ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน - บทที่ 107 นางได้เป็นรองเจ้าเมืองอย่างนั้นหรือ?
บทที่ 107 นางได้เป็นรองเจ้าเมืองอย่างนั้นหรือ?
บทที่ 107 นางได้เป็นรองเจ้าเมืองอย่างนั้นหรือ?
หลังจากที่ทุกคนปรึกษาหารือกันอยู่นาน แต่ก็ยังหาเป้าหมายที่ร่ำรวยพอจะปล้นไม่ได้
“หัวหน้าขอรับ ตอนนี้ต้องทำอย่างไร พวกเรากลับไปก่อนดีหรือไม่?”
เมื่อได้ยินคำว่า ‘กลับ’ ผู้คนส่วนใหญ่พลันรู้สึกไม่พอใจ พวกเขาออกมาอย่างฮึกเหิม ทว่าจะให้กลับไปราวกับสุนัขขี้แพ้กลับรังนอนเช่นนั้นหรือ?
ไม่ได้เป็นอันขาด
“หรือพวกเราจะมุ่งหน้าไปทางทิศใต้กันดีเล่า? ได้ยินว่า เหล่าสำนักและคาราวานในแถบนั้นมั่งคั่งร่ำรวยนัก”
ต่างจากทางทิศเหนือที่ทุรกันดารนัก ถึงขนาดมีบางเมืองที่จนยิ่งกว่าเมืองฮั่วหยางของพวกเขาเสียอีก
“ที่นั่นไกลเกินไป อีกอย่าง ไม่นานพวกฝูงสัตว์ป่าก็จะมาแล้ว”
ซูซวงขมวดคิ้วแน่น
แผนการสร้างเมืองแห่งอาหารอันโอชะต้องระงับไว้ชั่วคราวเพราะไม่มีเงินอย่างนั้นหรือ?
ไม่เอาด้วยหรอก!
แต่ในตอนนี้ หลิงเยว่เองก็ยังหาวิธีหาเงินไม่ได้เช่นกัน หรือว่า… นางจะลองหาผู้สนับสนุนดู?
ส่วนคนที่หลิงเยว่นึกถึงนั้น มีเพียงเหล่าศิษย์พี่และพวกพ้องที่อยู่ทางทิศใต้ หากแต่กลัวจะไม่ทันการณ์ เพราะหากนางคิดจะกลับไป อย่างน้อยต้องใช้เวลาหนึ่งถึงสองปี ทว่ากำหนดเวลาของภารกิจนี้มีเพียงหนึ่งปีเท่านั้น
“หรือไม่ ก็ไปขุดสุสาน?”
เมื่อหลิงเยว่พูดจบลง สายตาทุกคู่พลันจับจ้องมาที่นาง
“เสี่ยวชิง เจ้าก็รู้ดีไม่ใช่หรือว่าที่นี่ยากจนเพียงใด จะมีสุสานที่ใดไม่เคยถูกขุดอีกบ้างเล่า”
ท้ายที่สุด ‘กองโจร’ จึงตัดสินใจกลับเมือง หากต้องไปปล้นจากผู้ที่ยากจนกว่าตน สู้ไปฆ่าสัตว์อสูรเพื่อแลกกับหินวิญญาณยังดีเสียกว่า
เมื่อหลิงเยว่กลับมาถึงเมือง นางก็ทุ่มเทสอนศิษย์ให้ก้าวเข้าสู่เส้นทางการเป็นแม่ครัววิญญาณ ในขณะที่ซูซวงเอง กำลังคิดหาวิธีทำให้หลิงเยว่ที่เปรียบเสมือนปลาใหญ่ตัวนี้ ทุ่มเททั้งกำลังและทรัพย์สินให้มากขึ้น เพื่อผูกมัดนางไว้กับเมืองฮั่วหยางให้จงได้
“มีวิธีแล้ว!”
ซูซวงหรี่ตาลง มุมปากของนางยกขึ้นเล็กน้อย
เจ็ดวันต่อมา เมืองฮั่วหยางประกาศเรื่องราวที่น่าตกตะลึงและยากจะยอมรับ จนสร้างความฮือฮาไปทั่วทั้งเมือง
เมืองฮั่วหยางจะมีรองเจ้าเมืองเพิ่มอีกคน นับได้ว่าตอนนี้มีรองเจ้าเมืองถึงสองคน!
