ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน - บทที่ 118 โชคลาภและความมั่งคั่งมหาศาลมาเยือนแล้ว!
บทที่ 118 โชคลาภและความมั่งคั่งมหาศาลมาเยือนแล้ว!
ขอบฟ้าสุดแดนทางทิศเหนืออันแสนไกลแดงฉานไปทั่ว และท้องฟ้าแปรปรวนเป็นสีแดงเช่นนี้มาหลายวันแล้ว สิ่งนี้ชวนให้ผู้บำเพ็ญต้องหยุดยืนสังเกต
โดยทั่วไปแล้ว ปรากฏการณ์ที่ผิดแผกบนท้องฟ้าหมายความว่าของล้ำค่าได้ถือกำเนิด แต่… สีแดงนี้ช่างดูแปลกประหลาดนัก
“เจ้าคิดว่ามีของล้ำค่าใดปรากฏขึ้น หรือ…”
คำพูดที่ยังไม่จบประโยคล้วนทำให้เข้าใจได้ วิตกนักว่าจะเป็นสิ่งชั่วร้ายใด ๆ เพราะตำแหน่งนั้นคือที่ตั้งของนิกายชั่วร้ายที่สุดในดินแดนทางเหนือ
“อาจจะเป็นไปได้เหมือนกันว่ามีคนไปกระตุ้นเขตแดนลับ เพราะในอดีตดินแดนทิศเหนือมิได้เป็นเช่นภาพที่เห็นในปัจจุบัน แม้แต่ดินแดนทางใต้ก็ยังเจริญรุ่งเรืองกว่า และเขตแดนลับก็มีอยู่มากมายนับไม่ถ้วน”
ผู้บำเพ็ญมารวมกลุ่มกันทีละสองสามคนเพื่อหารือกัน บางคนได้ออกเดินทางไปสำรวจความจริงตั้งแต่วันที่สองที่มีท้องฟ้าสีแดงแล้ว
บนท้องฟ้ามียานบินนับไม่ถ้วนบินมุ่งหน้าไปยังดินแดนทางเหนือ
โดยสรุปแล้ว ดินแดนทิศเหนือที่เงียบสงัดมานานได้กลับมาคึกคักอีกครั้งเนื่องจากปรากฏการณ์ประหลาดบนท้องฟ้า ความคึกคักนี้ได้ล่วงรู้ไปถึงดินแดนด้านใต้ด้วย
“นี่ พวกเจ้าเคยได้ยินข่าวหรือไม่ ในดินแดนทิศเหนือเหมือนจะมีของวิเศษปรากฏขึ้น และยังไม่รู้ด้วยว่าเป็นจริงหรือไม่?”
“ของวิเศษอะไรกัน ข้าได้ยินมาว่าเป็นสัตว์วิเศษต่างหาก”
“หือ! พวกเจ้าฟังผิดแล้วกระมัง แลดูคล้ายว่าดินแดนต้องห้ามราชาสัตว์อสูรซึ่งสงบนิ่งมาเป็นพันปีได้เปิดแล้ว”
“ช่างมันเถิด ไม่ว่าจะสัตว์เทพ ของวิเศษ หรือเขตแดนลับแห่งใด ตอนนี้การประลองใหญ่ของสำนักได้จบลงแล้ว ไปดูกันดีกว่า เผื่อจะได้ของติดไม้ติดมือกลับไปบ้าง”
ในโลกผู้บำเพ็ญเซียน คนกล้ามีกิน คนขี้ขลาดอดตาย ดังนั้นเมื่อมีข่าวลือว่าที่ไหนมีสมบัติล้ำค่าหรือดินแดนลึกลับปรากฏขึ้น ไม่ว่าจะมีพลังปราณมากน้อยแค่ไหน ทุกคนก็จะแห่กันไปดู
“ไปกัน พวกเราเองก็ไปดูกันเถิด”
หลังจากที่ชิงยวนหายตัวไป ปิงซู่ผู้เชี่ยวชาญด้านภาพลวงตาจึงได้ขึ้นมาเป็นผู้นำแทน เมื่อได้ยินข่าวนี้ก็รีบรวบรวมเหล่าศิษย์ที่เข้าร่วมการประลองใหญ่ของสำนักในครั้งนี้ให้มุ่งหน้าไปด้วยกัน
และยังมีสำนักใหญ่ ๆ อีกหลายแห่งที่ตัดสินใจเช่นเดียวกันกับเขา
โม่จวินเจ๋อและคนอื่น ๆ ที่รู้ความจริง ต่างมีสีหน้าที่บ่งบอกว่านี่ไม่ได้เกินจริงไปแล้วหรือ ไม่รู้ว่าพวกเขากำลังคิดอะไรอยู่ หรือว่า… เรื่องนี้มันจะบานปลายเกินไปแล้ว?
