู้ก็มาหาข้าได้เลยนะเจ้าคะ”
ประโยคหลังต่างหากที่เป็นประเด็นสำคัญ แม้ว่าแต่ละกองจะมีเพียงหนึ่งหรือสองคนที่เรียนรู้ แต่ที่เมืองก็มีทั้งหมด หนึ่งร้อยแปดสิบหกกองทหาร หากลองใคร่ครวญดูก็จะรู้ว่านั่นน่าเชื่อถือกว่าการมีนักกลั่นโอสถเพียงสิบคนนัก
หลิงเยว่กำลังแอบชื่นชมในสติปัญญาอันเฉียบแหลมของตนเองอยู่ไม่น้อย ในขณะที่กำลังชื่นชมอยู่นั้น นางก็ไม่ได้สังเกตเห็นการเคลื่อนไหวของสหายหญิงในกองทหารที่อยู่ใกล้ที่สุด ก่อนเด็กสาวจะถูกอีกฝ่ายคว้าเข้าไปกอด
“จากนี้ไปเจ้าคือน้องสาวคนสนิทของข้า!”
หลิงเยว่แทบหายใจไม่ออกเพราะถูกกอดรัดอย่างกะทันหัน
“พี่ชาย ช่วยข้าด้วยเจ้าค่ะ!”
หลิงเยว่ยื่นมือออกไป พลางส่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือที่อู้อี้ นั่นยิ่งทำให้ผู้คนในบริเวณหัวเราะกันเสียยกใหญ่
เมืองฮั่วหยางดูเหมือนจะมีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย หลังจากการปรากฏตัวของหลิงเยว่
ส่วนระบบที่ได้รับค่าพลังวิญญาณหนึ่งล้านแต้มก็ทำหน้าที่ของตนเองอย่างเต็มที่ ในการส่งข่าวความปลอดภัยในตอนนี้ของหลิงเยว่ออกไปให้สหายของนางทราบ
เรือบินที่มุ่งหน้าสู่สำนักจ้านเจี้ยน ทะยานผ่านชั้นเมฆอย่างรวดเร็ว แต่แล้วความเร็วก็ชะลอตัวลงอย่างกะทันหัน
แทบจะในเวลาเดียวกัน บนเรือบินผู้คนที่กำลังบำเพ็ญต่างลืมตาขึ้นในเวลาไล่เลี่ยกัน
โม่จวินเจ๋อออกจากห้องด้วยความงุนงง ไม่อยากเชื่อเลยว่าตนเองหลับไปตอนกำลังบำเพ็ญ ไม่เพียงแค่นั้น เขายัง… ฝันถึงหลิงเยว่อีกด้วย
“เอ๊ะ ๆ ๆ พวกท่านฝันถึงศิษย์น้องห้าหรือไม่ ข้าฝันถึงนางแล้ว!”
ติงหลิวหลิ่วร้องเสียงดัง
“เจ้า… ฝันถึงนางด้วยหรือ? นางบอกเจ้าหรือไม่ว่าตอนนี้ปลอดภัยดี และบอกว่าจะพบกันในอีกหนึ่งปีข้างหน้าใช่หรือไม่?”
โม่จวินเจ๋อถามติงหลิวหลิ่วเพื่อความแน่ใจ และได้รับคำตอบยืนยันจากว่านอวี้เฟิง
“ศิษย์น้องห้าก็พูดเช่นนี้กับเจ้าด้วยหรือ?”
ในฐานะผู้บำเพ็ญ พวกเขาแทบจะไม่นอน ไม่ต้องพูดถึงการหลับฝัน และยิ่งไปกว่านั้นคือการที่คนทั้งหมดถูกดึงเข้าไปในฝันเดียวกัน
นี่ชัดเจนว่ามีคนใช้วิชาเพื่อเข้าฝันพวกเขาทั้งหมดพร้อมกัน
“ศิษย์น้องหลิงเรียนรู้วิชาเข้าฝันได้ตั้งแต่เมื่อใดกัน และเหตุใดทั้งที่เพิ่งเรียนก็เก่งกล้าขนาดนี้แล้วเล่า?” อวี้เจินไม่อยากเชื่อเลย
“เข้าฝันของข้าด้วย”
เมื่อชิงยวนพูดจบ เรือทั้งลำก็เงียบสงัด
เก่งกาจเกินไปเสียแล้ว!
