ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน - บทที่ 104 เสบียงไม่พอ? ก็ปล้นมาเสียสิ…
บทที่ 104 เสบียงไม่พอ? ก็ปล้นมาเสียสิ…
หลังจากนั้นทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างก็มีสีหน้าตกใจ ใบหน้าของพวกเขาปรากฏแก่สายตาของหลิงเยว่ นางถึงกับกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่
เหลยซาปิดปากที่อ้าค้างเล็กน้อยด้วยความประหลาดใจ แล้วหันมามองหลิงเยว่ “เจ้า… เป็นคนแนะนำท่านเจ้าเมืองหรือ?”
ถึงแม้ว่าประโยคนี้จะเป็นคำถาม แต่เขาก็ค่อนข้างมั่นใจว่าเสี่ยวชิงเป็นคนที่ปลุกปั่นท่านเจ้าเมืองแน่นอน ไม่เช่นนั้นแล้วท่านเจ้าเมืองที่ยึดหลักการปล่อยให้เป็นไปตามโชคชะตามาตลอด คงไม่มีทางคิดกลอุบายเจ้าเล่ห์เช่นนี้ออกมาได้
จะว่าไปมันก็ไม่เชิงว่าเจ้าเล่ห์นัก แต่… หากกลลวงนี้ถูกเปิดเผย แล้วเกิดมีผู้โกรธแค้นขึ้นมา เรื่องนี้คงไม่อาจจบลงโดยง่ายแน่
หลิงเยว่กะพริบตาอย่างไร้เดียงสา
เมื่อซูซวงโยนคำถามที่ว่า “ท่านทั้งหลายคิดอย่างไร?” ออกไป บรรยากาศในที่แห่งนี้ก็แทบเดือดพล่านด้วยอารมณ์ทันที
“อย่างนี้มันจะดูเสี่ยงเกินไปหรือไม่?”
ไม่เพียงเสี่ยง แต่ยังบ้าบิ่นอีกด้วย
“ท่านเจ้าเมือง ท่านลองตรองดูใหม่อีกคราเถิด”
“ท่านเจ้าเมืองว่าเช่นไร พวกข้าก็จะทำตามท่าน!”
“ถูกต้อง หากสำเร็จก็จะกลายเป็นบันทึกประวัติศาสตร์ แต่หากไม่ เช่นนั้นก็ช่างมันเถิด”
ในห้องถูกแบ่งออกเป็นสองฝ่าย เหล่าคนหัวโบราณและกลุ่มคนที่อยากจะเสี่ยง ต่างฝ่ายต่างโต้แย้งกันจนคอเป็นเอ็น แทบจะถึงขั้นลงไม้ลงมือกันอยู่แล้ว
แต่สุดท้ายก็ไม่มีใครสามารถโน้มน้าวอีกฝ่ายได้
ซูซวงนั่งอยู่บนที่นั่งประธานอย่างสงบ พร้อมกินขนมไปพลางโดยไม่สนใจความโกลาหลเบื้องล่าง
หลิงเยว่รู้ว่าเรื่องนี้ไม่ราบรื่นแน่ แต่ก็ไม่คิดว่าจะไม่ราบรื่นถึงเพียงนี้ ทว่าฝ่ายหัวโบราณก็มีเหตุผล หากความจริงถูกเปิดเผย เมืองฮั่วหยางคงจะสิ้นแล้วเป็นแน่ และนางยังนึกไม่ถึงผลลัพธ์ที่อาจเลวร้ายที่สุดเสียด้วยซ้ำ
“เช่นนั้น เรามาลงคะแนนเสียงกันเถิด”
ก่อนที่สถานการณ์จะควบคุมไม่ได้ ซูซวงก็เอ่ยขึ้น
“ข้าจะให้เวลาพวกเจ้าหนึ่งคืนในการคิดใคร่ครวญ แล้วพรุ่งนี้เช้าค่อยลงคะแนนเสียง”
“ท่านเจ้าเมือง…”
