ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน - บทที่ 114 นี่หรือคือการคุ้มกันอย่างใกล้ชิด?
บทที่ 113 ต่อหน้าอย่าง ลับหลังอย่าง!
“ท่านอาจารย์ พาข้าไปด้วยเจ้าค่ะ!”
เมื่อติงหลิวหลิ่วได้ยินว่าชิงยวนจะไปเมืองฮั่วหยาง จึงอยากติดตามไปด้วย
“ท่านอาจารย์ ข้าก็อยาก…”
“ไม่ได้ พวกเจ้าทั้งสองไปไม่ได้ หากพวกเจ้าไม่อยู่ แล้วผู้ใดจะดูแลศิษย์น้องของพวกเจ้า”
ชิงยวนปฏิเสธอย่างเย็นชา ก่อนจะฉีกมิติแล้วคว้าตัวหลิงเยว่และซูซวงเข้าไป ไม่นานก็หายวับไปในพริบตา
“ศิษย์พี่รอง อย่าลืมจ่ายค่าที่พักให้ข้าด้วยนะเจ้าคะ”
เสียงของหลิงเยว่ดังก้องมาจากมิติที่เพิ่งหายไป
ทั้งห้าคนมองหน้ากันด้วยความงุนงง เพราะก่อนหน้านี้พวกเขาเพิ่งจะถูกศิษย์น้องรีดไถไปจนหมดเกลี้ยง
ว่านอวี้เฟิงหน้าเจื่อน เหตุใดจึงต้องเป็นเขาด้วย…
“ข้า… ข้าไม่มีหินวิญญาณเลย… แม้แต่ก้อนเดียว”
“ข้าก็ด้วย”
ลู่เป่ยเหยียนจ้องมองไปที่โม่จวินเจ๋อ สายตาอีกสามคู่ก็เผลอมองตามไปเช่นกัน
เมื่อครู่พวกเขาไม่ได้ไตร่ตรองให้รอบคอบเสียก่อน จึงวู่วามมอบหินวิญญาณและของวิเศษรวมถึงโอสถที่ไม่จำเป็นให้หลิงเยว่ไปหมดแล้ว โชคดีที่สำนักจ้านเจี้ยนมีอาหารและที่พักให้ ไม่เช่นนั้น…
“เหตุใดถึงมองข้าเช่นนั้น ข้าเองก็ไม่มีเหลือแล้ว”
อวี้เจินคิดจะหนีไปก่อน แต่โม่จวินเจ๋อกลับเร็วกว่า สุดท้ายในห้องนั้น จึงเหลือเพียงติงหลิวหลิ่ว
“แขกผู้สูงศักดิ์ น้ำร้อนที่ท่านต้องการ…”
ในขณะนั้นพนักงานของโรงเตี๊ยมกำลังยกถังน้ำร้อนมาส่งพอดี
ติงหลิวหลิ่วพยักหน้าด้วยสีหน้าราบเรียบ พลางหยิบขวดโอสถปี้กู่ยื่นให้พนักงานผู้นั้น พร้อมกล่าวว่า “ขอบใจ วางไว้เถิด”
เดิมทีพนักงานผู้นั้นคิดว่าแขกจะหนี แต่พอได้รับโอสถปี้กู่หนึ่งขวดก็ยิ้มกริ่ม ก่อนรีบวางถังน้ำร้อนลง แล้วยังปิดประตูให้ติงหลิวหลิ่วอย่างเอาใจอีกด้วย
ถึงเขาจะรับของไปแล้ว แต่พนักงานคนนั้นก็ยังเล่าเรื่องของแขกที่จองห้องหายไปให้เจ้าของโรงเตี๊ยมฟังตามความเป็นจริง
ติงหลิวหลิ่วที่คิดจะหนีออกทางหน้าต่างเพื่อไม่ต้องจ่ายเงิน จึงถูกจับได้เสียก่อน…
ติงหลิวหลิ่ว “…”
ในขณะเดียวกัน ทางด้านของทั้งสามคนที่ฉีกมิติหนีออกมาก่อน ก็ถึงเมืองฮั่วหยางแล้ว
ชิงยวนมองดูเมืองที่ถูกล้อมรอบด้วยผืนทรายสีเหลืองอร่าม แลเห็นอาคารบ้านเรือนที่เรียบง่ายอยู่ภายใน ชั่วครู่หนึ่งนางไม่รู้ว่าควรทำสีหน้าอย่างไรดี?