ชิงยวนนั้นอยู่ในระดับต้นของขั้นบำเพ็ญเต๋าเชียวนะ!
ดังนั้นวิชาเข้าฝันนี้จึงไม่ได้มาจากหลิงเยว่เอง
หลังจากเกิดเรื่องราวที่หมู่บ้านต้าสี่ ชิงยวนจึงเลือกที่จะนำกลุ่มด้วยตนเอง
ด้วยความสามารถของหลิงเยว่ที่อยู่ในขอบเขตกลั่นลมปราณขั้นที่แปดนั้น จะเป็นไปได้อย่างไรที่นางจะสามารถเข้าฝันคนจำนวนมากพร้อมกันเช่นนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับชิงยวนที่อยู่ในขั้นต้นของขอบเขตบำเพ็ญเต๋า?
เป็นไปไม่ได้โดยสิ้นเชิง!
“พวกเจ้าฝันกันหรือไม่?”
เสียงดนตรีอันไพเราะและคำพูดอันลึกลับดังก้องมาจากท่ามกลางเมฆหมอก
ผู้คนบนเรือบินต่างพยักหน้าโดยไม่รู้ตัว
“ท่านบรรพจารย์ คงไม่ได้ถูกหลิงเยว่เข้าฝันเช่นกันกระมัง?” ชิงยวนกล่าว ขณะที่สีหน้าซีดลงอย่างเห็นได้ชัด
“อืม…”
บรรพจารย์เล่อเหอแสดงสีหน้าไม่พอใจก่อนจะฉีกมิติลงมายังเรือบิน
เขาควรเดาได้ตั้งแต่แรกแล้วว่าคนที่สามารถควบคุมราชาผีนิกายอสุภะได้ต้องไม่ใช่คนธรรมดา แต่ไม่คาดคิดว่าคนคนนี้จะไม่เพียงไม่ใช่คนธรรมดา แต่กลับเป็นคนที่แข็งแกร่งมากกว่าเขาเสียอีก
กลอุบายในการเข้าฝันนี้ ไม่ได้เป็นแค่การข่มขวัญ แต่ยังเป็นการท้าทายและประกาศสงครามเสียด้วย!
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ สีหน้าของเล่อเหอก็ยิ่งแย่ลงไปอีก ราชาผีนิกายอสุภะเป็นเพียงทาสรับใช้ตัวเล็ก ๆ คงไม่มีทางทำอะไรเขาได้
“แต่หากเป็นการข่มขวัญ เหตุใดหลิงเยว่จึงนัดหมายในอีกหนึ่งปีข้างหน้าเล่า”
นี่ก็เป็นสิ่งที่ทุกคนคาดเดาไม่ได้ หากไม่ใช่ตัวของหลิงเยว่แล้ว เหตุใดถึงนัดหมายอีกหนึ่งปีข้างหน้า และอีกหนึ่งปีข้างหน้าจะเกิดสิ่งใดขึ้น?
เรื่องนี้ช่างยากจะคาดเดา
“พอแล้ว พวกเจ้าจงลงแข่งขันกันอย่างสบายใจเถิด ข้าจะต้องหาตัวคนบงการที่อยู่เบื้องหลังออกมาให้ได้ ช่างกล้ายั่วยุข้าเช่นนี้!”
เล่อเหอเอ่ยด้วยความโกรธเกรี้ยวแล้วจากไป
ก็ดีเหมือนกัน เขาเพิ่งจะบ่นว่าช่วงนี้ไม่มีคู่ต่อสู้ รู้สึกเบื่อหน่ายพอดี!
หลิงเยว่ไม่รู้เลยว่าตนเองได้ใช้ค่าพลังวิญญาณหนึ่งล้านแต้มเพื่อการส่งข่าวสารบอกว่านางยังปลอดภัย แต่ระบบดันทำเรื่องวุ่นวายใหญ่โตขึ้นมาเสียได้ นั่นทำให้พวกพ้องยิ่งเป็นห่วงสถานการณ์ของเด็กสาวมากกว่าเดิม
ระบบไม่ใช่คน จึงไม่เข้าใจสภาพจิตใจที่ซับซ้อนของมนุษย์ ข่าวสารได้ส่งถึงที่หมายแล้ว ค่าพลังวิญญาณหนึ่งล้านก็ถือว่าคุ้มค่า
หลิงเยว่ที่มีซูซวงหนุนหลัง ทำให้นางมีอำนาจในเมืองฮั่วหยาง เหล่านักกลั่นโอสถที่ไม่พอใจต่อตัวนางก็ได้แต่พูดนินทาลับหลัง เพื่อระบายความไม่พอใจของตนเองเท่านั้น
“ก็แค่หาช่องโหว่เอาเปรียบเท่านั้น ในการต่อสู้อาหารวิญญาณพวกนี้จะไปมีประโยชน์เทียบเท่าโอสถได้อย่างไร?”
