ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน - บทที่ 123 ใจเย็นก่อน มีอะไรค่อยคุยกัน
บทที่ 123 ใจเย็นก่อน มีอะไรค่อยคุยกัน
หลิงเยว่เข้าไปในภูเขา เห็นว่าชายหนุ่มคนนั้นไม่ได้ไล่ตามมาแล้วก็เอื้อมมือไปพิงต้นไม้ พลันสูดหายใจเข้าลึก ตอนนี้ถือว่านางหนีมาไกลมากแล้ว เมื่อไหร่กันที่คนอื่นจะเห็นนางแล้วต้องวิ่งหนีเตลิดบ้าง?
ความรู้สึกเช่นนั้นคงวิเศษน่าดู
หลิงเยว่ยืนพักอยู่ข้างต้นไม้ ทำได้เพียงจินตนาการเพื่อชดเชยความอ่อนแอของตนเอง นางไม่รู้ว่าไข่ใบนั้นซ่อนอยู่ที่ใดในเขตแดนลับอันกว้างใหญ่เช่นนี้ แล้วนางจะเสาะหาได้อย่างไรเล่า?
“ระบบ ช่วยบอกใบ้ข้าที”
หลิงเยว่เอ่ยถาม โดยไม่ได้คาดหวังคำตอบจากระบบนัก
[ในวังอีกาสุริยัน]
“อยู่ที่ใดหรือ?”
หลิงเยว่รู้สึกตื่นเต้นและถามต่อไป
[ทางทิศตะวันออกสุดเขตแดนลับ]
“!!!”
หากนางไม่ได้จำทิศทางผิด บัดนี้นางอยู่ทางทิศเหนือสุดแล้ว หากต้องไปทางทิศตะวันออกสุดเขตนั้น…
โชคชะตาจะนำพาไปที่แห่งนั้นได้จริงหรือ?
หลิงเยว่ทรุดตัวลงนั่งพิงต้นไม้ด้วยความอ่อนแรง นางตัดสินใจฟื้นฟูร่างกายให้เต็มที่ก่อน แล้วค่อยออกตามหาเจ้าไข่จอมซนนั่น
“ซู่…”
เสียงอันแผ่วเบานี้ทำให้หัวใจหลิงเยว่เต้นระรัว นางลืมตาขึ้นแล้วมองไปยังที่มาของเสียงประหลาดนั้น เพียงครู่เดียว หนังศีรษะของนางก็ชาวาบ
ฝูงสัตว์สีเขียวเข้มรูปร่างคล้ายตะขาบขนาดเล็ก แต่มีปีกเหมือนแมลงปอ กำลังบินตรงมาหานาง
หลิงเยว่หันหลังจะวิ่งหนี แต่ก็พบว่าตนเองถูกล้อมรอบไปด้วยฝูงตะขาบเขียวมรกตเหล่านั้นเสียแล้ว มันแฝงตัวอยู่ในต้นไม้ใบหญ้าได้อย่างดีเยี่ยม รวมทั้งต้นไม้ใหญ่ที่นางอาศัยพักอยู่ด้วย เหล่าแมลงกำลังไต่ลงมาตามโคนต้นไม้ ทั้งยังมีต้นไม้สีเขียวข้าง ๆ ที่เป็นที่ซ่อนของพวกมันอีกด้วย เมื่อเจ้าพวกนั้นเคลื่อนไหว ต้นไม้ทั้งต้นก็สลายไปเพียงพริบตา
ความจริงแล้ว พื้นที่กว่าสองในสามของป่ารกทึบในภูเขาสูงนั้น เป็นเพียงการพรางตัวของฝูงตะขาบเขียวมรกต!
หากผู้ที่ถูกล้อมไม่ใช่หลิงเยว่ นางคงต้องกล่าวชื่นชมอย่างสุดซึ้งว่า ยอดเยี่ยมมาก! อย่างแน่นอน
นึกไม่ถึงว่าพวกมันจะพรางตัวเป็นภูเขาได้สมจริงถึงเพียงนี้!
ไม่น่าแปลกใจเลยว่านอกจากต้นไม้ใบหญ้าแล้ว ที่ภูเขาลูกนี้กลับไม่มีสัตว์อสูรแม้แต่ตัวเดียว เป็นไปได้ว่าพวกมันคงถูก… กินไปหมดแล้วอย่างนั้นหรือ?