แต่สิ่งที่ทำให้ผู้คนพูดไม่ออกคือ รองเจ้าเมืองคนที่สอง นามว่า เฟิ่งชิง อายุเพียงสิบสี่ปี ทั้งยังอยู่ขอบเขตกลั่นลมปราณขั้นเก้า!
ท่านเจ้าเมืองต้องเสียสติไปแล้วแน่ ๆ!
หากไม่เสียสติ ก็คงป่วยหนักแล้วกระมัง!
นี่เป็นความคิดของทุกคนในเวลานี้ แม้แต่ตัวเอกของเรื่องอย่างหลิงเยว่ก็ยังคิดเช่นนั้น
ไม่แปลกใจเลย ที่ไม่กี่วันก่อน ซูซวงถามถึงชื่อเต็มของนาง ด้วยความที่บอกชื่อจริงไม่ได้ หลิงเยว่จึงตอบไปว่าชื่อ เฟิ่งชิง ไม่คาดคิดว่าอีกไม่กี่วันต่อมาจะมีเรื่องที่น่าตกใจขนาดนี้รอนางอยู่
“เสี่ยวชิง เอ่อ ไม่ใช่… เฟิ่งชิงน่ะ คือเจ้าหรือ?”
แม้จะถามเพียงเพื่อความแน่ใจ แต่ก็แทบจะยืนยันได้แล้ว ว่าหลิงเยว่คือคนที่พวกเขากำลังตามหา ทั้งอายุ ระดับพลัง และชื่อที่มีคำว่า ‘ชิง’ เหล่าสหายผู้เปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่นถึงกับอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง
เรื่องใหญ่เพียงนี้ เสี่ยวชิงกลับไม่ยอมบอกพวกเขาก่อน
“น่าจะ… เป็นข้าเองกระมัง ข้าเองก็ไม่รู้ว่าท่านเจ้าเมืองกำลังคิดสิ่งใดอยู่เช่นกัน”
เวลานี้ หลิงเยว่ไม่รู้จะแสดงสีหน้าอย่างไร นางรู้สึกราวกับว่า นี่คือแผนการที่มีตนเองเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดด้วยเสียอย่างนั้น เพียงแต่คิดอยู่นานก็ยังนึกไม่ออกว่า ซูซวงมีจุดประสงค์อันใดกันแน่
“ท่านรองเจ้าเมืองแห่งเมืองฮั่วหยาง ผู้ใดก็สามารถดำรงตำแหน่งได้ใช่หรือไม่?”
“แน่นอนว่าไม่ เหตุใดเจ้าจึงคิดเช่นนี้เล่า”
เหลยซาผู้กำลังเรียนห่อแป้งซาลาเปาอย่างเชื่องช้าอยู่นั้น เหลือบมองหลิงเยว่
“เช่นนั้น พวกท่านคิดว่าข้าเหมาะสมที่จะเป็นรองเจ้าเมืองหรือไม่?”
“ท่านเจ้าเมืองย่อมมีเหตุผลในการพิจารณา”
“ถูกต้อง ท่านเจ้าเมืองย่อมมีจุดประสงค์ ที่แต่งตั้งให้เจ้าเป็นรองเจ้าเมืองอย่างแน่นอน”
“ข้าว่านอกจากเรื่องอายุและระดับการบำเพ็ญแล้ว เสี่ยวชิงสามารถดำรงตำแหน่งท่านรองเจ้าเมืองได้อย่างไม่มีปัญหา”
เหล่าทหารชุดแดงมีความเชื่อใจและซื่อสัตย์ต่อท่านเจ้าเมืองของตนอย่างที่สุด ส่วนหลิงเยว่เอง นอกจากยังเยาว์วัยและระดับการบำเพ็ญต่ำ หากแต่พวกเขากลับยังหาข้อผิดพลาดอื่นมิได้
นับตั้งแต่เสี่ยวชิงมาถึงที่นี่ เมืองฮั่วหยางก็เปลี่ยนแปลงไปมากนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านอาหารการกินและการฟื้นฟูร่างกาย
ไม่ได้ หลิงเยว่ตัดสินใจไปถามซูซวงว่า นางทำเช่นนี้เพื่อเหตุอันใดกัน นี่ไม่ใช่การเอาตัวนางไปเสี่ยงหรอกหรือ?
