ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน - บทที่ 124 การแสดงนั้นมันไม่เกินไปหน่อยหรือ?
บทที่ 124 การแสดงนั้นมันไม่เกินไปหน่อยหรือ?
หลิงเยว่ที่มีแมลงตัวใหญ่ทั้งห้าเกาะอยู่บนตัวนาง รู้สึกว่ายิ่งเดินยิ่งหนักและทุกย่างก้าวก็ยากลำบากนัก
หลิงเยว่ผู้ต่ำต้อยต้องไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วน ก่อนจะปรึกษาหารือกับผู้คุ้มกันทั้งห้าอย่างอ้ำอึ้งว่า “เอ่อ… พวกเจ้าช่วยทำให้ตัวเองเบาลงได้หรือไม่?”
พวกมันทั้งห้าตัวมีขนาดเท่าข้อมือของนาง แต่กลับหนักอึ้งจนแทบหายใจไม่ออก ราวกับว่า… นางกำลังแบกภูเขาลูกมหึมาเอาไว้
“เห็นหรือไม่ ข้าบอกแล้วว่ามนุษย์นั้นเปราะบางนัก แม้แต่พวกเราเพียงเท่านี้ก็ยังแบกไม่ไหว” ผู้คุ้มกันตะขาบตัวที่ห้าขยับหางตัวเองเพียงเล็กน้อย แล้วร่างของมันก็ค่อย ๆ เล็กและเบาลง
ใช่แล้ว เพราะฉะนั้นหากพวกเจ้าสามารถบินได้ ก็โปรดบินด้วยตัวเจ้าเองเถิด และจะดีที่สุดหากสามารถพาข้าบินไปด้วยกันได้!
แต่พวกผู้คุ้มกันทั้งห้ากลับไม่ได้ยินเสียงในใจของหลิงเยว่ พวกมันเพียงทำให้ตัวเองเล็กลงและเบาเสียงพูดลงอีกหน่อยเท่านั้น โดยไม่ได้นึกเลยว่าพวกมันยังมีปีกและสามารถบินได้
หลิงเยว่รู้สึกผิดหวังจึงหยิบใบไม้สีเขียวมรกตขนาดเล็กออกมา มันคือยานบินขนาดเล็ก ชิงยวนหลงใหลในพรรณไม้อย่างมาก ดังนั้นศาสตราวุธและยานบินที่นางทำขึ้น รวมถึงขวดโอสถต่าง ๆ นั้น ล้วนเกี่ยวกับพรรณไม้ทั้งสิ้น แล้วใบไม้ก็ค่อย ๆ ขยายใหญ่ขึ้นในอากาศ หญิงสาวกับตะขาบทั้งห้าจึงเริ่มบินช้า ๆ ไปทางทิศตะวันออก
“มันบินได้ช้าเหลือเกินเจ้ามนุษย์ เร่งให้ใบไม้นี้บินเร็วขึ้นหน่อย” ตะขาบมรกตตัวแรกไม่พอใจนัก นี่มันต่างอะไรจากการเดินบนถนน
โอ้! นับว่ายังต่างอยู่บ้าง อย่างน้อยก็ต่างกันตรงที่เดินอยู่บนพื้นดินกับเดินอยู่บนอากาศ
“นี่คือความเร็วสูงสุดแล้ว”
หลิงเยว่อดรู้สึกท้อแท้ไม่ได้ ด้วยความสามารถของนางที่มีจำกัด ทำได้เพียงคิดที่จะบินไปยังทิศตะวันออกได้โดยเร็ว
หากมีศาสตราวุธประจำกาย ความเร็วย่อมเพิ่มขึ้นอีก แต่ปัญหาคือ นางไม่มีศาสตราวุธชิ้นใดที่เหมาะสมกับตนเอง ด้วยเหตุนี้ จึงต้องอาศัยทั้งวาสนาและเงินตราเท่านั้น
แต่นางเองก็ไม่มีทั้งสองสิ่งนั้นเช่นกัน
“ท่านหัวหน้า ฟังเถิด!”
