ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน - บทที่ 106 ความจริงนั้นช่างเจ็บปวด
บทที่ 106 ความจริงนั้นช่างเจ็บปวด
บทที่ 106 ความจริงนั้นช่างเจ็บปวด
“ดี ดีมาก ข้ากำลังต้องการของบำรุงชั้นดีเช่นนี้อยู่พอดี”
ดังที่ซูซวงคาดการณ์ไว้ ซากศพสีทองที่ถูกลูกธนูปัก กำลังไต่ร่างขึ้นมาจากซากปรักหักพัง พร้อมหัวเราะด้วยเสียงอันพึงพอใจ
“เรามาทำข้อตกลงกันเถิด เจ้าและเด็กสาวผู้นั้นอยู่ที่นี่ แล้วข้าจะปล่อยให้พวกเขากลับไป”
มีลูกศรยาวปักอยู่ที่อกของซากศพสีทอง มันใช้มือข้างหนึ่งกำลูกธนูแล้วดึงออก ก่อนจะทิ้งลงกับพื้นด้วยท่าทีที่แสนเชื่องช้า ทว่าในพริบตา ร่างนั้นกลับมาปรากฏอยู่เบื้องหน้าหลิงเยว่และซูซวง
“ได้ เช่นนั้นเจ้าปล่อยพวกเขาออกจากเขตอาคมนี้เสียก่อน”
ซูซวงไม่คาดคิดเลยว่าการมาปล้นครั้งนี้ นอกจากจะไม่ได้อะไรติดมือไปแล้ว ยังต้องมาเจอซากศพสีทองที่อยู่ในขอบเขตบำเพ็ญเต๋าอีก ตัวนาง… เป็นเพียงผู้บำเพ็ญขอบเขตแสวงหาช่วงปลายเท่านั้น ฉะนั้นช่องว่างความแตกต่างของการบำเพ็ญจึงไม่ใช่แค่เล็กน้อย
ซากสพสีทองยิ้มกริ่มเมื่อเห็นซูซวงตอบตกลงอย่างง่ายดาย มันโบกมือข้างหนึ่ง ก่อนผู้บำเพ็ญกว่าสองร้อยคนจะถูกลำเลียงออกไปนอกเขตอาคม
หลิงเยว่มองดูผู้บำเพ็ญที่ถูกเหวี่ยงออกไปด้วยความเสียใจ น้ำตาแห่งความสำนึกผิดไหลรินออกมา นางไม่ควรมาวุ่นวายกับเรื่องนี้เลย หากแต่ตอนนี้จะเอื้อนเอ่ยสิ่งใด ก็กลับกลายเป็นสายเกินไปเสียแล้ว
“เอ่อ… ข้าถามเจ้าได้หรือไม่ เจ้าหมายปองสิ่งใดในตัวข้าหรือ หากจะขอแก้ไขตอนนี้ยังทันเวลาอยู่ใช่หรือไม่?”
ซากศพสีทองใช้สายตามองไปยังหลิงเยว่ “ข้าได้กลิ่นจากเจ้า… กลิ่นที่ทำให้ข้าไม่สบายใจ”
“ราชานิกายอสุภะอยู่ที่ใด?”
หลิงเยว่ “…”
ราชานิกายอสุภะอยู่ที่ใดอย่างนั้นหรือ?
“เจ้าไม่รู้หรือ?”
หลิงเยว่ส่ายหน้าอย่างซื่อสัตย์พร้อมกับถอยหลังช้า ๆ เมื่อถูกจ้องมองด้วยสายตาอันน่าขนลุกของซากศพสีทองตนนี้ นางรู้สึกราวกับว่าเลือดทั่วทั้งร่างได้ไหลย้อนกลับ ต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลแน่ ไม่ดีมาก ๆ ด้วย
“เจ้าจะไม่รู้ได้อย่างไร เจ้าต้องรู้ พูดออกมา!”
