ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน - บทที่ 109 ตายเพื่ออิสรภาพของตนเอง
บทที่ 109 ตายเพื่ออิสรภาพของตนเอง
หลิงเยว่ได้แสดงฝีมืออันโดดเด่นให้ทุกคนประจักษ์
“ท่านเก่งจริง ๆ ท่านรองเจ้าเมือง ช่วยส่งเถาวัลย์ขึ้นมาอีกหลาย ๆ เส้นให้ข้าหน่อยเถิดเจ้าค่ะ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น หลิงเยว่จึงตอบไปตามจริงว่า นางทำไม่ได้ เถาวัลย์นี้เพียงเส้นเดียวก็ใช้พลังไปกว่าหนึ่งในสามแล้ว อีกทั้งการรุกรานของสัตว์อสูรเพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น นางยังไม่กล้าใช้พลังทั้งหมดในคราวเดียว
ความโกลาหลอลหม่านทำให้หลิงเยว่และเหล่าผู้คุ้มกันทั้งสี่ค่อย ๆ ห่างไกลออกไป เหล่าผู้คุ้มกันที่กำลังคลั่งก็ไม่ได้สนใจนางอีกต่อไป ด้วยเหตุนี้ นางจึงต้องใช้พลังอย่างรอบคอบ
เถาวัลย์หนามไม่แผ่ขยายเข้าโจมตีสัตว์อสูรในท้องฟ้าอีกต่อไปแล้ว แต่กลับกลายเป็นเพียงหนามเล็ก ๆ ที่พุ่งออกมาพันธนาการสัตว์อสูรไว้ ทำให้เหล่าสัตว์อสูรเคลื่อนไหวไม่ได้ กองทหารชุดแดงและเหล่านักโทษจึงได้ทีเข้าโจมตี
ณ ดินแดนทางเหนือกำลังเกิดการต่อสู้อันนองเลือด ผู้คนต่างล้มตายไม่ต่างจากใบไม้ร่วง ขณะเดียวกันนั้นเอง ณ ดินแดนทางใต้ การประลองยุทธ์ระหว่างสำนักต่าง ๆ ก็กำลังดำเนินไปอย่างดุเดือด เหล่าศิษย์จากสำนักต่าง ๆ มุ่งมั่นที่จะคว้าชัยชนะและสร้างชื่อเสียงให้กับสำนักของตน
เพียงแต่ความคึกคักที่นั่นไม่เกี่ยวข้องกับหลิงเยว่ สถานการณ์นอกเมืองฮั่วหยางนั้น ทั้งผู้คนและสัตว์อสูรล้วนคลั่งกันไปเสียหมด หลิงเยว่และเหล่าผู้คุ้มกันทั้งสี่คลาดกัน ยิ่งไปกว่านั้น นางยังถูกนักโทษที่เพิ่งบรรลุขั้นสร้างรากฐานสามคนปิดล้อมไว้
และในบรรดานักโทษเหล่านั้น มีคนที่หลิงเยว่เคยพบหน้ามาก่อน
โชคร้ายสิ้นดี!
“อ้าว! นี่ไม่ใช่เด็กสาวที่วิ่งหนีสุดชีวิตเมื่อตอนนั้นหรอกหรือ ตอนนี้ดูจะเก่งอยู่เหมือนกันนี่”
“ฮ่า ๆ ได้ยินมาว่ารองเจ้าเมืองคนที่สองแห่งเมืองฮั่วหยางเป็นเด็กสาวระดับกลั่นลมปราณขั้นเก้า หรือว่าจะเป็นนางผู้นี้?”
“ข้าเคยเห็นนางมาส่งข้าวตอนที่ข้ากำลังซ่อมถนน นางแต่งกายงดงาม บริวารรอบกายล้วนให้ความเคารพ ต้องใช่นางเป็นแน่”
ชายร่างใหญ่สามคนยืนล้อมหลิงเยว่ทั้งสามด้าน
หลิงเยว่เงยหน้าขึ้นมองชายทั้งสาม ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความดูถูกเหยียดหยาม
“เมื่อรู้ว่าข้าคือรองเจ้าเมืองแล้ว เช่นนั้นก็คุ้มกันข้าเข้าเมืองเถิด หากระหว่างทางพวกเจ้าประพฤติดี อาจพิจารณาคืนอิสรภาพให้”
กิริยาหยิ่งยโสของนางทำให้คนทั้งสามกำหมัดแน่น หนึ่งในนั้นเงื้อหมัดหมายจะชกนาง ทว่าถูกอีกคนห้ามไว้เสียก่อน
นางตัวบอบบางเช่นนี้ หากถูกทำร้ายขึ้นมาจะมีสภาพอย่างไร?