จะบอกว่าที่แห่งนี้ทุรกันดาร… และเป็นเมืองที่ยากจนที่สุดก็คงไม่ผิดกระมัง
“ศิษย์เอ๋ย หากเจ้าอยากสร้างเมืองแห่งอาหารขึ้นมา สำนักหลานเทียนก็มีเมืองเช่นกัน อาจารย์สามารถยกเมืองนั้นให้เจ้าได้”
หากว่าหลิงเยว่ไม่เคยมาเยือนเมืองฮั่วหยางเลยนางคงจะตอบตกลงทันที แต่หลังจากที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ที่เมืองนี้ระยะหนึ่งแล้ว นางจึงเกิดความผูกพัน แม้ว่าจะยากลำบากอยู่สักหน่อย แต่ก็ยังอยากช่วยกอบกู้เมืองแห่งนี้ให้ยังคงอยู่ได้
การกอบกู้เมืองในครั้งนี้ นอกจากจะเป็นการทำภารกิจให้สำเร็จแล้ว ยังสามารถเผยแพร่อาหารวิญญาณสุดแสนอร่อยผ่านเมืองนี้ได้อีกด้วย จะมีสิ่งใดที่ดีไปกว่านี้อีกหรือ?
“อาจารย์เจ้าคะ ศิษย์ชอบเมืองนี้ และการพัฒนาเมืองที่กันดารเช่นนี้ให้เจริญรุ่งเรืองขึ้นมาใหม่ จะยิ่งรู้สึกภาคภูมิใจในความสำเร็จนะเจ้าคะ!”
ชิงยวนรู้อยู่แล้วว่าหลิงเยว่คงไม่ยอม ทว่าเมืองฮั่วหยางที่ทุรกันดารและทรุดโทรมเช่นนี้ ต้องใช้ทุนทรัพย์เท่าใดกันถึงจะปรับปรุงให้ดูดีขึ้นมาได้เล่า
ยิ่งไปกว่านั้น… ยังมีสัตว์อสูรที่จะบุกมาเป็นระยะ ๆ อีก เมืองที่สร้างขึ้นมาใหม่นั้นจะสามารถป้องกันได้จริงหรือ?
ชิงยวนได้แต่แสดงท่าทีสงสัย
แต่เอาเถิด หากลูกศิษย์อยากลองก็ตามใจนาง
“อาจารย์เจ้าคะ?” หลิงเยว่ดึงชิงยวนเข้าไปในจวนเจ้าเมือง “เรื่องที่ศิษย์สามารถเข้าออกเขตอาคมได้ ถูกราชาแห่งนิกายอสุภะเห็นแล้วเจ้าค่ะ…”
ซูซวงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ รีบเสริม แต่กลับถูกสายตาที่เฉียบคมของชิงยวนจ้องมองจนรู้สึกอึดอัดไปทั้งตัว
เรื่องนี้ก็ไม่ใช่ความผิดของนางเสียทีเดียว จะมาโทษนางได้อย่างไร ผู้ใดจะไปรู้ว่าราชานิกายอสุภะที่ไม่เคยปรากฏตัวมาก่อนจะโผล่มา เมื่อสองครั้งที่แล้ว พวกนางก็สามารถไปปล้นมาได้อย่างราบรื่น ทั้งยังได้ของมามากมายนัก
แต่ครั้งที่สาม พวกเขากลับต้องประสบความพ่ายแพ้อย่างหนัก
ชิงยวนพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เจ้าอยู่ที่นี่เฉย ๆ เถิด ส่วนเรื่องนี้ข้าจะไปจัดการเอง”
ตอนที่นิกายอสุภะถูกกวาดล้าง นางไม่ได้อยู่ที่นั่นด้วย และนางก็ไม่เคยได้ยินจากผู้ใดว่าเคยพบกับราชานิกายอสุภะมาก่อน
เมื่อทั้งสองคนถูกทิ้งให้อยู่ในเมือง พวกนางมองหน้ากัน ก่อนที่หลิงเยว่จะเทหินวิญญาณที่ยืมมาจากเหล่าศิษย์พี่ลงบนพื้น ในจำนวนนั้นมีถุงหินวิญญาณของชายหนุ่มแซ่โม่ด้วย พอเทออกมารวมกันแล้ว เกิดเป็นกองภูเขาจากหินวิญญาณจำนวนมาก ในจำนวนนั้นยังมีหินวิญญาณระดับกลางปะปนอยู่อีกมากนัก เมื่อซูซวงเห็นเช่นนั้นดวงตาก็แดงระเรื่อขึ้นมาทันที
เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่เพิ่งอยู่ในขอบเขตสร้างรากฐานนั้น มีความมั่งคั่งมากกว่านางเสียอีก เมื่อเห็นแหวนมิติของตนเองว่างเปล่า ซูซวงก็พลันเศร้าใจนัก
หากนางไม่รับตำแหน่งเจ้าเมืองฮั่วหยาง ชีวิตนางคงไม่ลำบากถึงเพียงนี้ใช่หรือไม่?
