ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน - บทที่ 111 กลิ่นหอมของอาหารส่งผลให้ขวัญกำลังใจดีขึ้น
บทที่ 111 กลิ่นหอมของอาหารส่งผลให้ขวัญกำลังใจดีขึ้น
ขณะที่นอกเมืองกำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือด ระหว่างกองทหารชุดแดงและฝูงสัตว์อสูร ภายในเมืองกลับมีกลิ่นหอมโชยออกมา
หลิงเยว่ที่กำลังกินไก่ทอดอยู่นั้น ไม่รู้เหมือนกันว่าเหตุใดเรื่องถึงได้กลายเป็นเช่นนี้ ทั้ง ๆ ที่นางเพียงต้องการล้างกลิ่นเหม็นบนร่างกายของตัวเองเท่านั้น
“พี่เสี่ยวชิง ไก่ทอดนี่อร่อยยิ่งนัก”
เด็ก ๆ กำลังกินไก่ทอดกันอย่างเอร็ดอร่อยส่งเสียงหัวเราะคิกคัก ต่างจากเหล่าทหารที่ได้รับบาดเจ็บ แล้วถูกหามเข้ามาอย่างสิ้นเชิง
“ก่อนหน้านี้เด็ก ๆ ร้องไห้และกลัวกันยิ่งนัก แต่พอเจอเหตุการณ์เช่นนี้อยู่บ่อยครั้ง พวกเขาจึงเริ่มชินชาเสียแล้ว”
ชายชรานั่งกัดไก่ทอดอยู่ด้านข้าง พูดพลางเคี้ยวไปด้วย
ขณะนั้น มีทหารที่ได้รับบาดเจ็บคนหนึ่งถูกหามผ่านมา ร่างกายเต็มไปด้วยเลือด แม้แต่จะให้รู้สึกตัวก็ยากพอแล้ว ทว่าเขาก็ยังพยายามยื่นมือออกมา…
หลิงเยว่มองตามมือของเขาไปก็เห็นเป็นจานที่ใส่หนังงูทอด จึงหยิบหนังงูชิ้นหนึ่งโบกไปมาตรงหน้าเขา ดวงตาที่พร่ามัวของเขาพลันสว่างขึ้น
เมื่อทหารที่ได้รับบาดเจ็บคนนั้นได้กินหนังงูทอดก็สลบไปอย่างมีความสุข
ส่วนคนที่อยู่ในเหตุการณ์รวมถึงคนที่หามเขากลับมา “…”
คนใกล้ตายแล้วยังคิดอยากกินของอร่อย เมื่อก่อนพวกทหารชุดแดงไม่เคยตะกละถึงเพียงนี้!
หากมีเพียงคนสองคนที่เป็นเช่นนี้ หลิงเยว่คงไม่รู้สึกอะไรมากนัก แต่ราวกับว่าเหล่าทหารที่ได้รับบาดเจ็บนั้นนัดหมายกันมาแล้ว เพราะทุกครั้งที่เดินผ่านเป็นต้องยื่นมือมาขอหนังงูทอดกันเสียทุกคน
หนังงูทอดไม่มีผลต่อการรักษา ทำได้เพียงฟื้นพลังที่หมดไปนั่นให้กลับมาเพียงเล็กน้อย
หนังงูทอดในตะกร้าขนาดใหญ่ถูกแบ่งกันจนหมดเกลี้ยง
เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว หลิงเยว่จึงนำงูที่เหลือมาทอดเสียเลย และคราวนี้ใส่สมุนไพรวิญญาณที่ช่วยฟื้นฟูบาดแผลเพิ่มไปด้วย โดยสมุนไพรวิญญาณเหล่านี้เป็นของผู้บำเพ็ญที่กลับมา ซึ่งมีอยู่ไม่มากนัก
ชาวเมืองทั่วไปรับหน้าที่ล้างทำความสะอาด ส่วนผู้บำเพ็ญที่พอจะเคลื่อนไหวมือได้ ทั้งยังมีสติอยู่ก็มีหน้าที่หั่นงูเป็นชิ้นเพื่อนำไปทอด งานต่าง ๆ ล้วนได้รับการแบ่งหน้าที่อย่างเป็นระเบียบ