มีคนรั้งตัวท่านเจ้าเมืองไว้ แต่สุดท้ายซูซวงก็สะบัดแขนเสื้อแล้วเดินจากไป
“ข้าแค่อยากบอกว่า ให้ข้าอยู่ที่นี่เพื่อไตร่ตรองดูได้หรือไม่? ยังมีอาหารอีกมากมายกินไม่หมดเช่นนี้ เหตุใดท่านไม่รอให้ข้าพูดจบเสียก่อนเล่า”
ถูกต้อง ยังมีอาหารอีกไม่น้อยที่ยังไม่ได้รับประทาน
“ท่านเจ้าเมืองก็ไม่ได้สั่งให้พวกเรากลับบ้านเพื่อไปคิดไตร่ตรองนี่”
ดังนั้นการพักที่นี่จึงเป็นสิ่งที่ทำได้อย่างเเน่นอน เพราะการเรียกพวกเขากลับมาประชุมอีกครั้งในวันถัดไปคงจะไม่สะดวกนัก
เมื่อคิดได้เช่นนี้ ทุกคนจึงรู้สึกโล่งใจมากขึ้น โดยเฉพาะพวกทหารชุดแดง ซึ่งไม่ได้สนใจว่าจะต้องคิดใคร่ครวญดูหรือไม่แม้แต่น้อย ด้วยคนที่อยู่ในหน่วยนี้ มีผู้ใดที่กลัวตายบ้างเล่า
“ทำอะไรไม่รู้จักคิด รู้จักแต่เรื่องกิน!”
ในฐานะรองเจ้าเมืองฝ่ายหัวโบราณ เขารู้สึกขุ่นเคืองจนต้องกัดเนื้อย่างเสียบไม้ในมือไปคำใหญ่ อืม… อันที่จริงแล้ว หากมีใครหลอกให้เขามาที่นี่ในตอนเเรกก็คงจะโกรธมาก เเต่หลังจากได้กินเนื้อย่างเข้าไปคำหนึ่ง เขาก็รู้สึกว่าความโกรธนั้นได้จางหายไปเสียเเล้ว
สวรรค์! รสชาติช่างเข้มข้นจริง ๆ
“พวกเจ้ารีบกินให้มากเข้าไว้เถิด เพราะไม่รู้ว่าจะได้กินของอร่อยเช่นนี้อีกเมื่อไร?” เขาไม่เพียงกินเท่านั้น แต่ยังบอกกับฝ่ายหัวโบราณคนอื่น ๆ ที่กำลังวิตกกังวลให้เข้ามากินด้วยกัน
“ท่านรองเจ้าเมือง ท่านยังกินลงอีกหรือ? ฝั่งนั้นคนเยอะกว่าพวกเรามากนัก!”
“แผนนี้ลงมือทำคงต้องใช้กำลังคนและค่าใช้จ่ายเป็นจำนวนมาก เดิมทีเมืองฮั่วหยางก็ยากจนอยู่แล้ว นี่ไม่ใช่การซ้ำเติมให้แย่ลงอีกหรือ?”
“ก็จริง แต่เจ้าสิ่งนี้อร่อยอย่างน่าประหลาด” ปากพูดพลางสนับสนุนไป จนฝ่ายหัวโบราณเริ่มกินตาม
“เอ๊ะ! นี่อะไร หวานเย็นช่างชื่นใจเหลือเกิน…”
“เนื้อหมูย่างเสียบไม้นี้ก็รสชาติดียิ่ง”
จากนั้นบรรยากาศก็ค่อย ๆ แปรเปลี่ยนไป
หลิงเยว่กอดชามข้าวต้มเผือกหอมไว้แน่น ยืนหลบอยู่ไกลจากกลุ่มคนเหล่านั้น เพราะนางกลัวว่าหากมีการต่อยตีกันแล้วจะพลอยโดนลูกหลงไปด้วย แต่ผลลัพธ์คือพวกเขาไม่ได้ต่อยตีกันเรื่องกลลวงนั้น แต่กลับต่อยตีกันเพื่อขาอสูรร้อน ๆ หนึ่งข้าง ชานมหนึ่งแก้ว และน้ำราดเนื้อหมูแดงหนึ่งจาน… ลงไม้ลงมือกันจนได้!