ตะขาบผู้คุ้มกันหมายเลขสองส่งเสียงร้องลั่น หัวของมันเงยขึ้นสูง ดวงตาสีแดงก่ำจ้องมองไปยังทิศตะวันออกด้วยความตื่นเต้น
“กำลังจะเริ่มแล้ว”
“สิ่งใดกำลังจะเริ่ม…” หลิงเยว่ยังไม่ทันได้เอ่ยจบ ทั้งแผ่นดินและฟากฟ้าก็สั่นสะเทือน!
วังสัตว์อสูรโบราณ ลอยขึ้นจากทุกทิศทางในเวลาไล่เลี่ยกัน แสงสีทองอร่ามเรือง สีแดงฉานร้อนแรง สีขาวบริสุทธิ์ สีดำน่าเกรงขาม สีม่วงเข้มสง่างาม สีเขียวชอุ่มแห่งการเยียวยา สีน้ำตาลเข้มหนักแน่น สีฟ้าชวนฝัน และวังสุดท้ายแฝงไปด้วยความลึกลับ ปรากฏให้เห็นเพียงเลือนรางเท่านั้น
วังที่หลิงเยว่มุ่งหน้าไปคือวังอีกาสุริยัน เป็นวังสีแดงและมีระยะทางไกลที่สุด มองเห็นเพียงเลือนราง เป็นรูปนกไฟขนาดใหญ่กำลังกางปีกคล้ายจะโบยบิน
วังสีดำอยู่ใกล้กับนางมากที่สุด วังนั้นตั้งอยู่ด้านหลังของเด็กสาว มีรูปร่างคล้ายมังกรดำที่ลอยอยู่ในอากาศ ทั้งยังมีดวงตาเรืองแสงคล้ายจะดูดกลืนผู้คนเข้าไป
หลิงเยว่อยากเข้าไปดูเสียหน่อย อย่างน้อยที่วังนั้นก็ดูเหมือนจะไม่ร้อนนัก แต่นางก็หวนนึกถึงเจ้ามังกรดำที่โหดเหี้ยม หากจะเดินทางไปยังวังสีดำนั้น ย่อมต้องผ่านน่านน้ำนั้นด้วย เอาเถิด ยังมีไข่รอให้นางตามหาอยู่ ไว้มีโอกาสค่อยไปดูที่วังนั่นก็ยังได้
“วังใดมีของวิเศษที่ดีที่สุดหรือ?”
“ของวิเศษรึ…” หัวหน้าตะขาบหัวเราะอย่างเจ้าเล่ห์ “ข้าแนะนำให้เจ้าหาที่ปลอดภัยนั่งรอจนกว่าทางออกของเขตแดนลับจะเปิดเสียดีกว่า อย่าเพิ่งเข้าใกล้วังใด ๆ เลย”
ใจของหลิงเยว่เต้นรัว คำพูดของสัตว์ในพื้นที่นั้นย่อมเชื่อถือได้ แต่เธอก็จำเป็นต้องไปยังวังอีกาสุริยันอยู่ดี
“แต่ข้ามีเหตุผลที่ต้องไปวังอีกาสุริยัน…”
“ปล่อยข้าลงเดี๋ยวนี้ ปล่อยข้าลงไป ข้าจะไม่มีวันไปที่รังนกนั่นเด็ดขาด รีบปล่อยข้าเสีย!” ตะขาบตัวที่สอง ซึ่งก่อนหน้ายังหลับสนิทอยู่พลันคลุ้มคลั่งขึ้นมา หลิงเยว่มองด้วยสีหน้าเรียบเฉย แต่ถึงอย่างไร ตะขาบตัวนั้นก็ไม่ยอมบินหนีไปเอง
นางไม่ได้มัดมันไว้เสียหน่อย หากจะหนีก็หนีได้
การแสดงของเจ้านั้น ไม่นับว่าเกินไปหน่อยหรือ…
ตะขาบตัวที่สามพลิกตัวขึ้น ก่อนใช้หนวดบนหัวตีตะขาบตัวที่สองอย่างแรง
“เจ้ากลัวรึ นกตัวนั้นยังไม่ฟักออกมา เพียงพวกเราร่วมมือกัน ก็จะสามารถจัดการมันได้อย่างแน่นอน!”