ถนนหน้าประตูเมืองเริ่มกลับมาคึกคักเต็มไปด้วยผู้คนมากมาย
อาหารวิญญาณพิเศษอย่างหนังงูทอดเพียงอย่างเดียวดูจะน้อยเกินไป หลิงเยว่จึงหันไปสนใจสัตว์อสูรกองโตที่วางอยู่ข้างประตูเมืองแทน
เหล่าผู้บำเพ็ญในเมืองที่ยังว่างอยู่ ก็ได้ลงมือทำงานตามคำสั่งของหลิงเยว่ที่เป็นรองเจ้าเมืองน้อยผู้นี้ด้วยความไม่เต็มใจนัก
หากไม่มีตำแหน่งรองเจ้าเมือง หลิงเยว่คงสั่งผู้บำเพ็ญระดับจินตานไม่ได้เป็นแน่ ความรู้สึกที่ได้สั่งพวกเขานี่… ช่างรู้สึกดีเสียจริง
ซูซวงโยนงูเหลือมตัวใหญ่ลงตรงหน้าหลิงเยว่ นางไม่อยากกินหนังงูที่ถูกกัดแทะจนเหลือแต่เศษ จึงตัดสินใจออกเมืองไปล่างูเหลือมลายจุดน้ำตาลมาด้วยตัวเอง
“ข้าไม่ว่าง”
หลิงเยว่เข้าใจความหมายของท่านเจ้าเมืองดี นางเหลือบมองงูตัวนั้นเพียงนิด แล้วผละไปทำงานตรงหน้าดังเดิม
สองข้างถนนเรียงรายไปด้วยหม้อต้มขนาดใหญ่ แต่ละหม้อเต็มไปด้วยโจ๊กที่มีวัตถุดิบหลากหลาย ทั้งเนื้อสัตว์ ผัก และยังใส่เห็ดป่าลงไปด้วย มันมีสีสันสดใส และกลิ่นหอมที่ยวนใจนัก
นี่เป็นครั้งแรกที่หลิงเยว่ต้องต้มโจ๊กหลายร้อยหม้อพร้อม ๆ กัน ปราณในร่างกายของนางจึงลดลงอย่างรวดเร็ว โชคดีที่มีอมยิ้มฟื้นปราณอยู่ในปาก พลังของนางจึงฟื้นฟูกลับคืนมาได้ นับว่าเป็นการฝึกฝนอีกแบบหนึ่งกระมัง?
สุดท้ายซูซวงก็ลงมือจัดการงูเหลือมลายน้ำตาลด้วยตนเอง ทำให้ผู้คนที่อยู่รอบข้างตกใจไปตาม ๆ กัน เหล่าบริวารต่างรีบโยนงานในมือทิ้งเพื่อเข้ามาช่วย แต่กลับถูกหญิงสาวทั้งสองจ้องกลับมาจนต้องล่าถอยไป
ไม่มีใครกล้าทำอันใดแล้ว
ชาวเมืองทั่วไปจะแบ่งกันดูแลหม้อโจ๊กคนละหนึ่งหม้อ ร่วมแรงร่วมใจกันคนโจ๊กเห็ดที่ใส่เนื้อสัตว์อสูรลงไปด้วย กลิ่นหอมจากโจ๊กในหม้อขนาดใหญ่หลายร้อยใบรวมตัวกัน ฟุ้งกระจายไปถึงนอกเมือง
“โอ้โห! กลิ่นอันใด ช่างหอมยิ่งนัก!”
ทหารชุดแดงที่กำลังต่อสู้กับสัตว์อสูรอย่างดุเดือด พยายามสูดกลิ่นหอมนั้น ที่ผสมเข้ากับกลิ่นคาวเลือดและกลิ่นไหม้ แม้กลิ่นจะไม่น่าพิศวาสเสียเท่าใดนัก แต่กลับทำให้เขารู้สึกหิวขึ้นมา
“ต้องเป็นฝีมือของท่านรองเจ้าเมืองน้อยเป็นแน่ พวกเรารีบกลับไปกินกันเถิด”
เหล่าทหารที่แยกแยะกลิ่นหอมอันแสนพิเศษของอาหารวิญญาณได้ต่างฮึกเหิมขึ้นมา ทั้งที่เมื่อครู่เพิ่งจะเหนื่อยล้ากันอยู่เชียว
“ฆ่ามันให้หมด! ท่านรองเจ้าเมืองน้อยทำอาหารอร่อยแล้ว!”