หินวิญญาณหลายร้อยล้านก้อนน่าจะพอใช้ไปสักระยะหนึ่ง เมื่อรวมกับจำนวนสัตว์อสูรที่ได้จากการสู้รบไม่กี่วันก่อน น่าจะทำให้แผนสำเร็จไปหนึ่งในสาม การปฏิวัติยังไม่สำเร็จ ข้าต้องพยายามต่อไป!
หลิงเยว่ยกหินวิญญาณทั้งหมดให้ซูซวง ส่วนโอสถ แผ่นยันต์และแผ่นค่ายกลนั้นต้องเก็บไว้ป้องกันตัวอยู่แล้ว หากต้องเผชิญหน้ากับการถูกล้อมจากสัตว์อสูรอีกครั้ง จะได้ไม่ต้องรอความตายอย่างสิ้นหวัง
ซูซวงที่เก็บเกี่ยวผลประโยชน์ได้มากมาย พลันเดินอย่างมีความมั่นใจพร้อมกับหินวิญญาณในมือ
หลิงเยว่ที่จากไปสี่วันไม่ได้รีบกลับไปสั่งสอนเหล่าศิษย์ แต่กลับไปที่สวนเพาะปลูกสมุนไพรวิญญาณแทน
พื้นที่รกร้างกว้างใหญ่ไพศาลถูกปกคลุมไปด้วยพืชสมุนไพร ผัก และข้าวสายพันธุ์พิเศษ ส่วนใหญ่โผล่พ้นดิน เจริญเติบโตอย่างงดงาม เหล่านักโทษที่มีผลงานดีกำลังขจัดวัชพืชและรดน้ำต้นไม้
“ท่านรองเจ้าเมือง ท่านกลับมาแล้ว”
เมื่อเหล่านักโทษเห็นหลิงเยว่ ดวงตาของแต่ละคนล้วนเต็มไปด้วยความขอบคุณ พวกเขาโชคดีที่ถูกเลือกมาดูแลสวนสมุนไพรวิญญาณ ไม่ต้องเผชิญกับฝูงสัตว์อสูรในทุกเดือน ทั้งยังมีอาหารให้กินดีกว่าตอนอยู่ในคุก นับเป็นความโชคดีอย่างแท้จริง
และทั้งหมดนี้ล้วนเป็นบุญคุณของเด็กสาวผู้นี้ทั้งสิ้น
สายตาของหลิงเยว่ก็ไม่ได้เลวร้ายนัก นางคัดเลือกแต่ผู้ที่มีหน้าตาดี มีความสามารถไม่มากนัก แต่เพียงพอที่จะดูแลเหล่าพืชสมุนไพรวิญญาณได้ จวบจนถึงตอนนี้ยังไม่มีเรื่องหนักใจใด ๆ เกิดขึ้น
“อืม เจ้าตั้งใจทำงานดี อีกไม่นานพวกเจ้าจะได้รับอิสรภาพ”
คำมั่นสัญญานี้หลิงเยว่ไม่รู้กล่าวไปกี่ครั้งแล้ว ทว่าทุกครั้งที่ได้ยินก็ยังทำให้ผู้คนมีแรงฮึกเหิมอยู่เสมอ
หลังจากที่นางวาดภาพฝันจบลงแล้ว หลิงเยว่ก็ใช้ปราณเร่งการเจริญเติบโตของสมุนไพรวิญญาณจำนวนกว่าหกไร่ การเร่งการเจริญเติบโตของสมุนไพรวิญญาณเหล่านี้ทำให้นางต้องใช้ปราณไปถึงสองในสาม มันช่างเหนื่อยเหลือเกิน
หลิงเยว่ก้าวเดินออกไปอย่างอ่อนแรง ชายวัยกลางคนมองแผ่นหลังของนาง ดวงตาที่เคยเปี่ยมไปด้วยความขอบคุณกลับแปรเปลี่ยนเป็นความดุร้าย ก่อนยกเคียวในมือขึ้นแล้วแอบเดินตาม เมื่อเห็นว่านางอ่อนแอลง เขาก็ฉวยโอกาสจับตัวนาง หวังใช้ประโยชน์ในการหลบหนีจากที่นี่!