หากสถานะของนางเป็นถึงรองเจ้าเมืองจริง พวกเขาที่ปรารถนาจะได้รับอิสรภาพนั้น ย่อมต้องพึ่งพานาง
แม้ภายนอกหลิงเยว่จะแสดงท่าทีนิ่งสงบราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น เมื่อจะถูกกำปั้นพุ่งเข้าใส่ แต่ภายในใจของนางกลับสั่นระรัวด้วยความกลัว
หมัดเดียวของผู้บำเพ็ญระดับสร้างรากฐาน แม้จะไม่ถึงตายแต่ก็ถึงขั้นบาดเจ็บสาหัส น่าเสียดายที่นางไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเสี่ยงดู ตอนนี้พลังปราณของนางเหลือเพียงหนึ่งในสาม แม้ในยามที่พลังวิญญาณเต็มเปี่ยมที่สุด นางก็ยังไม่สามารถหนีจากการโจมตีของผู้ที่อยู่ในขอบเขตสร้างรากฐานสามคนไปได้โดยง่าย
เห็นทีต้องแสดงตัวตนเสียหน่อยแล้ว
ไม่น่าเชื่อว่า… ตำแหน่งรองเจ้าเมืองจะมีประโยชน์ต่อนางเพียงนี้ อย่างน้อยก็ทำให้ชายสามคนนี้ไม่กล้าลงมือ
“เจ้าแน่ใจหรือว่าจะสามารถคืนอิสรภาพให้พวกเราได้จริง?”
หัวหน้ากลุ่มชายฉกรรจ์ย่างกรายเข้าหาหลิงเยว่ จ้องมองเธอตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าด้วยสายตาที่เฉียบคมและเต็มไปด้วยความขู่เข็ญราวกับจะสื่อว่า หากกล้าโกหก ข้าจะบดขยี้เจ้าให้แหลกละเอียดเสีย!
“ข้าคือรองเจ้าเมืองเฟิ่งชิง” หลิงเยว่เอ่ยอย่างใจเย็นพร้อมกับหยิบตราสัญลักษณ์รองเจ้าเมืองออกมาแสดง
ใช่! เหตุใดนางจึงลืมเรื่องตราสัญลักษณ์ไปเสียได้ เพียงส่งพลังปราณเข้าไป เหล่าผู้คุ้มกันทั้งสี่ก็สามารถรับรู้ตำแหน่งของนางได้ทันที
ด้วยเหตุนี้แล้ว ตำแหน่งรองเจ้าเมืองก็ดูไม่ได้เลวร้ายนักมิใช่หรือ?
เฮ้อ
“ฟ่อ… ฟ่อ…”
ในขณะที่หลิงเยว่กำลังส่งพลังปราณเข้าไปในตราสัญลักษณ์อย่างเงียบ ๆ เสียงร้องของงูก็ดังขึ้นอยู่รอบตัว
เหมือนจะไม่ใช่เพียงตัวเดียว…
หัวหน้ากลุ่มชายฉกรรจ์เป็นคนแรกที่ตั้งสติได้ เขาเตรียมจะโจมตี แต่กลับพบว่าต้นไม้ที่อยู่รอบตัวนั้น ถูกพันเต็มไปด้วยงูเหลือมสีน้ำตาล ทั้งยังมีขนาดใหญ่กว่าตัวเขาเสียอีก เสียงร้องของงูเหลือมดังกึกก้อง บ่งบอกถึงจำนวนที่มีมากมายนับไม่ถ้วน
งูเหลือมเหล่านั้นแลบลิ้นออกมาขู่พวกเขา ดวงตาเยือกเย็นของพวกมันกำลังจ้องมองมา จนพวกเขารู้สึกเย็นวาบไปทั้งใจ
เหงื่อเย็นไหลหยดจากหน้าผากของทั้งสี่คน พวกเขาไม่กล้าแม้แต่จะเคลื่อนไหวสักเพียงนิด
งูเหลือมเหล่านี้ สามารถเข้าใกล้หัวหน้ากลุ่มชายฉกรรจ์ที่อยู่ในระดับสร้างรากฐาน โดยที่เขาไม่สามารถสังเกตเห็นได้ แสดงว่าพวกมันต้องมีพลังมากกว่าระดับสร้างรากฐานขั้นกลางขึ้นไปอย่างแน่นอน
อาจเป็นระดับสร้างรากฐานขั้นสูง หรือ… อาจจะเป็นขั้นจินตาน
หลิงเยว่ไม่อาจรักษาใบหน้าที่นิ่งเรียบไว้ได้อีกต่อไป เพราะหัวงูที่มีกลิ่นคาวเลือดกำลังเลื้อยผ่านต้นคอ และตรงไปยังใบหน้าของนาง