“เจ้าพูดถูก แม้ไม่รู้ว่าท่านเจ้าเมืองไปหาเด็กสาวที่อ่อนหัดมาจากที่ใด กระทั่งเสื้อคลุมของนักกลั่นโอสถขั้นที่หนึ่งยังไม่มีเลย!”
เหล่านักกลั่นโอสถที่ยึดมั่นในวิธีการแบบดั้งเดิมต่างรู้สึกไม่ชอบหลิงเยว่ โดยเฉพาะตอนที่พวกเขาเห็นเด็กสาวแทรกซึมเข้าไปในกลุ่มทหารชุดแดงและบอกว่าพวกทหารสามารถเป็นนักกลั่นโอสถได้ นั่นทำให้พวกเขาก็ยิ่งอารมณ์เสียหนักกว่าเดิมอีก
เพียงรู้จักสมุนไพรวิญญาณสองสามชนิด คิดจะมาเป็นนักกลั่นโอสถได้อย่างไร? เพ้อฝันนัก!
เหล่าผู้อาวุโสยืนอยู่ท่ามกลางนักกลั่นโอสถ ฟังพวกเขาพูดจาดูถูกอาหารวิญญาณพิเศษก็รู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างยิ่ง อาหารวิญญาณพิเศษเหมาะสมกับเมืองฮั่วหยางมากกว่า และไม่เป็นอุปสรรคต่อการต่อสู้ เด็กสาวชื่อเสี่ยวชิงไม่ได้สอนพวกเขาให้เตรียมของทำอมยิ้มที่มีสรรพคุณในการรักษา ห้ามเลือด และฟื้นฟูปราณไปแล้วหรือ?
ในระหว่างการต่อสู้ เพียงแค่อมเอาไว้เท่านั้น มันจะได้ผลดียิ่งกว่าโอสถ ทั้งยังหวานชื่นอีกต่างหาก!
หัวดื้อโบราณโดยแท้!
จริงอยู่ว่าหลายร้อยปีที่ผ่านมา พวกเขามีสิทธิพิเศษและผลประโยชน์จากการเป็นนักกลั่นโอสถ พอจู่ ๆ ก็ถูกบังคับให้มาเรียนรู้ศาสตร์แบบใหม่ ทั้งยังละทิ้งศาสตร์การกลั่นโอสถที่พวกเขาภาคภูมิใจ ย่อมเกิดความไม่พอใจเป็นธรรมดา
ยิ่งไปกว่านั้น ความเร็วในการเรียนรู้ของพวกเขายังถูกทหารชุดแดงนำหน้าไปแล้วเช่นนี้ จะให้พวกเขายินดีได้อย่างไร?
จะไม่ให้เหน็บแนมได้หรือ?
เหล่าผู้อาวุโสมองดูอมยิ้มฟื้นปราณที่ล้มเหลวอีกครั้งในมือ เดิมทีเคยคิดว่ามันง่ายมาก แต่พอได้ลองทำจริง ๆ ถึงรู้ว่ามันยากกว่าการกลั่นโอสถเสียอีก!
ใช่แล้ว มันยากกว่าการกลั่นโอสถฟื้นปราณทั่วไป แต่ว่าอมยิ้มฟื้นปราณสามารถออกฤทธิ์ได้มากกว่าโอสถฟื้นปราณทั่วไปถึงสิบเท่า!
ไม่ได้! ต้องทำให้สำเร็จภายในครึ่งเดือนตามที่เสี่ยวชิงพูด พวกเขามีพื้นฐานการกลั่นโอสถอยู่แล้ว ย่อมเริ่มต้นได้ง่ายกว่าผู้บำเพ็ญที่ไม่มีพื้นฐานเลย จะยอมให้ถูกนำหน้าตั้งแต่เริ่มได้อย่างไร?
พวกเขาต้องทวงคืนเกียรติของนักกลั่นโอสถคืนมาให้ได้!