ยังมีผู้คนที่คิดเช่นเดียวกับชายวัยกลางคนผู้นั้นอยู่อีกมาก คนเหล่านั้นต่างก็หยิบเครื่องมือทำไร่ในมือแล้วเดินตามไปด้วย พวกเขาไม่เชื่อคำสัญญาเพ้อฝันของหลิงเยว่แต่อย่างใด การจับตัวนางไปเพื่อให้ได้อิสรภาพคงจะง่ายเสียกว่า!
อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ว่าทุกคนจะมีความคิดอันตรายเช่นนั้น ยังมีคนอีกจำนวนมากที่รู้สึกซาบซึ้งและสำนึกบุญคุณของหลิงเยว่ที่ดึงพวกเขาออกจากความทุกข์ยากราวกับต้องตกนรกบนดิน และพวกเขาจะไม่ยอมถูกลากกลับไปทนทุกข์อีกครั้งเพราะคนกลุ่มนั้นอย่างเด็ดขาด!
การลักพาตัวท่านรองเจ้าเมืองมีโทษร้ายแรงยิ่งนัก!
“เจ้าคิดว่าแค่ลักพาตัวรองเจ้าเมืองแล้วจะหนีออกไปจากที่นี่ได้จริงหรือ?”
ช่างโง่เขลาเสียจริง!
พวกเขาคิดว่าที่นี่จะไม่มีใครเฝ้าระวังอยู่เลยหรือ?
หญิงชราผู้นั้นขวางหน้าชายวัยกลางคน ส่วนผู้คนที่อยู่ด้านหลังของนางต่างกรูเข้ามาทันที ทันใดนั้นทั้งสองกลุ่มก็ได้ห้ำหั่นกันเอง!
หลิงเยว่หนีออกจากสวนสมุนไพรวิญญาณได้อย่างราบรื่น โดยที่นางก็ไม่รู้ตัวว่าเกิดความขัดแย้งขึ้นหลังจากนั้น
“ระวัง อย่าให้คนทำลายผืนดินตรงนั้น”
หัวหน้ากองทหารที่เจ็ดนำทหารชุดแดงล้อมรอบนักโทษที่กำลังถือเสียมและเคียวต่อสู้กันอย่างดุเดือด เขาไม่ได้ห้ามปรามความขัดแย้ง กลับสั่งให้ลูกน้องล้อมรอบสวนสมุนไพรวิญญาณไว้แทน และเมื่อเห็นว่ามีใครถูกเตะออกมา พวกเขาก็จะเตะกลับเข้าไปทันที
พวกเขาจะวางใจให้ท่านรองเจ้าเมืองน้อยรับมือกับกลุ่มนักโทษที่โหดเหี้ยมเพียงลำพังได้อย่างไร?