ทันใดนั้น ซากศพสีทองที่คลุ้มคลั่งก็ยื่นกรงเล็บออกมาหวังจะบีบคอหลิงเยว่ แต่ซูซวงก็เตะกระเด็นไปเสียก่อน
หลิงเยว่ถูกพาตัวถอยหลังออกไปอย่างรวดเร็ว
หรือว่าหมอกดำนั่น… คือราชานิกายอสุภะหรือ? นางใช้ค่าพลังวิญญาณหกสิบล้านแต้มเพื่อหลบหนีการควบคุมของหมอกดำ แต่ต้องกลับมาที่รังของมันอีกครั้งด้วยตัวของนางเองอย่างนั้นหรือ?
หลิงเยว่รู้สึกว่านี่อาจจะเป็นความจริง ใบหน้าของเด็กสาวซีดเผือด
“อีกเดี๋ยวข้าจะยื้อมันเอาไว้ เจ้าจงวิ่งออกไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือซึ่งเป็นจุดที่เขตอาคมอ่อนแอที่สุด ข้าจะทำเครื่องหมายไว้ มันจะช่วยเจ้าได้” ซูซวงมองศพสีทองที่คลุ้มคลั่งด้วยสายตาเยือกเย็น แล้วส่งเสียงบอกหลิงเยว่
“แล้วท่านเล่าเจ้าคะ”
“หากปราศจากเจ้าซึ่งเป็นภาระ ข้าก็จะหลบหนีได้ง่ายกว่า”
เมื่อถูกเอ่ยตรง ๆ ว่าหลิงเยว่เป็นภาระ เด็กสาวถึงกับสำลักความจริง ช่างเจ็บปวดนัก!
ด้วยรูปลักษณ์ของซากศพ ที่ค่อย ๆ ยืดยาวขึ้น หากอีกฝ่ายไล่ตาม… นางย่อมไม่มีทางหนีรอดได้เลย
หลิงเยว่รู้สึกสิ้นหวังพลันมีสีหน้าไร้อารมณ์ นางไม่อยากต่อสู้ดิ้นรนอีกต่อไป เพราะรู้ว่าไม่มีทางหนีรอดได้…
“เร็ว!”
ซูซวงคว้าตัวหลิงเยว่แล้วเหวี่ยงอย่างสุดแรงไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ
และแล้วร่างของหลิงเยว่ก็ลอยเป็นเส้นโค้ง กลายเป็นแสงพุ่งผ่านท้องฟ้าไป
ซูซวง “…”
ไม่น่าเชื่อ! ง่ายดายเช่นนี้เลยหรือ ทว่าทิศทางนั้นห่างจากเครื่องหมายของนางที่ทำไว้พอสมควร!
หรือว่า… เขตอาคมจะหายไปแล้ว?
ศพแห้งสีทองที่กำลังทุบหัวตัวเองอย่างบ้าคลั่ง พุ่งตัวไปทันทีที่หลิงเยว่พุ่งออกไป แต่ทว่าร่างทั้งร่างของมันกลับถูกกระแทกกลับมาอย่างรุนแรง
ซูซวง “…”
เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้?
ในเมื่อเขตอาคมนั้นยังคงอยู่ แล้วเหตุใดเสี่ยวชิง…
ซูซวงไม่มีเวลาให้คิดมากนัก ด้วยซากศพแห้งสีทองที่นอนอยู่บนพื้นค่อย ๆ ลุกขึ้นยืน ก่อนจ้องมองเขตอาคมที่กักขังมันด้วยความโกรธแค้น เขตอาคมนี้สามารถปล่อยคนนอกออกไปได้อย่างง่ายดาย แต่กลับไม่สามารถปล่อยมันออกไปได้!
บัดนี้มันไม่สามารถหนีออกจากนิกายอสุภะนี้ได้แล้ว!
สมควรตายยิ่งนัก เจ้าราชานิกายอสุภะมันขังข้าไว้ที่นี่แล้วหายสาบสูญไปที่ใด ข้าจะฉีกมันเป็นชิ้น ๆ จะทุบร่างของมันให้แตกละเอียดเสีย!
ตอนนี้ผู้เดียวที่รู้เรื่องของราชานิกายอสุภะได้หนีออกไปแล้ว ความหวังของมันได้หายไปสิ้น ซากศพอันน่าหวาดกลัวได้จ้องเขม็งไปที่ซูซวงที่กำลังพยายามหลบหนี
สองฝ่ายต่อสู้กันอย่างดุเดือด
ซูซวงต่อสู้และถอยร่นไปจนถึงจุดที่นางทำเครื่องหมายไว้ นางพยายามจะทำลายเขตอาคมเพื่อหนีออกไป ทว่า… มันกลับไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ
ถุย!