หลิงเยว่เห็นดังนั้นก็อ้าปากค้าง จึงรีบกินขนมเผือกคำหนึ่งเพื่อสงบสติอารมณ์
เวลาคืนหนึ่งผ่านไปไวนัก อาหารมื้อพิเศษถูกกินจนเกลี้ยง แม้แต่น้ำแกงก็ไม่เหลือ แต่ด้วยกินอิ่มจนเกินไป คนส่วนใหญ่จึงนั่งเอนหลังเอนกายกันอย่างเกียจคร้าน แม้แต่ผู้อาวุโสที่ใหญ่ที่สุดก็ไม่เหลือความสง่างาม
“พวกท่านทั้งหลาย คิดอย่างไรกันบ้างเล่า?”
ซูซวงเลือกเวลาได้ดีมาก ในตอนที่คนเราอิ่มหนำสำราญ สมองจะเริ่มทำงานช้าลง
ท่านแม่ทัพใหญ่ลุกจากเก้าอี้แล้วคุกเข่าลงกับพื้น เหล่าหัวหน้ากองทหารชุดแดงก็รีบหมอบลงไปตาม ๆ กัน เหมือนกับเกี๊ยวที่ไหลลงมาจากหม้อ “ข้าขอรับคำสั่งจากท่านเจ้าเมือง!”
เสียงดังกึกก้องกัมปนาท
ท่านรองเจ้าเมืองเห็นดังนั้นก็บึนปาก พวกเขามีจำนวนคนน้อยกว่าก็จริง แต่หลังจากที่คิดไตร่ตรองมาทั้งคืนก็คิดได้ ถ้าอย่างนั้นก็ลองเสี่ยงดูสักตั้งเถิด
ถ้าเกิดอะไรขึ้นจริง ๆ ค่อยว่ากันทีหลัง
เป็นตอนจบที่ทุกคนมีความสุข!
หลิงเยว่แทบจะยิ้มไปถึงหู ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของแผนการ นางจึงรับผิดชอบเป็นผู้นำในการฝึกฝนผู้บำเพ็ญให้เรียนรู้ขั้นตอนการกลั่นโอสถเป็นพิเศษ
ส่วนแผนการอื่น ๆ นั้นไม่ใช่เรื่องที่นางต้องรับผิดชอบ
หลังจากที่ท่านเจ้าเมืองได้พูดออกไปแล้ว ทั้งเมืองก็เริ่มเคลื่อนไหว มีการขุดดินเพาะปลูกพืชผักและสมุนไพรวิญญาณ สร้างสิ่งก่อสร้าง ซ่อมแซมถนน และเสริมความแข็งแรงให้กับกำแพงเมือง…
เหล่านักโทษถูกนำตัวออกมาจากคุก บางส่วนถูกส่งไปปลูกบ้านเรือน อีกส่วนหนึ่งถูกส่งออกไปซ่อมถนนนอกเมือง
พวกเขาคิดว่าฝูงสัตว์อสูรจะต้องมาเยือนอีกครา แล้วพวกเขาต้องออกมาสู้จนตายอีกแล้วหรือ แต่ทว่า… กลับให้พวกเขาไปซ่อมถนนนอกกำแพงเมือง?
บ้าจริงเชียว!
“ในช่วงเวลานี้ ขอเพียงขยันทำงาน ไม่คิดหลบหนี ไม่ก่อความวุ่นวาย… ผู้ที่มีส่วนช่วยในการสร้างเมืองฮั่วหยาง สามารถปลดตรวนผนึกวิญญาณได้อย่างถาวร และกลายเป็นส่วนหนึ่งของเมืองได้”
เมื่อเหลยซาพูดจบ บรรยากาศโดยรอบก็เงียบสงัด แต่หลังจากนั้นก็กลับคึกคักขึ้นมา
“จริง… หรือ?”
พวกเขารู้ดีว่าการออกจากที่นี่เป็นเพียงความฝันอันเลื่อนลอย การได้เป็นส่วนหนึ่งของเมืองฮั่วหยางย่อมดีกว่าการใช้ชีวิตอยู่ในคุกที่มืดมน และต้องเผชิญกับอันตรายจากฝูงสัตว์ร้ายที่อาจเหยียบย่ำเมื่อใดก็ได้
“จริง”
เหลยซามีสีหน้าจริงจัง “ผู้ที่หลบหนี จะถูกจับตาย!”