เมื่อมาถึงหน้าประตูจวนเจ้าเมือง หลิงเยว่เห็นผู้คนมามุงอยู่เป็นจำนวนมาก นางจึงรีบหาที่หลบซ่อนทันที
“ท่านเจ้าเมือง พวกเราต้องการคำอธิบายที่เหมาะสม!”
“ถูกต้อง รองเจ้าเมืองคนเดียวก็เพียงพอแล้ว แม้ว่าเสี่ยวชิงจะสอนพวกเราทำอาหารวิญญาณพิเศษ แต่นางก็ไม่สมควรได้เป็นรองเจ้าเมืองเพียงเพราะเรื่องนี้กระมัง?”
“แล้วท่านจะให้รองเจ้าเมืองอี้วางตัวอย่างไร?”
คนกลุ่มหนึ่งยืนล้อมหน้าประตูจวนเจ้าเมืองเพื่อแสดงความไม่พอใจต่อการที่เฟิ่งชิงได้ขึ้นเป็นรองเจ้าเมือง
หากว่านางมีพลังและผลงานที่ยิ่งใหญ่ พวกเขาคงไม่มีอะไรคัดค้าน เพียงแต่… เฟิ่งชิงไม่มีคุณสมบัติทั้งสองอย่างด้วยซ้ำ และหากเรื่องนี้แพร่สะพัดออกไป คนภายนอกคงคิดว่าเมืองฮั่วหยางที่กว้างใหญ่เช่นนี้ ไม่มีคนที่มีความสามารถแล้ว!
“ท่านเจ้าเมือง ออกมาอธิบายให้พวกเราฟังหน่อยเถิด!”
ประโยคนี้ดังมากเสียจนหลิงเยว่ที่ซ่อนอยู่ในมุมห้องตัวสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว นางกลัวเหลือเกินว่าหากโผล่ออกไปแล้วจะถูกผู้คนรุมประชาทัณฑ์
“เจ้ามาหลบอยู่ที่นี่ด้วยเหตุใด?”
หลิงเยว่หันขวับ พลางพูดตะกุกตะกัก “รอง… รอง…เจ้าเมือง”
“ไม่ต้องกังวลไป ข้าไม่ได้จะกินเจ้าเสียหน่อย”
แม้จะเอ่ยอย่างปลอบโยน พร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า ทว่าแท้จริงในใจอี้เหิงรู้สึกไม่พอใจนัก ถึงแม้ว่าซูซวงจะอธิบายเจตนาของนางให้ฟังแล้วก็ตาม เขาก็ยังไม่อาจยอมรับและอยู่ร่วมกับเด็กสาวตัวเล็ก ๆ คนนี้ในฐานะที่เท่าเทียมกันได้
แต่เพื่อเมืองฮั่วหยาง เขาจำต้องอดทนไปก่อน จนกว่าแผนการจะสำเร็จ แล้วค่อย…หึหึ
“จะมาหาท่านเจ้าเมืองใช่หรือไม่ นางอยู่ในจวน เดินตรงเข้าไปเถิด”
“เจ้าค่ะ”
หลิงเยว่ตัดสินใจปีนกำแพงเข้าไป
“ท่านประสงค์สิ่งใดกันแน่” เมื่อหลิงเยว่เข้ามาพบท่านเจ้าเมือง นางจึงรีบถามอย่างตรงไปตรงมา
“ตำแหน่งรองเจ้าเมืองจะทำให้ชาวเมืองร่วมมือและเชื่อฟังมากขึ้นไม่ใช่หรือ?”
ไม่เลย มันทำให้สถานการณ์แย่ลงกว่าเดิมเสียอีก ฟังเสียงผู้คนโห่ร้องประณามอยู่ข้างนอกนั่นสิ หากเพียงหลิงเยว่ปรากฏตัวขึ้น เกรงว่าคงถูกคนเหล่านั้นรุมทึ้งเป็นแน่
ใช่ นางเคยกล่าวว่าผู้คนในเมืองนี้ไม่สนใจใฝ่รู้ นางมาสอนพวกเขาถึงหน้าประตูบ้าน แต่พวกเขากลับเมินเฉยราวกับว่านางเป็นอากาศธาตุ ทั้งยังพูดจากดูถูกอีกต่างหาก ทว่าผู้คนเช่นนั้นมีเพียงหยิบมือ ส่วนใหญ่แล้วชาวเมืองก็ยังยินดีที่จะเรียนรู้
เรื่องราวคงไม่ได้ง่ายดายอย่างที่ซูซวงว่าไว้เป็นแน่
หลิงเยว่สีหน้าตึงเครียด ความจริงแล้วนางพอจะเดาจุดประสงค์ของสตรีตรงหน้าได้ เพียงแค่ต้องการคำยืนยันเท่านั้น
“จงพูดให้ข้าเข้าใจเสียทีเถิด”
ซูซวงตอบ “เจ้าก็เดาออกแล้วไม่ใช่หรือ?”