พวกคนที่บ้าคลั่งอยู่กับการฆ่าฟัน พลันได้สติขึ้นมาเพราะกลิ่นหอมนั้น ก่อนที่จะกลับเข้าสู่สภาพที่โหดเหี้ยมยิ่งกว่าเดิม
พวกสัตว์อสูรที่ต่อสู้กับพวกเขามึนงงไปกันหมด เหตุใดถึงต่างจากเมื่อครู่ได้ถึงเพียงนี้กัน!
ทั้งที่ทุกคนอยู่ในช่วงอ่อนแอ แต่พวกเขากินโอสถวิเศษอะไรเข้าไปกัน เหตุใดพวกทหารส่วนใหญ่ถึงได้ฟื้นคืนพลังกลับมาเช่นนี้?
ปกติแล้วต้องใช้เวลาถึงครึ่งเดือน กว่าจะต้านทานการรุกรานของสัตว์อสูรขนาดกลางได้ ทว่าคราวนี้มีโจ๊กสัตว์อสูรของหลิงเยว่คอยช่วยเหลือ จึงต้านทานการรุกรานได้สำเร็จในเวลาเพียงสิบวัน!
เมื่อพวกสัตว์อสูรพ่ายแพ้และล่าถอยกลับไปอย่างยับเยิน ทำให้เกิดเสียงโห่ร้องจากเหล่าทหารดังกึกก้องด้วยความดีใจ และเสียงโห่ร้องนั้นก็ดังไปถึงในเมือง
เหล่าทหารชุดแดงพาตัวนักโทษเดินกลับเข้าไปในเมือง สิ่งแรกที่พวกเขาเห็นคือหม้อต้มขนาดใหญ่ตั้งเรียงรายกันอยู่นับร้อยหม้อ กลิ่นหอมจากในนั้นทำให้พวกเขาเบิกตากว้างจนแทบถลนออกมาเสียแล้ว ลืมแม้กระทั่งความเจ็บปวดจากบาดแผลเมื่อครู่ไปจนหมดสิ้น พวกเขารีบมุ่งหน้าไปต่อแถวเพื่อรอตักโจ๊กทันที
หลังจากโจ๊กสัตว์อสูรร้อน ๆ ที่หอมกรุ่นไหลลงท้อง พลันทำให้ร่างกายอบอุ่นขึ้น อาการสั่นเทาเพราะความหนาวเย็นจึงได้บรรเทาลงไปบ้าง
โจ๊กส่งกลิ่นหอมทำให้รู้สึกผ่อนคลาย ผู้คนที่ได้กินต่างพากันติดใจ พลังปราณแล่นไปทั่วร่างกาย ทั้งยังช่วยปลอบประโลมจิตใจที่ตึงเครียดของพวกเขาให้สงบลงอีกด้วย
“มา เติมอาหารเครื่องเคียงเสียหน่อยเจ้าค่ะ”
หลิงเยว่ยกผักเย็นจานโตมาวาง ข้างในไม่เพียงมีผักวิญญาณเท่านั้น ทว่ายังมีผักใบเขียวอีกมากมาย รสชาติเปรี้ยว เผ็ดและสดชื่น กินคู่กับโจ๊กอร่อยนัก
สำหรับผู้บาดเจ็บไม่ควรกินเผ็ด แต่สำหรับผู้บำเพ็ญความเผ็ดระดับนี้นั้นไม่นับเป็นอันใด แม้แต่เด็กเล็กก็กินได้อย่างเอร็ดอร่อย
แต่สำหรับชาวเมืองธรรมดานั้น ไม่มีผักวิญญาณ เป็นเพียงโจ๊กผักและเนื้อสัตว์ธรรมดา แต่ยังถือว่าอร่อยนัก
รองเจ้าเมืองน้อยส่งกับแกล้มมาให้ด้วยตนเอง พร้อมส่งรอยยิ้มที่สามารถเยียวยาจิตใจมาอีกด้วย ทำให้หลายคนรู้สึกชอบใจนัก
ในฐานะสัตว์กินเนื้อ เมื่อเผชิญหน้ากับผักใบเขียวมากมายเช่นนี้ ก็กลืนไม่ลงเสียแล้ว สัตว์อสูรมีมากมาย ไยท่านรองเจ้าเมืองน้อยถึงงกเช่นนี้เล่า?