“ใช่แล้ว นกตัวนั้นอ่อนแอนัก!” หัวหน้าตะขาบเองก็รู้สึกสนใจขึ้นมาทันที หนวดเล็ก ๆ สองข้างฟาดไปที่คอของหลิงเยว่ “ไม่นึกเลยว่ามนุษย์อย่างเจ้าจะฉลาด รู้ว่าช่วงที่นกกำลังอ่อนแอ ย่อมเป็นช่วงเวลาที่เราสามารถฆ่ามันได้ง่ายที่สุด”
ตะขาบตัวที่ห้าปลดปล่อยตัวเองออกจากข้อมือของหลิงเยว่ ขนาดตัวของมันค่อย ๆ ขยายใหญ่ขึ้น ขณะเดียวกันตะขาบอีกสี่ตัวก็ปีนขึ้นไปบนตัวของตะขาบตัวที่ห้าอย่างพร้อมเพรียง หลิงเยว่เองก็ถูกเหวี่ยงเข้าไปด้วย
“หากใช้เพียงใบไม้เก่า ๆ บินไปยังวังอีกาสุริยัน คงไม่รู้ว่าชาติไหนจะถึงเสียที! ข้าจะให้เจ้าดูความเร็วในการบินของพวกเราเผ่าตะขาบเขียวมรกตกันดีกว่า!”
เมื่อเสียงของหัวหน้าตะขาบจบลง ตะขาบตัวที่ห้าก็พุ่งออกไปเหมือนลูกธนูที่ถูกปล่อยออกจากสาย ความเร็วของมันรวดเร็วนัก จนหลิงเยว่แทบมองไม่เห็นทิวทัศน์โดยรอบด้วยซ้ำ
วังสีดำที่อยู่ด้านหลังแห่งนั้นพลันกลายเป็นจุดเล็ก ๆ ในชั่วพริบตา
“เมื่อครู่มีสิ่งใดบินผ่านไปหรือไม่?”
เซี่ยงหมิงรู้สึกถึงลมแรงที่พัดผ่านเหนือศีรษะของเขา เมื่อมองขึ้นไปก็ไม่เห็นสิ่งใด แต่เขามั่นใจว่าต้องมีบางอย่างผ่านไปอย่างแน่นอน!
เขาคงนึกไม่ถึงว่าลมเมื่อครู่คือท่านรองเจ้าเมืองฮั่วหยางของพวกเขาเป็นแน่
“จะมีสิ่งใดเล่า รีบไปกันเถิด ศิษย์น้องห้าของเราหรือท่านรองเจ้าเมืองของเจ้าก็คงจะมุ่งหน้าไปทางวังสีเขียวเป็นแน่”
ติงหลิวหลิ่วก็ไม่รู้ว่าศิษย์น้องที่ตนตามหาอยู่นั้นเพิ่งบินผ่านเหนือศีรษะไป เพราะตอนนี้ในใจของนางมีเพียงวังสีเขียวด้านหน้าเท่านั้น
เหล่าผู้อาวุโสด้านการกลั่นโอสถแทบทุกคนต่างโปรดปรานสีเขียว!
และนางยังเชื่ออีกว่า ศิษย์พี่รองและศิษย์น้องห้าต้องไปที่วังสีเขียวเช่นกัน เมื่อถึงเวลานั้นแล้ว พวกเขาก็จะได้กลับมาเจอกันอย่างแน่นอน!