นางไม่ทันสังเกตตั้งแต่แรกได้อย่างไร?
แล้วตอนนี้นางจะหนีฝ่าดงตะขาบเขียวมรกตที่มากมายเช่นนี้ได้อย่างไร?
“พวกเจ้าทั้งหลาย ข้าไม่ได้ตั้งใจมาก่อกวนพวกเจ้าเลย ข้าหวังเพียงจะเดินผ่านไปเท่านั้น เจ้าทั้งหลายอย่าเพิ่งโกรธ…”
สู้ก็คงสู้ไม่ได้ หลิงเยว่จึงลองพูดเกลี้ยกล่อมแทน หวังว่าพวกมันจะเข้าใจ นางเพิ่งจะพูดจบ กองทัพตะขาบเขียวมรกตที่จ้องนางด้วยดวงตาสีเขียวเมื่อครู่ต่างก็เริ่มเคลื่อนไหว!
“อย่า… อย่าเพิ่งใจร้อน พวกเรามาทำข้อตกลงกันดีกว่า พวกเจ้าต้องการสิ่งใดหรือไม่? ข้าจะพยายามหามาให้อย่างแน่นอน” หลิงเยว่ไม่มีทางหนีแล้ว ทั้งยังกลัวว่าหากนางปล่อยไฟออกมาแล้ว กองทัพนี้คงกรูกันเข้ามาทันที และนางก็ไม่ได้เปลวไฟมากพอจะเผาพวกมันจนตายได้
“จริงหรือ?”
“มนุษย์เจ้าเล่ห์ที่สุดแล้ว!”
“จะเชื่อมันหรือไม่ มองดูสิ เหมือนนางจะเป็นคนดีนะ”
“คนดีอย่างนั้นหรือ มนุษย์เก่งเรื่องการเสแสร้งแกล้งทำที่สุด!”
…
ใช่แล้ว! พวกมันต้องฟังสิ่งที่นางพูดบ้าง พวกมันมีวิชาพรางตัวที่ดีกว่ามนุษย์เสียอีก หลิงเยว่ไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะมีแมลงที่สามารถพรางตัวเป็นภูเขาใหญ่เช่นนี้ได้ และคงไม่มีผู้ใดคิดฝันถึงเรื่องเช่นนี้อย่างแน่นอน
ฝูงตะขาบเขียวมรกตบินวนรอบหลิงเยว่ ดวงตาสีเขียวเล็ก ๆ ของมันเปล่งประกาย
“หากข้าต้องการสิ่งใด เจ้าจะสามารถหามาให้ได้อย่างนั้นหรือ?” ตะขาบตัวหนึ่งที่มีขนาดใหญ่กว่าตะขาบตัวอื่นเอ่ยขึ้น ดวงตาขนาดเท่าเมล็ดถั่วแดงเล็ก ๆ ของมันเต็มไปด้วยความไม่ไว้ใจ
“ข้า… ข้าจะพยายาม ตราบใดที่มันไม่เกินความสามารถของข้า”
“ดี เช่นนั้นแล้ว เจ้าจงพาพวกเราออกไปเถิด”
หลิงเยว่เหม่อมองตะขาบที่เกาะอยู่บนบ่าของตนเอง เห็นชัดว่าน่าจะเป็นจ่าฝูง ใบหน้าของนางชาวาบจนแทบจะไร้ความรู้สึก
“ออก… ไป”
หากพาออกจากเขตแดนลับ… ตะขาบพวกนี้มีจำนวนมากมายนัก คนที่อยู่ด้านนอกคง…
“ว่าอย่างไร เจ้าทำไม่ได้อย่างนั้นหรือ?”
หัวหน้าตะขาบที่มีดวงตาสีแดงเข้มนั้น จ้องมองหลิงเยว่ด้วยสายตาโหดเหี้ยม ตะขาบตัวอื่น ๆ ต่างพากันไต่ตามตัวของหลิงเยว่ ตอนนี้นางถูกตะขาบปกคลุมไปทั่วร่าง เหลือเพียงสายตาของนางที่ยังมีให้เห็นอยู่
หลิงเยว่เหลือบตาขึ้น นึกอยากจะสิ้นสติไปเสียเดี๋ยวนี้ แต่จิตใจของนางกลับแข็งแกร่ง!