ส่วนใหญ่กลุ่มนักโทษเหล่านี้สูญสิ้นความเป็นมนุษย์ไปแล้ว พวกเขาจะใช้กลอุบายใดก็ได้เพื่อหนีออกไปจากที่นี่ ความกตัญญูเช่นนั้นหรือ อย่าได้หวัง
พวกเขาเกลียดชังทุกคน
หัวหน้ากองทหารที่เจ็ดถอนหายใจ ท้ายที่สุดแล้วท่านรองเจ้าเมืองน้อยก็ยังคงมีประสบการณ์น้อยเกินไป จึงไม่รู้ซึ้งถึงความซับซ้อนของจิตใจมนุษย์
บทที่ 114 นี่หรือคือการคุ้มกันอย่างใกล้ชิด?
บทที่ 114 นี่หรือคือการคุ้มกันอย่างใกล้ชิด?
วันต่อมา หลังจากที่หลิงเยว่สอนเหล่าลูกศิษย์เสร็จ นางก็กลับมาที่สวนสมุนไพรวิญญาณนี้อีกครั้ง แต่คราวนี้นางสังเกตเห็นว่าจำนวนนักโทษในที่แห่งนี้ลดลงไปมาก และส่วนใหญ่เป็นนักโทษชาย
ไม่ใช่ว่าคนเหล่านี้เป็นคนที่นางคัดเลือกมาด้วยความพิถีพิถันแล้วหรือ เหตุใดจึงทำงานกันแค่ครึ่งเดือนแล้วพาตัวไปโดยไม่บอกกล่าวนางสักคำ?
“พวกเขาถูกส่งไปซ่อมถนน” หญิงชราที่ยังคงอยู่ได้ตอบคำถามของหลิงเยว่ด้วยเสียงแผ่วเบา
หลิงเยว่ก้มลงพบว่าใบหน้าของหญิงชรามีรอยเขียวช้ำเป็นจ้ำ ๆ และเมื่อหันไปมองคนอื่น ๆ ก็พบว่าทุกคนมีร่องรอยของการได้รับบาดเจ็บ ทั้งรุนแรงและไม่รุนแรง เพียงมองก็รู้ได้ทันทีว่าเกิดจากการต่อสู้
ไม่แปลกใจเลยที่วันนี้พวกเขาไม่กระตือรือร้นเหมือนเมื่อวันก่อน เมื่อเห็นนางเดินผ่าน ก็แค่เพียงหันมามองแล้วรีบหันหน้าหนีไป
ดูเหมือนเมื่อวานหลังจากที่นางออกไปแล้ว ทั้งสองฝ่ายจะเกิดความขัดแย้งกันขึ้น แต่หลิงเยว่ไม่สามารถคาดเดาได้ อย่างไรก็ตาม คนเหล่านั้นก็ถูกนำตัวออกไปแล้ว จึงไม่มีอะไรต้องซักถาม
หลิงเยว่หยิบเสบียงที่ทำขึ้นเพื่อการรักษาบาดแผลออกมาแจกจ่ายให้กับผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ
“นี่เป็นของที่ผู้บำเพ็ญทำเสียไป พวกเจ้าจงนำไปกินเถิด ถึงรสชาติจะไม่ดีนัก ทั้งยังไม่มีผลในการรักษาบาดแผล แต่ก็พอจะทำให้ท้องอิ่มได้”
“ขอบพระคุณท่านรองเจ้าเมือง”
หญิงสาวคนหนึ่งที่ดูอายุมากกว่าหลิงเยว่ไม่มากนักรับเสบียงด้วยใบหน้าแดงก่ำ
“เจ้าคือฮั่วเยี่ยนใช่หรือไม่?”
“อืม” ฮั่วเยี่ยนพยักหน้า
หลิงเยว่ได้รับคำตอบที่ชัดเจนแล้ว นางจึงหยิบกุญแจออกมาจากถุงเก็บของและปลดโซ่ตรวนที่ข้อมือของฮั่วเยี่ยน “สถานะพลเมืองในเมืองฮั่วหยางที่เจ้าร้องขอนั้นได้รับการตัดสินแล้ว ต่อแต่นี้เป็นต้นไป เจ้าคือส่วนหนึ่งของเมืองนี้ หากเจ้าต้องการความอิสระยิ่งกว่านี้… ก็จงพยายามต่อไปเถิด!”
หลิงเยว่คิดในใจว่า นางได้ให้ความหวังแก่พวกเขามานานพอสมควรแล้ว ถึงเวลาแล้วที่พวกเขาจะได้รับรางวัลบ้าง เพื่อเป็นแรงจูงใจให้กับนักโทษคนอื่น ๆ!