ระยะห่างของนางและงูนั้นอยู่ใกล้กันมาก
ลำตัวของมันยังคงพันอยู่กับต้นไม้ แต่หัวของมันได้เลื้อยมาอยู่ตรงหน้าของหลิงเยว่แล้ว
การถูกจ้องมองด้วยดวงตาที่เยือกเย็นเป็นอย่างไร? หลิงเยว่พลันรู้สึกแข้งขาอ่อนแรงจนอยากจะเป็นลมหมดสติไปเสียตรงนี้ แต่หลิงเยว่ไม่กล้าขยับตัวเลยแม้แต่น้อย นางรู้ดีว่าหากนางขยับตัวเพียงนิดเดียวต้องถูกงูเหลือมตัวนั้นกลืนกินเป็นแน่
งูตัวนี้ ไม่ใช่งูของผาวฮุยที่อยู่ขอบเขตกลั่นลมปราณขั้นหกเท่านั้น หากแต่เป็นงูเหลือมขนาดยักษ์ที่มีขอบเขตสร้างรากฐานระดับกลางขึ้นไป
ชายฉกรรจ์ทั้งสามเห็นเช่นนั้น ก็ไม่กล้าเคลื่อนไหวเช่นกัน เดิมทีพวกเขาคิดจะจับตัวรองเจ้าเมืองไว้เพื่อต่อรองอิสรภาพ ทว่ายังไม่ทันเริ่มลงมือ อิสรภาพก็อยู่ใกล้แค่เอื้อมเสียแล้ว
ความตายมิใช่หนทางแห่งอิสรภาพหรอกหรือ?
ชายร่างใหญ่เมื่อครู่ที่คิดจะใช้กำปั้นชกหลิงเยว่ก็ ‘โชคดี’ ถูกงูยักษ์หมายหัวไว้ เมื่อปลายลิ้นงูเลียไปทั่วใบหน้า เขาก็ร้องไห้ออกมา พร้อมกับความร้อนที่แผ่ซ่านไปทั่วเป้ากางเกง ก่อนจะล้มลงไปข้างหลังอย่างสิ้นท่า
หลิงเยว่ทำได้เพียงมองงูยักษ์ตัวนั้น ใช้ปลายลิ้นที่หนาและยาวพันชายผู้นั้นขึ้นมา ก่อนจะส่งเข้าปากของมันอย่างรวดเร็ว
เมื่อมีงูหนึ่งตัวได้ลิ้มรสอาหารแล้ว งูตัวอื่นที่อยู่รอบ ๆ ก็เริ่มขยับเคลื่อนไหวมากขึ้น บางส่วนก็เข้ามาใกล้พวกเขายิ่งขึ้น อีกส่วนก็ถูกเสียงที่ดังมาจากไม่ไกลนักดึงดูดไป
ปลายลิ้นงูที่เปียกชื้นและส่งกลิ่นเหม็นเลียไปทั่วลำคอของหลิงเยว่ ก่อนจะค่อย ๆ เลื้อยเข้ามาใกล้ใบหน้าของนางยิ่งขึ้น สัมผัสที่แสนเหนียวหนึบและกลิ่นเหม็นสาบทำให้ใบหน้าของหลิงเยว่ซีด ความแสบร้อนพลันไหลผ่านลำคอของนางขึ้นมา
เหตุใดผู้คุ้มกันถึงยังไม่มา นางจะทนไม่ไหวแล้ว!
เมื่องูยักษ์เลียจนพอใจแล้ว ปลายลิ้นตวัดพันไปรอบคอของหลิงเยว่ ก่อนจะยกนางขึ้นมาอย่างช้า ๆ หวังส่งเข้าไปในปากของมัน
เพียงชั่วพริบตา ราชาดอกไม้เกล็ดหิมะดำก็พุ่งออกมาช่วยหลิงเยว่ไว้ พลันกลีบดอกไม้กลายเป็นใบมีดคมกริบ ตัดลิ้นงูจนขาดออก จากนั้นกลีบดอกไม้อีกกลีบหนึ่งก็กระแทกงูยักษ์จนกระเด็นออกไป
ต้นไม้ใหญ่ที่ถูกงูพันเอาไว้พังครืนลงมาทันที
การต่อสู้เริ่มต้นขึ้นในพริบตา
นักโทษสองคนที่เกือบจะถูกกลืนเข้าไปในท้องงูและเหล่างูยักษ์ต่อสู้กันอย่างดุเดือด ในขณะที่หลิงเยว่ซึ่งเป็นพวกตัวบางราวกับกระดาษได้เผชิญหน้ากับงูยักษ์ที่โกรธเกรี้ยวซึ่งเหลือเพียงครึ่งตัวและลูกน้องอีกสามตัวของมัน
“ราชาดอกไม้เกล็ดหิมะดำ ข้าไม่ไหวแล้ว เจ้าช่วยข้าหน่อยเถิด…”
“อย่าหวังพึ่งข้าเลย!”