ซูซวงถ่มน้ำลายปนเลือดที่อยู่ในปากออกมา นางรู้สึกขมขื่นกับสิ่งที่เกิดขึ้นนัก ภารกิจครั้งนี้พังย่อยยับ ด้วยนิกายใหญ่ที่สุดแห่งทะเลทรายทางตอนเหนือกลับเหลือเพียงซากศพสีทองที่คลั่งเสียสติ
นอกจากจะไม่ได้อะไรติดมือ กลับต้องสูญเสียไปอีกอย่างนั้นหรือ!
ในขณะที่ซูซวงพึมพำเรื่องโชคร้ายของตนอยู่นั้น นางเหลือบไปเห็นเงาดำเล็ก ๆ กำลังวิ่งมาแต่ไกล ยิ่งทวีความโกรธของนางขึ้นไปอีก
แทนที่จะหนีต่อไป กลับวิ่งมาตายเช่นนี้อีก!
ช่างเป็นคนโง่อะไรเช่นนี้!
แม้จะด่าอยู่ในใจ ทว่าซูซวงกลับรู้สึกอบอุ่นใจขึ้นมาเล็กน้อย
“รีบหนีไปเสีย!”
แน่นอนว่าหลิงเยว่ไม่ได้หันหลังกลับและเดินจากไป ทว่านางกลับวิ่งมาอย่างรวดเร็ว เพื่อมายังด้านหน้าของเขตอาคม เมื่อเห็นซูซวงได้รับบาดเจ็บอย่างหนัก นางจึงหันขวับไปเผชิญหน้ากับซากศพแห้ง
“เจ้าซากศพแห้ง ออกมาเดี๋ยวนี้! ข้ารู้ว่าราชานิกายอสุภะตนนั้นอยู่ที่ใด ข้าจะบอก หากเจ้าออกมา!”
เมื่อหลิงเยว่กล่าวถึงราชานิกายอสุภะ ซากศพแห้งสีทองนั้นก็คลุ้มคลั่งขึ้นมาอีกครั้ง มันพุ่งชนเข้ากับเขตอาคมแต่ผลลัพธ์ก็ยังคงเป็นเช่นเดิม
เมื่อหลิงเยว่เห็นดังนั้น ดวงตาก็สว่างไสว นางเดาไม่ผิด เจ้าศพตนนี้ออกมาข้างนอกไม่ได้จริง ๆ แต่กลับปล่อยซากศพตนอื่นออกมาได้
นางเคยกล่าวไว้ไม่ใช่หรือว่า นางไม่ได้หนีไปไกลเหตุใดเจ้าศพตนนี้จึงไม่ได้ไล่ตามมาเล่า
“มันอยู่แห่งหนใด นำข้าออกไปค้นหาเสีย! ไม่เช่นนั้น… ตาย!”
เมื่อศพแห้งสีทองเอ่ยคำว่า ‘ตาย’ พื้นทรายใต้ฝ่าเท้าของหลิงเยว่ก็สั่นสะเทือน ทันใดนั้นเหล่าบริวารศพแห้งของมันก็ทยอยปีนขึ้นมาจากใต้พื้นทราย มุ่งตรงมาที่นาง…
หลิงเยว่ “…”
โอ้โห… ยังมีกลเม็ดเช่นนี้ซ่อนอยู่อีก!
“ท่านเจ้าเมือง! เดี๋ยวท่านจับมือข้าไว้นะเจ้าคะ ระวังอย่าให้ศพแห้งสีทองนั้นจับตัวได้เด็ดขาด”
หลิงเยว่ปล่อยเจ้าดอกไม้ดำตัวน้อยที่เพิ่งฟื้นขึ้นมาเพื่อช่วยยื้อกองทัพซากศพนั้นเอาไว้ ขณะที่มือของนาง… ยื่นผ่านเข้าไปในเขตอาคมอย่างราบรื่นไร้อุปสรรคใดขัดขวาง ซูซวงไม่มีเวลาคิดมาก จึงรีบคว้ามือข้างนั้นไว้ทันที
เมื่อศพแห้งสีทองเห็นดังนั้น ดวงตาของมันก็พลันลุกโชนด้วยไฟ รีบพุ่งเข้าหาซูซวงอย่างรวดเร็ว หมายจะคว้าเด็กสาวไว้!