ส่วนศิษย์น้องสี่นั้น รักการเล่นไฟมากกว่าการกลั่นโอสถ แน่นอนว่าคงเลือกไปที่วังสีแดง ส่วนคนอื่น ๆ …ก็คงจะเลือกไปวังที่ตนเองสนใจและเข้ากันได้ดีกับแก่นปราณของตนเองเช่นกัน
เหล่าศิษย์สำนักหลานเทียนที่เข้าสู่เขตแดนลับสัตว์อสูรผ่านหลุมวนที่สองต่างถูกกระจายออกจากกัน ติงหลิวหลิ่วถือว่าโชคดีที่ได้พบกับเซี่ยงหมิงและเหล่าทหารชุดแดงระหว่างทาง
ทั้งสองคนรู้สึกถูกชะตา จึงตัดสินใจออกตามหาหลิงเยว่ด้วยกันระหว่างการออกตามหาสมบัติ
นอกจากหลิงเยว่แล้ว ยังมีผู่ตานและลู่เป่ยเหยียน ที่กำลังมุ่งหน้าไปยังวังสีแดง
ส่วนอวี้เจินนั้น แน่นอนว่าเขาไปที่วังสีทอง แต่ทางด้านโม่จวินเจ๋อ… กลับเจอปัญหาใหญ่
“เจ้าจะเลิกตามข้าได้หรือไม่?”
“ไม่ได้”
เด็กหนุ่มมังกรดำสะพายดาบเงยหน้าขึ้น ไม่ยอมเดินออกห่างจากโม่จวินเจ๋อแม้แต่ก้าวเดียว
“เจ้ามีกลิ่นของมนุษย์นั่นติดตัวมา นำข้าไปหาตัวนาง แล้วข้าจะปล่อยให้เจ้าไป!”
โม่จวินเจ๋อไม่มีทางที่จะพาสัตว์ร้ายตนนี้ไปหาหลิงเยว่อย่างแน่นอน แม้จะไม่รู้ว่านางทำสิ่งใดกับเจ้าสัตว์ร้าย เหตุใดมันจึงโกรธแค้นได้ถึงเพียงนี้
“เจ้าพูดเรื่องใด ข้าฟังไม่รู้ความ” โม่จวินเจ๋อแสร้งโง่เขลา และพาเจ้าสัตว์ร้ายตัวนั้นออกห่างจากวังสีเขียวและสีแดง ถึงแม้ว่าหลิงเยว่จะมีแก่นปราณของธาตุทั้งห้า แต่นางนั้นชอบใช้แก่นปราณธาตุไฟและธาตุไม้มากที่สุด เขาจึงต้องไม่ไปที่นั่นอย่างเด็ดขาด
“อย่ามาแกล้งโง่กับข้า เจ้าต้องรู้จักนางแน่นอน!”
วังสีขาวด้านหน้าส่งไอเย็นออกมา ทำให้โม่จวินเจ๋อรู้สึกหลงใหลเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งวังนี้ยังอยู่ไกลจากวังสีแดงและสีเขียวมากที่สุด เขาจึงตัดสินใจเข้าไปที่วังสีขาว
เมื่อโม่จวินเจ๋อตั้งใจแน่วแน่แล้ว จึงยืนนิ่งอยู่บนกระบี่ประจำกาย ไม่พูดไม่จา และไม่ว่าเจ้ามังกรดำจะขู่อย่างไร เขาก็ไม่ยอมส่งเสียงแม้แต่คำเดียว แม้แต่หางตาก็ไม่เหลือบมองเสียด้วยซ้ำ
เจ้ามังกรดำโกรธจนไม่อาจอยู่นิ่ง ตลอดทางที่ผ่านมา นอกจากกลิ่นของมนุษย์ตัวน้อยที่ติดมากับคนผู้นี้จะรุนแรงที่สุดแล้ว เมื่อเทียบกับมนุษย์คนอื่นแล้ว กลิ่นนั้นจางมาก นี่ถือเป็นเครื่องพิสูจน์ว่ามนุษย์ตัวน้อยผู้นั้นจะต้องอยู่ในบริเวณนี้เป็นแน่
เป็นเช่นนี้แล้ว มนุษย์ตัวน้อยนั่นยังคงหนีได้อีกหรือ อย่าให้ข้าจับตัวได้เชียว ไม่เช่นนั้นข้าจะทำให้นางต้องตายทั้งเป็น!