กองทหารที่สิบแปด ถือว่าให้เกียรติหลิงเยว่ที่สุด พลันคีบผักกาดดองชิ้นใหญ่ใส่เข้าปาก
เสียงกรุบกรอบนั้น ทำให้สหายร่วมกองทหารและหัวหน้ากองทหารอื่น ๆ น้ำลายสอ พวกเขาแอบมองสหายร่วมกองทหาร โดยเฉพาะสีหน้าของเหลยซา อืม… เขากลืนลงไปโดยไม่ได้แสดงสีหน้าใด ๆ จากนั้นก็ตักโจ๊กอีกหนึ่งคำ และคีบผักตามขึ้นมา
สหายร่วมกองทหารอื่น ๆ ก็เช่นเดียวกัน ดูเหมือนว่าจะอร่อยนัก
“พวกเขาน่าจะร่วมมือกันหลอกพวกเราใช่หรือไม่?”
หัวหน้ากองเก้าตักโจ๊กพลางเคี้ยวเนื้อสัตว์ชิ้นเล็ก ๆ อย่างลังเล แต่แล้วสายตาของเขากลับจับจ้องไปที่เหลยซา
“พวกเจ้ามีอะไรให้หลอกลวงกัน หากพวกเจ้าไม่กิน เดี๋ยวข้ากินเอง” เหล่าสหายจิตใจดีเดินกะเผลกเข้ามาหมายจะหยิบไป เมื่อหัวหน้ากองเก้าเห็นดังนั้น พลันคิดว่าจะยอมให้เขาสมใจหวังได้อย่างไร
คนอื่น ๆ ก็กลัวจะถูกแย่ง พวกเขาจึงปกป้องถ้วยของตนเองไว้
อันที่จริงแล้ว อาหารที่ท่านรองเจ้าเมืองทำนั้นอร่อยทุกอย่าง โจ๊กมีกลิ่นหอมของผัก กินกับเนื้อแล้วอร่อยมาก แต่กับข้าวจานนี้หาเนื้อสัตว์ไม่เจอด้วยซ้ำ กินแล้วไม่อยากอาหารเอาเสียเลย
ในที่สุดท่านหัวหน้ากองเจ็ดก็คีบผักที่หั่นเสียบางเฉียบราวกับเส้นผมขึ้นมาเพียงสองสามชิ้น แล้วเอาเข้าปาก
ผิวสัมผัสกรอบ รสชาติอมเปรี้ยวและเผ็ด…
หากแต่เป็นเพราะกินไปเพียงไม่กี่ชิ้น จึงแทบไม่รู้สึกถึงรสชาติของมัน เขาจึงคีบมาอีกหนึ่งคำใหญ่ก่อนจะเอาเข้าปาก อืม… อร่อย ผักนี้ไม่มีกลิ่นเหม็นเขียวหรือรสดินเลย ยิ่งเคี้ยวยิ่งอร่อย กลิ่นหอมและรสเผ็ดอบอวลอยู่ภายในปาก
“เอ๊ะ! ผักนี่รสแปลกดีแท้”
“ข้าก็จะลองดู”
“อร่อยยิ่ง หากมีเนื้อสักหน่อยน่าจะอร่อยกว่านี้อีก”
โจ๊กสัตว์อสูรและผักของหลิงเยว่ถูกกินจนหมดเกลี้ยง ซูซวงเอาคำสุดท้ายของผักรสเปรี้ยวเผ็ดนั้นใส่ปาก ก็ยังรู้สึกไม่เต็มอิ่ม
อากาศร้อนเช่นนี้ หากได้กินของเปรี้ยว ๆ เผ็ด ๆ จะทำให้รู้สึกสบายยิ่งนัก
เมื่ออิ่มหนำสำราญดีแล้ว เหล่าทหารที่ได้รับบาดเจ็บต่างก็พยุงกันไปรักษาอาการบาดเจ็บต่อ ส่วนผู้ที่ไม่ได้มีส่วนร่วมในสงครามสัตว์อสูรครั้งนี้ก็คอยจัดระเบียบผู้คนออกไปนอกเมืองเพื่อนำเสบียงกลับ หลิงเยว่เองก็เดินตามพวกเขาไปด้วย เพื่อเตรียมหาสมุนไพรวิญญาณ
หลังจากสัตว์อสูรจากไปแล้ว บริเวณนี้ก็ปลอดภัย เหมาะแก่การเก็บสมุนไพรวิญญาณเป็นอย่างยิ่ง