“ข้า… ทำได้ เพียงแต่พวกเจ้ามีจำนวนมากมายเช่นนี้”
ด้วยน้ำเสียงสั่นเทา ร่างกายก็สั่นจนควบคุมไม่อยู่ หลิงเยว่รู้สึกได้ว่ากลุ่มตะขาบที่ปกคลุมร่างกายของนาง กำลังรื้อกระโปรงผ้าดำของนางออก ส่วนผิวหนังที่เปลือยเปล่าก็ถูกฝูงตะขาบสูดดม
“ท่านหัวหน้า อาหารมื้อนี้ช่างมีกลิ่นหอมเหลือเกิน ข้าอยากกินนางเหลือเกิน!”
“กลิ่นโลหิตก็หอมหวนยิ่งนัก ดื่มเข้าไปแล้วจะต้องอร่อยเลิศเป็นแน่”
“อย่าได้เอะอะโวยวายไป!”
หัวหน้าตะขาบที่มีดวงตาสีแดงเข้มตะโกนขึ้น กลุ่มตะขาบที่หิวโหยก็เงียบเสียงไป แต่การกระทำกลับไม่ลดละ พวกมันไต่เข้าไปตามปกเสื้อของนาง
สัมผัสเย็นเฉียบคล้ายกับมดจำนวนมากที่กำลังไต่ไปบนร่างกาย จนหลิงเยว่จะทนไม่ไหวแล้ว เพียงครู่กลุ่มแมลงที่คึกคะนองนั้นก็ถูกหัวหน้าตะขาบกินเข้าไปบางส่วน
หลังจากนั้น หัวหน้าตะขาบที่มีดวงตาสีแดงเข้มอีกสี่ตัวก็บินออกมา กินพวกพ้องทั้งภูเขาเข้าท้องไปจนหมด เดิมทีพวกมันมีขนาดเท่าหัวแม่โป้งของหลิงเยว่ แต่ตอนนี้กลับมีขนาดเท่าข้อมือของนางแล้ว
ภูเขาที่สูงใหญ่และสง่างามได้หายไป กลายเป็นเพียงพื้นที่ราบธรรมดา
หลิงเยว่รู้สึกหนักบริเวณคอและมือทั้งสองข้าง นางก้มลงดูก็พบตะขาบเขียวมรกตทั้งห้าตัวนั้น ตัวหนึ่งรัดคอ ส่วนอีกสี่ตัวรัดข้อมือทั้งซ้ายและขวาของนาง
พวกมันพรางตัวเป็นสร้อยคอแมลงสีเขียวขนาดใหญ่ กำไลแมลงสีเขียวอีกสองคู่ สีหน้าของหลิงเยว่ไร้อารมณ์ นางอยากจะตายไปเสียเดี๋ยวนี้
“ตอนนี้ได้แล้วหรือยัง? รีบพาพวกเราออกไป มิเช่นนั้น พวกเราจะกินเจ้าเสีย!”
ตัวที่เป็น ‘สร้อยคอ’ ของหลิงเยว่ขู่เสียงดัง ขณะขาเล็ก ๆ จำนวนมากที่เกาะอยู่พลันกดลงบนผิวหนังของนางเล็กน้อย
“ทางเข้าเขตแดนลับปิดแล้ว ต้องรอสักพักถึงจะเปิดอีกครั้ง พวกเจ้าควรรู้… ไม่ใช่หรือ?” หลิงเยว่ลากเท้าและหัวใจอันหนักอึ้ง เดินไปทางทิศตะวันออกช้า ๆ
“รู้”
เมื่อหลิงเยว่เดิน พวกเขาก็ยิ่งอยู่ห่างจากพื้นที่นั้นมากขึ้น
“ท่านหัวหน้า พวกเราออกมาได้จริง ๆ!”
“อย่างไรก็ยังเป็นท่านหัวหน้าที่มองคนได้แม่นยำอยู่เสมอ มนุษย์นางนี้ดูแล้วไม่เหมือนกับมนุษย์คนอื่น!”