ราชาดอกไม้เกล็ดหิมะดำเกาะอยู่บนหัวของหลิงเยว่ กลีบดอกของมันเหี่ยวเฉาไปหมด เนื่องจากเมื่อครู่เพิ่งจะช่วยหลิงเยว่และเหวี่ยงงูยักษ์ออกไป เรียกว่าใช้พลังจนเกือบหมดแล้ว
มันเป็นเพียงราชาดอกไม้ที่ถนัดในการสร้างภาพลวงตาเท่านั้น เมื่อต้องเผชิญหน้ากับสัตว์อสูร โดยเฉพาะตัวที่มีพลังสูงกว่ามันแล้ว จึงไม่อาจช่วยอะไรได้มากนัก
หากมีพลังสูงกว่าสัตว์อสูร ก็คงจะพอช่วยได้บ้าง แต่หลังจากที่ได้ทำสัญญากับหลิงเยว่แล้ว พลังวิญญาณของมันจึงถูกผนึกให้เหลือเพียงสร้างรากฐานขั้นกลาง ส่วนงูยักษ์ทั้งสี่ตัวที่อยู่ตรงหน้านั้น มีสามตัวที่มีพลังเท่ากับมัน ส่วนพลังของงูที่ขาดครึ่งนั้นอยู่ในขอบเขตสร้างรากฐานขั้นปลาย
อีกทั้งมันยังอยู่ในสภาวะคลุ้มคลั่งด้วย หากต้องการเอาตัวรอดนั้น คงยากยิ่งกว่าขึ้นสวรรค์แล้ว!
หลิงเยว่ทำได้เพียงพึ่งพาราชาดอกไม้เกล็ดหิมะดำ เพื่อเอาชีวิตรอด แต่ละก้าวช่างยากลำบากนัก ทั้งยังถูกงูยักษ์ทั้งสี่ตัวเล่นสนุกด้วยอีกต่างหาก
พวกมันสามารถรุมเข้ามาพร้อมกันได้ ทว่าพวกมันกลับชอบมองดูพวกนางดิ้นทุรนทุรายอยู่เสียเฉย ๆ
ผ่านไปเพียงครู่เดียว หลิงเยว่ก็โดนหางหยาบ ๆ ของมันตบกระเด็นออกไป จุดที่ร่วงลงมามีเจ้าอสรพิษตัวใหญ่อ้าปากรอรับนางอยู่พอดี
ลำแสงสีทองพุ่งพรวดทะลุปากของเจ้าอสรพิษตัวใหญ่ออกไป จากนั้นก็พุ่งเข้าใส่เจ้าอสรพิษตัวใหญ่อีกสามตัวที่กำลังดูอยู่
ในสายตาของหลิงเยว่นั้นพวกมันทั้งสี่ดูเก่งกาจนัก พลันล้มครืนลงมานอนดิ้นได้เพียงครู่ก็สิ้นชีพทันที!
หลิงเยว่ที่รอดชีวิตราวกับปาฏิหาริย์ ยกมืออันสั่นเทาขึ้นเช็ดคราบเมือกเหนียวหนึบที่ติดอยู่บนใบหน้าด้วยเศษผ้าที่ขาดวิ่น นางทนกับความรู้สึกคลื่นไส้ที่อั้นไว้มานานไม่ไหว ในที่สุดก็อาเจียนออกมา หลิงเยว่จึงทำได้เพียงกอดต้นไม้พร้อมกับอาเจียนอยู่อย่างนั้น
หลิงเยว่ที่รอดชีวิตราวกับปาฏิหาริย์ ยกมืออันสั่นเทาขึ้นเช็ดคราบเมือกเหนียวหนึบที่ติดอยู่บนใบหน้าด้วยเศษผ้าที่ขาดวิ่น นางทนกับความรู้สึกคลื่นไส้ที่อั้นไว้มานานไม่ไหว ในที่สุดก็อาเจียนออกมา หลิงเยว่จึงทำได้เพียงกอดต้นไม้พร้อมกับอาเจียนอยู่อย่างนั้น