“ท่านคิดเช่นนั้นจริงหรือ ว่าข้าจะหาหินวิญญาณที่จำเป็นต่อแผนการต่อไปได้?”
เมื่อเห็นว่าซูซวงเงียบไป หลิงเยว่จึงกล่าวต่อ “บอกตามตรง ข้าถูกไล่ออกจากสำนักหลานเทียนแล้ว”
“โอ้…”
ใบหน้าของซูซวงเต็มไปด้วยความไม่เชื่อ สายตาของนางจับจ้องไปที่หลิงเยว่ด้วยความสงสัย ทั้งแก่นปราณชั้นเลิศทั้งห้า ทั้งยังมีความเป็นไปได้ว่านางจะมีกายาต้านหายนะ แล้วเหตุใดถึงยอมไล่นางออกจากสำนักง่าย ๆ เช่นนั้นกัน?
“แท้จริงแล้ว… ข้าเป็นผู้บำเพ็ญมาร”
“โอ้…”
เล่าต่อสิ เล่าต่อไปอีก
ซูซวงนิ่งเฉย ดวงตาฉายแววจริงจัง รอฟังสิ่งที่หลิงเยว่จะพูดต่อ
น่าเสียดายที่หลิงเยว่ไม่อยากพูดต่อแล้ว แม้แต่การพูดจาดูถูกตัวเองให้แย่ลงก็ยังไม่สามารถทำให้ซูซวงเปลี่ยนใจได้ นางจึงต้องกลายเป็น ‘ปลาใหญ่’ ที่จะต้องทนต่อแรงกดดันเพื่อทำหน้าที่เป็นรองเจ้าเมืองผู้ต่ำต้อยเช่นนี้
หรือไม่ข้าก็สละภารกิจแล้วหนีไปเสียเลย?
แต่การลงโทษสำหรับความล้มเหลวของภารกิจนั้น จะยิ่งเพิ่มเป็นทวีคูณ
ข้าจะไปเอาอายุขัยสองหมื่นวันมาให้ระบบหักจากที่ใดได้เล่า? การยอมแพ้ย่อมไม่ต่างจากการฆ่าตัวตายชัด ๆ
อีกอย่าง นางยังไม่อยากละทิ้งแผนพัฒนาเมืองฮั่วหยางให้กลายเป็นเมืองอาหารอันโอชะ เนื่องด้วยที่นี่เหมาะสมที่สุด และประเด็นสำคัญคือ ท่านเจ้าเมืองก็ยอมร่วมมือกับนางด้วย หากเป็นเมืองอื่น คงไม่มีทางเป็นเช่นนี้อย่างแน่นอน
เอาละ! นางต้องคิดหาวิธีเอาหินวิญญาณจากพวกพ้องทั้งหลายมาให้ได้ อาจจะเสนอให้พวกเขาเข้าร่วมด้วย โดยจะให้ส่วนแบ่งแก่พวกเขาในภายหลัง ก็ฟังดูไม่เลว หากแต่ต้องมีเงื่อนไขว่าแผนการ ‘เทพอสูรจุติ’ นี้จะต้องไม่มีวันถูกเปิดเผยโดยเด็ดขาด
“ท่านต้องมีวิธีส่งข้าไปสำนักจ้านเจี้ยนได้อย่างรวดเร็วแล้ว ใช่หรือไม่?”
“เจ้าจะไปทำอันใดที่นั่น” หรือนางคิดจะยืมมือข้าเพื่อหลบหนี
ซูซวงลูบคางพลางครุ่นคิด ดินแดนทางใต้เป็นฐานที่มั่นหลักของสำนักหลานเทียน หากข้าส่งตัวไปเอง อาจถูกโจมตีและจบชีวิตที่นั่นก็ได้