จากนั้นหลิงเยว่จึงปลดโซ่ล่ามวิญญาณของหญิงชราออก “ท่านหญิงแห่งแคว้นตะวันตก ท่านก็พ้นจากสถานะนักโทษแล้วเช่นกัน”
หลังจากปลดโซ่ตรวนเสร็จ หลิงเยว่ก็เดินไปหาชายหนุ่มผู้เงียบขรึมคนหนึ่ง “ขอแสดงความยินดีกับเจ้าด้วยนะ เหอฉุ่ย”
หลิงเยว่ได้ตรวจสอบทั้งสามคนแล้ว พวกเขาทั้งหมดถูกใส่ร้ายป้ายสี ทั้งสามคนอยู่ในคุกแห่งนี้มาสามถึงสิบปีโดยไม่มีครอบครัว และหลังจากที่ตรวจสอบแล้ว พวกเขาก็สมควรได้รับการปล่อยตัว แต่ซูซวงไม่ต้องการปล่อยใครไป เนื่องจากตอนนี้พวกเขาต้องการคนอีกจำนวนมาก
เมื่อแผนการสร้างเมืองแห่งอาหารสำเร็จ พวกเขาก็จะได้รับอิสรภาพอย่างแท้จริง!
ทั้งสามคนที่ถูกปลดโซ่ตรวนต่างมึนงง คำพูดของหลิงเยว่ยังคงก้องอยู่ในหูของพวกเขา เมื่อมองไปยังรอยประทับจากโซ่ตรวนที่เหลืออยู่บนข้อมือ พลังวิญญาณของพวกเขาก็… กลับคืนมา!
แม้นักโทษคนอื่น ๆ จะไม่ได้รับการปลดปล่อย แต่พวกเขาก็ได้เห็นถึงความหวัง ท่านรองเจ้าเมืองไม่ได้หลอกลวงพวกเขาจริง ๆ!
“ท่านรองเจ้าเมือง พวกเราทุ่มเททำงานอย่างสุดความสามารถเช่นนี้ จะสามารถ…”
นักโทษคนหนึ่งเอ่ยถามด้วยความหวัง
“ย่อมได้ เพียงทุ่มเททำงานอย่างสุดความสามารถ อย่าคิดการร้าย พวกเจ้าก็จะได้รับการปลดโซ่ตรวนวิญญาณที่พันธนาการอยู่เช่นกัน” หลิงเยว่เอ่ยพลางลูบแขนของหนุ่มน้อยผู้ไร้เดียงสา
“อีกเดี๋ยวจะมีคนมาพาพวกเจ้าไปยังที่พัก อาชีพการงานในการจัดการสวนสมุนไพรวิญญาณยังคงอยู่เช่นเดิม ทั้งยังมีค่าตอบแทนหินวิญญาณสามสิบก้อนทุกเดือน”
หลิงเยว่อธิบายจบก็รีบเดินจากไปอย่างรวดเร็ว เนื่องจากหินวิญญาณสามสิบก้อนต่อเดือนนั้นช่างน้อยนัก นางจึงมิอาจทนอยู่นาน
“มีการจัดการที่พักอาศัย แล้วยังให้หินวิญญาณอีกด้วย!”