ข่าวแพร่สะพัดไปทั่วทั้งโลกผู้บำเพ็ญเซียน การหลอกลวงครั้งนี้จะจบลงอย่างไร?
“ต้องพูดความจริงออกไป… หรือไม่?” ติงหลิวหลิ่วกระซิบถามว่านอวี้เฟิงผู้ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ
ว่านอวี้เฟิงรู้สึกว่าสติปัญญาของศิษย์น้องสามของตนนั้นยิ่งเลอะเลือนลงทุกที ดุจลูกธนูได้พุ่งออกไปแล้วจะเก็บกลับมาได้อย่างไร วิธีที่ดีที่สุดคือการทำตามคนหมู่มาก พูดความจริงไปเพื่อประโยชน์อันใด
“เมื่อพูดความจริงออกมา เจ้าจะมั่นใจได้อย่างไรว่าศิษย์น้องจะแสดงได้อย่างแนบเนียน?”
“แต่ทว่า ข้ายังต้องแจ้งให้อาจารย์ทราบก่อน เพื่อให้นางได้เตรียมตัวไว้ หากความลับถูกเปิดเผย พวกเราต้องรีบหนีโดยเร็ว และไม่ควรพัวพันใด ๆ กับสำนักหลานเทียนอีกต่อไป มิเช่นนั้นพวกเราคงถูกโจมตีจากทุกทิศทาง แลดูไม่สนุกเลย”
ยิ่งเข้าใกล้ดินแดนทิศเหนือ ยิ่งสัมผัสได้ถึงแสงสีชาดอันทรงพลัง สิ่งที่รับรู้ได้ชัดเจนที่สุดคือ ความร้อน ร้อนระอุ ราวกับมีผู้จุดไฟไว้บนท้องฟ้า
หากจ้องมองแสงสีแดงนานเกินไป ดวงตาจะหลั่งน้ำตาออกมาเป็นเลือด บางคนก็ตาบอดชั่วครู่ในทันที หูก็อื้อเช่นกัน
เหล่าผู้บำเพ็ญที่ระดับการฝึกต่ำ เมื่อเข้าใกล้บริเวณแสงสีแดงร่างกายเกือบละลาย ไม่สามารถก้าวต่อไปได้อีก ต้องกลั้นน้ำตาละทิ้งความตั้งใจไปอย่างน่าเสียดาย
“สมจริงมาก…” อวี้เจินนอนราบอยู่บนยานบิน ร้อนจนแลบลิ้นเหงื่อไหลไม่หยุด ร่างกายอดไม่ได้ที่จะขยับเข้าหาแท่งน้ำแข็งรูปร่างมนุษย์ขนาดยักษ์
ในไม่ช้า ศิษย์สำนักหลานเทียนก็มารวมตัวกันรอบตัวเด็กหนุ่มผู้เย็นชา รัศมีความเย็นที่เขาปล่อยออกมายิ่งทวีความรุนแรงขึ้น
“ท่านอาจารย์อาโม่ ท่านช่างใจดีเหลือเกิน เย็นสบายยิ่งนัก”
“โอ้ รอดตายแล้ว!”