“พวกเราจะทำงานอย่างขยันขันแข็ง และทำให้ดีอย่างแน่นอน”
เมืองที่ซบเซาเริ่มฟื้นคืน ความหวังที่มอดดับกำลังกลับคืนมาทีละน้อย
ในเวลานี้ หลิงเยว่กำลังนำเหล่าลูกศิษย์กลุ่มใหญ่ไปส่งเสบียงให้กับผู้ใช้แรงงาน เนื่องจากที่นี่ไม่มีโอสถปี้กู่ จึงต้องพึ่งพาการกินเพื่อฟื้นฟูกำลัง
นางจัดการทำข้าวต้มจากเนื้อสัตว์อสูรผสมกับสมุนไพรวิญญาณ ซึ่งสามารถฟื้นฟูพลังได้อย่างรวดเร็วและยังช่วยประทังความหิวได้หลายวัน ถึงแม้ว่ามันจะเป็นแค่ข้าวต้ม แต่ก็ได้รับเสียงชื่นชมเป็นอย่างมาก
สีสันของสมุนไพรวิญญาณนั้นหลากหลายงดงาม เนื้อสัตว์อสูรก็ล้วนเป็นชิ้นโต เมื่อผสมกับข้าวสีขาวแล้ว ทั้งสวยงามและน่ากิน
เพียงชามเดียวก็รู้สึกอบอุ่นไปทั้งร่างกายและเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง!
มีนักโทษคนหนึ่งขณะที่กำลังกินอยู่ก็หวนนึกถึงอาหารที่ตนกินมาตลอดหลายปี ทันใดนั้นน้ำตาก็พลันไหลพรากออกมา แม้ว่าจะต้องแลกกับข้าวต้มชามนี้ เขาก็จะพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของเมืองฮั่วหยางให้ได้
“ท่านเจ้าเมือง ข้าวและหินวิญญาณกำลังจะหมดแล้ว…”
หัวหน้าการคลังกล่าวด้วยใบหน้าเศร้าหมอง
ขณะนั้น หลิงเยว่และซูซวงกำลังกินข้าวต้มอยู่พอดี ได้ยินเข้าแต่ก็ไม่แสดงปฏิกิริยาใด ๆ
หินวิญญาณในกระเป๋าของหลิงเยว่นั้นแบนราบเสียยิ่งกว่า อยากจะแสดงปฏิกิริยาอย่างไรก็ทำไม่ได้ ถึงแม้ว่านางจะไม่มีสิ่งใดติดตัว ทว่าก็ได้ลงแรงไปแล้ว ดังนั้นจึงฟังอย่างสบายใจ
ซูซวงรู้สึกปวดหัวขึ้นมา หากจะมาพึ่งนางก็ไม่มีประโยชน์อันใด ตลอดครึ่งปีที่ผ่านมา คนที่พอจะกู้ยืมได้ นางก็กู้ยืมจนทั่วแล้ว ชื่อเสียงยังเสื่อมเสียซ้ำแล้วซ้ำเล่า แม้จะพอประทังไปได้ ทว่าเงินที่ลงทุนทั้งหมดจะสำเร็จลุล่วงได้ก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อยสามเดือน แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้จะไม่ไหวเสียแล้ว
“หรือว่า…”
ซูซวงที่ไร้ยางอาย ก็ยังคงหมายมั่นปั้นมือกับหลิงเยว่เช่นเดิม
“ไม่ได้เด็ดขาด!”
คิดจะให้ข้าไปขอความช่วยเหลือจากสำนัก นางลืมจุดประสงค์ที่ตัวเองอยู่ในที่แห่งนี้ไปแล้วหรือ?
ขอความช่วยเหลือนั้นยิ่งเป็นไปไม่ได้เลย!
ซูซวงเอ่ยอย่างเย็นชา “ถ้าเช่นนั้น ก็คงต้องพึ่งการปล้นเสียแล้ว”
หลิงเยว่และหัวหน้าการคลัง “…”
ปล้นผู้ใดเล่า?
ทันใดนั้นก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา พวกเขาจะทำอย่างไรกันดี?