หมู่นักโทษต่างอิจฉาตาร้อน เมื่อรับเคียวมาก็เริ่มตัดหญ้าด้วยความกระตือรือร้น ตราบเท่าที่มุ่งมั่นทำงาน ท่านรองเจ้าเมืองย่อมสังเกตเห็นพวกเขาอย่างแน่นอน
เป็นเช่นหลิงเยว่คาดการณ์ไว้ การกระทำดังกล่าวได้กระตุ้นความกระตือรือร้นของเหล่านักโทษ และทำให้พวกเขาทำงานจนเวลาล่วงเลยไปถึงค่ำ
เพียงไม่นาน ทั้งสามคนที่จะได้เป็นชาวเมืองก็ถูกเหล่าทหารชุดแดงพาออกไป ส่วนความจริงจะเป็นเช่นไรนั้น ทำได้เพียงรอให้ถึงรุ่งเช้าเท่านั้น
“ไม่คาดคิดว่าท่านรองเจ้าเมืองจะมีวิธีซื้อใจคนได้ถึงเพียงนี้”
ในขณะนั้นเอง ท่านรองเจ้าเมืองอี้เหิงที่ได้เห็นการล่อซื้อใจผู้คนนั้นก็เข้ามาขวางทางหลิงเยว่เอาไว้
“ซื้อใจคน? ท่านคิดเช่นนั้นหรือ ข้าเพียงมอบความจริงใจแลกความจริงใจเท่านั้น” หลิงเยว่เงยหน้ามองท้องฟ้าที่มืดลง ถนนสายนี้ผู้คนไม่ค่อยพลุกพล่านจึงไม่ปลอดภัยนัก ด้วยเหตุนี้นางเลยต้องรีบไป
เมื่อคนผู้นี้ปรากฏตัวขึ้นก็รู้ได้ทันทีว่าไม่ใช่คนดี อาจารย์ยังไม่กลับ ซูซวงก็ไม่รู้ว่าหายไปไหน หากถูกฆ่าตายที่นี่…
“อย่าเพิ่งรีบร้อนไป ท่านรองเจ้าเมืองน้อย ข้าเพียงมาขอยืมโอสถจากเจ้าเท่านั้น”
“โอสถหรือ? ข้าไม่มีหรอก”
หลิงเยว่เกิดหวาดระแวงพลางถอยหลังสามก้าว คนผู้นี้รู้ได้อย่างไรว่านางมีโอสถติดตัว
นอกจากซูซวงแล้วก็ไม่มีผู้อื่นที่ล่วงรู้!
เมื่อถูกหลิงเยว่ระแวงเช่นนี้ ท่านรองเจ้าเมืองอี้เหิงก็ยิ้มน้อย ๆ พยายามทำให้ตนเองดูใจดีขึ้น “วางใจเถิด ข้าแค่มาขอยืมโอสถฟื้นฟูกายาขั้นกลางกับโอสถถอนพิษเท่านั้น ไม่เอาชีวิตเจ้าหรอก”
“ผู้ใดโดนพิษอย่างนั้นหรือ?”
หลิงเยว่อยากจะตบปากตัวเองสักที นี่มันไม่ใช่การยอมรับโดยอ้อมว่านางมีโอสถติดตัวอยู่หรือ?
ช่างโง่เง่าดีแท้!
แต่โอสถระดับกลางนางไม่มีติดตัว จะเป็นไปได้อย่างไรที่ชายตรงหน้าจะรู้จักฐานะของนาง และยังรู้ว่าชิงยวนติดตามนางมาด้วย
“ภรรยาของข้า”
“ข้าไม่มี…”
“ข้ารู้ รบกวนเจ้าไปแจ้งอาจารย์ชิงยวนสักหน่อย เมื่อข้ามีเงินมากพอแล้ว แน่นอนว่าจะจ่ายค่าหินวิญญาณให้ครบ”
“ท่านรู้แล้วหรือ?”
ซูซวงไว้ใจรองเจ้าเมืองของนางมากเพียงนี้เชียวหรือ ทั้งยังบอกเรื่องนี้กับเขาอีก
“ไม่เพียงแค่เรื่องนี้ แต่ข้ารู้เรื่องทั้งหมด ทั้งยังรู้อีกด้วยว่าความมั่งคั่งของเมืองฮั่วหยางมาถึงแล้ว!”