โม่จวินเจ๋อ “…”
เขาตัดสินใจเก็บรัศมีความเย็นยะเยือกกลับมา เดินเข้าไปในห้อง
เมื่อแท่งน้ำแข็งรูปร่างมนุษย์เดินจากไป เสียงคร่ำครวญก็ดังระงม
“โอ้โห ยังไม่ถึงที่หมาย ผู้คนแทบจะละลายกันหมดแล้ว ถ้าไปถึงแล้ว คงร้อนจนกลายเป็นน้ำเลือดแน่ ๆ”
“ฮือ ๆ ข้าไม่อยากไปเขตแดนลับสัตว์อสูรแล้ว อยากไปที่เย็น ๆ มากกว่า”
น่าเสียดายที่ยานบินไม่ได้ยินเสียงคร่ำครวญจากเหล่าลูกศิษย์ กลับยิ่งเร่งความเร็วยิ่งขึ้น
ใกล้แล้ว ใกล้เข้ามาอีกแล้ว
หลิงเยว่ที่ร้อนจนเป็นเหมือนสุนัขตัวหนึ่งที่กำลังหมอบอยู่บนก้อนน้ำแข็งก้อนขนาดใหญ่ใหญ่ นางนึกไม่ถึงว่าอาจารย์และซูซวงจะทุ่มขนาดนี้ จนที่นี่กลายเป็นเตาไฟขนาดยักษ์ไปแล้ว
อากาศร้อนจัดจนกระทั่งสัตว์อสูรคลั่งก็ยังทนไม่ไหว สัตว์อสูรส่วนใหญ่ที่วิ่งมาโจมตีก็ต้องล่าถอยกลับไปเพราะความร้อน
หลิงเยว่หรี่ตามองอากาศที่บิดเบี้ยวไปมา และมองผู้คนที่ล้มระเนระนาดอยู่บนพื้น นางถึงกับพูดไม่ออก
เหล่าพ่อครัวล้มไปตาม ๆ กัน เป็นใบไม้ร่วง แล้วยังจะขายอาหารวิเศษอะไรได้อีกหรือ?
นี่มันไม่เหมือนกับที่วางแผนไว้เลย ไม่ได้นะ! เรารอคอยสัตว์เทพลงมาจุตินานขนาดนี้ จะมาพ่ายแพ้ตรงนี้ไม่ได้
ของร้อนนั้นอาจจะขายไม่ได้ในช่วงนี้ แต่ถ้าเป็นอะไรเย็น ๆ นั้นขายได้อย่างแน่นอน
หวานเย็น น้ำแข็งไส ชานม น้ำหวาน อะไรพวกนี้…
“ท่านรองเจ้าเมือง ท่านแน่ใจหรือว่าเมื่อทำแล้วมันจะไม่กลายเป็นน้ำชาอุ่น?”
“น้ำชาอุ่นยังดีกว่าน้ำชาแห้งเหือดไปเสียอีก”
หลิงเยว่ “…”
เช่นนี้แล้วย่อมเป็นไปได้
ทันใดนั้นเอง หลิงเยว่กำลังคิดอยู่ว่าจะทำอย่างไร ก็รู้สึกหนาวสั่นเมื่อถูกลมเย็นพัดกราย
ลมเย็น?
ลมเย็นมาจากทางใด?
ลมเย็นโชยมาเป็นระลอก พัดเหงื่อของผู้คนให้หายไป สิ่งของมากมายปลิวไสว ม้วนเก็บอากาศร้อนทั้งหมดโยนออกนอกกำแพงเมือง ภายในกำแพงราวกับฤดูใบไม้ผลิ
โอ้โห! กำแพงเมืองใดกันถึงได้เก่งกาจปานนี้
ไม่เช่นนั้น ลองให้นางไปเรียนก่อสร้างกำแพงเมืองดูดีหรือไม่ เก่งขนาดนี้!