น่าเสียดายที่ชายเสื้อชิ้นหนึ่งปลิวผ่านมือของศพแห้งสีทองไป ซูซวงหนีออกมาอยู่ด้านนอกเขตอาคมได้แล้ว
“ไป!”
นิกายอสุภะในสายตาของทั้งสองที่กำลังจากไป ค่อย ๆ เล็กลง จากที่มีขนาดใหญ่ก่อนหน้านี้ กลายเป็นเพียงจุดเล็ก ๆ ปรากฏอยู่ตรงหน้าเท่านั้น
“เราต้องฆ่าซากศพตนนั้นให้ตายเสีย!” ซูซวงพูดอย่างเฉียบขาดหลังจากพวกนางปลอดภัยแล้ว
“หืม? เราต้องกลับไปอีกหรือเจ้าคะ?” หลิงเยว่ถึงกับชะงัก
ซูซวงมองหลิงเยว่ด้วยสายตาลึกซึ้ง “ไม่ ไม่ต้อง คืนนี้เป็นเจ้าที่พาข้าออกมาจากเขตอาคม”
“…”
แม้จะไม่เข้าใจแต่หลิงเยว่ก็พยักหน้า
ครั้งก่อนที่เข้าไปในเขตหวงห้ามด้านหลังภูเขา บรรพจารย์ก็สั่งห้ามนางไม่ให้บอกเรื่องนี้กับผู้ใด ครั้งนี้ที่ช่วยซูซวงออกมาจากเขตอาคมได้อีก ก็ความหมายว่านางห้ามพูดเรื่องนี้เช่นกัน
“ต่อไปนี้ ถ้าหากไม่จำเป็นจริง ๆ อย่าได้ช่วยเหลือผู้อื่นออกจากเขตอาคมอีก”
ซูซวงถอนหายใจ ดีที่นางเจอข้า ไม่เช่นนั้น…
“ข้าเข้าใจแล้ว เราจะกลับเมืองกันเลยหรือไม่เจ้าคะ?” หลิงเยว่ถอนหายใจ ออกมาทั้งทีแต่กลับไม่มีสิ่งใดติดมือมาเลย ช่างโชคร้ายนัก
“ไม่! เปลี่ยนที่ปล้นกันเถิด” ซูซวงไม่ยอมแพ้ที่จะกลับมือเปล่า นางไปหาผู้บำเพ็ญที่รออยู่อีกแห่ง และปรึกษากันว่าจะปล้นสำนักใกล้เคียง หรือปล้นคาราวานใหญ่ที่ไหนดี
หลิงเยว่ที่ยืนฟังอยู่ข้าง ๆ รู้สึกอึดอัดใจ หลังจากที่ได้พบกับดินแดนซากศพ ความกระตือรือร้นในการปล้นของนางพลันลดลง แทนที่จะอยากปล้นต่อ กลับรู้สึกอยากกลับเมืองเสียมากกว่า โลกภายนอกช่างไม่เหมาะกับนางเอาเสียเลย
“แล้วหากข้าต้องการกลับเองเล่าเจ้าคะ ที่นี่อยู่ไม่ไกลจากเมืองฮั่วหยางมากนัก”
“ไม่ได้ ด้วยขอบเขตกลั่นลมปราณระดับเก้าของเจ้า ยังไม่ทันได้เดินไปถึงเมือง ก็อาจตายไปเสียก่อนแล้ว”
ผู้บำเพ็ญในแดนเหนือไม่สุภาพเหมือนกับผู้บำเพ็ญในแดนใต้
หรือว่าเราจะไปปล้นสำนักหลานเทียนกันดีล่ะ หลังจากพิจารณาดูแล้ว ไม่ว่าจะสำนักและคาราวานรอบ ๆ ต่างก็ยากจน หากลงมือปล้นคงไม่ดีนัก