สีหน้าของอี้เหิงดูสดชื่นขึ้น ไม่แปลกใจเลยที่ท่านเจ้าเมืองจะปกป้องเด็กสาวถึงเพียงนี้ ทั้งยังแต่งตั้งให้เป็นรองเจ้าเมืองอีก หากไม่ติดว่าการเป็นท่านเจ้าเมืองมีข้อจำกัด ตำแหน่งเจ้าเมืองก็คงจะยกให้แล้ว
หลิงเยว่ “…”
ความรู้สึกที่นางระแวดระวังมาครึ่งค่อนวัน ล้วนแต่เป็นการคิดไปเองโดยแท้
เฮ้อ จะกล่าวโทษอันใดได้อีก นอกจากจะโทษที่บุรุษท่านนี้ ทั้งที่ชื่อดูสุภาพอ่อนโยน แต่กลับมีใบหน้าดุร้ายน่ากลัว ยามแย้มยิ้มก็ยิ่งดูคล้ายจอมโจรอันธพาลเข้าไปอีก นางหวาดกลัวก็เป็นเรื่องที่ถูกต้อง
“มืดแล้ว ข้าจะไปส่งเจ้ากลับ”
หลิงเยว่เพียงเหลือบตามองไปที่อี้เหิง แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธอันใด
ยามค่ำคืนในเมืองฮั่วหยางนั้นมืดมิดและเงียบสงัด ได้ยินเสียงลมหวีดหวิวราวกับวิญญาณมากมายร่ำไห้ ช่างน่ากลัวยิ่งนัก มีคนมาส่งยังดีกว่าให้นางอยู่ตามลำพัง
นางตัดสินใจแล้วว่าต่อไปจะต้องจุดไฟให้เมืองนี้จนสว่างไสว ให้กลายเป็นเมืองแห่งอาหารที่ไม่เคยหลับใหลในดินแดนทะเลทรายเสีย!
หลิงเยว่ถูกส่งกลับจวนเจ้าเมืองอย่างปลอดภัย ซูซวงมิได้อยู่ในจวนแล้ว เพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย นางจึงจุดตะเกียงเพียงไม่กี่ดวง แสงตะเกียงสีเหลืองอ่อน ยิ่งทำให้บรรยากาศชวนให้ขนลุกกว่าเดิม
“ท่านรองเจ้าเมือง กลับมาแล้วหรือเจ้าคะ?”
เสียงจากด้านหลังทำให้นางสะดุ้ง เมื่อหันกลับไป ปรากฏเป็นใบหน้าซีดเซียวใกล้เข้ามา
หากจำไม่ได้ว่าคนตรงหน้าคือผู้ใด หลิงเยว่คงจะฟาดฝ่ามือฉาดใหญ่ใส่หน้าคนผู้นี้เสียแล้ว
ดึกดื่นเช่นนี้ จะมาทำให้นางตกใจกลัวไม่ได้ โดยเฉพาะเมื่อนางเพิ่งประสบกับเหตุการณ์ซากศพเน่านั้นไปถึงสามครั้ง นั่นทำให้หลิงเยว่ยังคงมีอาการหวาดผวาอยู่
“ท่านเจ้าเมืองให้ข้ามาบอกท่านว่า นางเดินทางออกไปนอกเมืองและจะกลับมาในอีกไม่กี่วันเจ้าค่ะ”
“อ๋อ”
หลิงเยว่ก็คิดว่าเป็นเรื่องราวใหญ่โตอันใด เพียงออกนอกเมืองยังต้องมารายงานนางด้วยหรือ
“เพื่อปกป้องท่านจากราชานิกายอสุภะ ในระหว่างนี้ ข้าจะคอยคุ้มกันท่านอย่างใกล้ชิด”
อาจารย์ไปจัดการเจ้าศพเน่าแล้ว เหตุใดมันถึงจะมาหาข้าอีกได้เล่า
“ราชานิกายอสุภะอย่างนั้นหรือ!?”
“เจ้าค่ะ ในค่ำคืนนั้นที่ท่านไปปล้นนิกายอสุภะ พวกเราก็ได้พบกับคนผู้นั้นด้วย” หญิงผู้นั้นคิดว่าหลิงเยว่ลืม จึงได้บอกเล่าถึงเรื่องครั้งนั้นขึ้นมา
หลิงเยว่ตัวสั่นเทา พลางจับนิ้วของนางชี้ไปทางโคมไฟ ปรากฏเป็นรูปคนสีทองที่โผล่ออกมาจากด้านหลังหญิงผู้นั้น ก่อนจะกล่าวด้วยเสียงสั่นเครือ “เจ้าหันกลับไปดู ว่าใช่ตัวนี้หรือไม่…”
เมื่อพูดจบ หลิงเยว่ก็วิ่งหนีเข้าไปในจวนทันที
แต่หญิงสาวที่อ้างว้างว่าจะคอยคุ้มกันนาง กลับหายวับไปในชั่วพริบตา