กำแพงเมืองช่วยชีวิตผู้คนที่ร้อนจนแลบลิ้น แม้กระทั่งคนที่หน้ามืดเป็นลมไปแล้ว พวกเขากลับฟื้นคืนภายในเวลาไม่นาน
เหล่าพ่อครัวที่ฟื้นคืนกลับมา ลงมือทำงานด้วยความรวดเร็ว พวกเขาไม่ได้โง่เขลา ด้วยสภาพอากาศเช่นนี้ แน่นอนว่าจะดึงดูดผู้บำเพ็ญทั้งหลายให้มารวมตัวกัน เมื่อถึงเวลานั้น…
แน่นอน พวกเขารู้สึกถึงความผิดปกติ มันบังเอิญเกินไปแล้ว
บังเอิญที่ขยายเมืองฮั่วหยาง บังเอิญที่พวกเขาได้รับการฝึกฝน และบังเอิญที่มีลางบอกเหตุ…
พวกเขาสงสัย…
ไม่ เป็นไปได้ที่ท่านเจ้าเมืองจะเป็นคนก่อเรื่อง
เป็นไปไม่ได้ เมืองฮั่วหยางที่โชคร้ายมาโดยตลอด ในที่สุดก็มีโชคลาภสักครั้งหนึ่ง การปกป้องเมืองมาหลายพันปีในอดีตคงทำให้สวรรค์ซาบซึ้งใจ ในที่สุดสวรรค์ก็เลยอยากประทานความมั่งคั่งมหาศาลให้!
ถูกต้องเช่นนั้น!
ไม่นานนัก ทั้งเมืองก็มีกลิ่นอาหารพัดโชย
เหล่าทหารชุดแดงส่วนใหญ่ที่อยู่นอกเมืองถูกความร้อนนั้นแผดเผาจนหน้าแดงหน้าดำ ส่วนเหล่าสัตว์อสูรที่ทนความร้อนไม่ไหวต่างก็วิ่งหนีหาที่หลบร้อนกันจนลืมกลัวตายกันไปแล้ว แม้แต่ศัตรูที่เผชิญหน้ากันอยู่ก็ยังไม่สนใจ วิ่งตรงผ่านเลยไปราวกับว่าไม่ได้เห็นพวกเขาอยู่ตรงนั้น
ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีสัตว์อสูรบางตัวที่รังเกียจจนวิ่งอ้อมไปราวกับว่าพวกเขาขวางทาง
เป็นครั้งแรกที่พบเจอกับสถานการณ์เช่นนี้ เหล่าทหารชุดแดงและนักโทษที่ตั้งใจเอาไว้แล้วว่าจะเอาชีวิตเข้าแลกต่างก็ต้องตกใจกันไปตาม ๆ กัน
พวกสัตว์อสูรที่วิ่งหนีได้จะเป็นสัตว์อสูรระดับสูง ส่วนสัตว์อสูรระดับต่ำก็ได้แต่นอนหมดสติเกลื่อนไปทั่วพื้น ซึ่งในสายตาของทุกคนชาวเมือง ในตอนนี้พวกมันก็คือหินวิญญาณทั้งนั้น รอบๆ เต็มไปด้วยหินวิญญาณ
“เร็ว รีบลุกขึ้นแล้วไปเก็บพวกสัตว์อสูรที่หมดสติไป ส่วนพวกที่ยังวิ่งได้ชั่วคราวก็ปล่อยไปก่อน”
เหล่าสัตว์อสูรที่นอนเกลื่อนไปทั่ว ทำให้จิตใจของทุกคนร้อนระอุเช่นเดียวกับสภาพอากาศที่ร้อนจัด
พวกเขาต่างก็ลากสัตว์อสูรที่แลบลิ้นและเบิกตาโพลงเข้ามาในเมือง เมื่อเข้ามาในเมือง สัตว์อสูรที่หมดสติจากความร้อนก็เริ่มฟื้นตัว แต่ทว่าทันใดนั้น… กระบี่เล่มหนึ่งก็ฟาดลงบนหัวของพวกมันอย่างรวดเร็ว
ก่อนที่จะตาย พวกมันยังได้สัมผัสกับความเย็นสบายอีกครั้งก่อนสิ้นใจ เท่านี้ก็คงไม่มีอะไรต้องเสียดายแล้วกระมัง?
เมืองฮั่วหยางเต็มไปด้วยความชื่นมื่น ผู้คนต่างยิ้มแย้มแจ่มใสกับผลลัพธ์ที่ได้ ชาวเมืองปลื้มปีติกับชัยชนะครั้งนี้ เพราะไม่เคยมีมาก่อนที่พวกเขาจะสามารถเก็บเกี่ยวสัตว์อสูรได้โดยไม่สูญเสีย และยังง่ายดายเสียด้วย!