หลิงเยว่รู้สึกได้ว่าข้อมือของนางชื้นแฉะ กำไลแมลงนั้นกำลังเลียข้อมือของนางอยู่
“…”
“แน่นอนอยู่แล้ว!”
ถ้อยคำของหัวหน้าตะขาบเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ ดวงตาสีแดงเล็ก ๆ ของมันเบิกโพลง พร้อมกันกับหางของมันส่ายไปมา จนหลิงเยว่รู้สึกคันและชาบริเวณลำคอ
เมื่อออกไปจากที่นี่แล้ว นางคงต้องใช้เงินจำนวนมากเพื่อซื้อปลอกคอศาสตราวุธอย่างแน่นอน!
“ตอนนี้เราทั้งหมดยังอยู่ในเขตแดนลับ ยังไม่ได้ออกไป”
“ท่านหัวหน้า มนุษย์คนนี้ช่างโง่เขลาเหลือเกิน นางไม่รู้ว่าพวกเราถูกกับดักอาคมขังไว้ ทำได้เพียงเข้ามาแต่ไม่สามารถออกไปได้ มนุษย์นี่ช่างโง่เง่าเสียจริง!”
กำไลแมลงตัวที่สี่พูดไปพลางโกรธไป!
ส่วนหลิงเยว่กลายเป็นเพียงที่ระบายความโกรธของมัน รอยแดงเริ่มปรากฏบนข้อมือของนาง
“อย่ายุ่งกับนาง” กำไลแมลงข้อมือตัวที่ห้าพูด พร้อมกับใช้หางฟาดกำไลแมลงตัวที่สี่ “มนุษย์นางนี้เปราะบางนัก หากพลาดพลั้งตายลงจะยุ่งยากเอา”
“อืม… หากแบ่งตามลำดับขั้นของเผ่าแมลงสีเขียว นางคงอยู่ในประเภทลูกอ่อนที่เพิ่งฟักออกมา ดังนั้นเราจะต้องปกป้องนางให้ดี จนกว่าจะออกจากเขตแดนลับแห่งนี้” หัวหน้าตัวที่หนึ่งเอ่ยขึ้น
ลองจินตนาการดูเถิดว่าตะขาบห้าตัวที่อยู่บนข้อมือกำลังส่งเสียงร้องอยู่ข้างหู พูดคุยกันว่าจะปกป้องนางอย่างไร และรอจนพวกมันสามารถออกจากเขตแดนลับนี้ได้สำเร็จ ค่อยหาวิธีจับนางกิน ภาพมันช่างน่าสยดสยองเสียจริง
หลิงเยว่เกิดความสงสัยในชีวิตดวงตาของนางหมองหม่นไร้ประกาย
ไม่ได้ ต้องหาโอกาสสลัดพวกมันทิ้งแล้วหนีไปเสีย!
แต่ก็ไม่ได้ หากสิ่งที่หัวหน้าตะขาบว่านั้นเป็นความจริง เช่นนั้น ในเวลานี้นางก็มีผู้คุ้มกันเป็นตะขาบเขียวมรกตทั้งห้า นี่ถือเป็นเครื่องรางคุ้มกันแล้วไม่ใช่หรือ!
การสลัดพวกมันทิ้งก็เท่ากับว่าไม่ต้องการปกป้องชีวิตตนเองแล้ว!
เครื่องรางคุ้มกันภัยทั้งห้าอันของอาจารย์ก็หมดลงแล้วด้วย เขตแดนลับก็มอบหมายผู้คุ้มกันเป็นตะขาบทั้งห้าให้แก่นาง หลิงเยว่ไม่เลยรู้ว่าตนเองกำลังโชคดีหรือโชคร้ายกันแน่
หากเป็นโชคดี นางก็ยังยิ้มไม่ค่อยออกเสียเท่าไร แต่หากเป็นโชคร้าย เวลาที่นางเดินอวดโฉมอยู่บนถนนใหญ่ สัตว์อสูรที่พบเห็นสร้อยคอของนาง คงหันหลังวิ่งหนีเป็นแน่
เพียงแต่ความรู้สึกเช่นนี้ ไม่ได้ทำให้นางรู้สึกดีขึ้นเสียเลย