ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน - บทที่ 126 พวกข้าไม่กินเนื้อ กินแต่พืชผัก
บทที่ 126 พวกข้าไม่กินเนื้อ กินแต่พืชผัก
เมื่อหญิงสาวและตะขาบมรกตผู้คุ้มกันทั้งสี่บินเข้าไป เสียงร้องขอความช่วยเหลือเมื่อครู่และร่างของเสียงนั้นก็หายไปด้วย
ทั้งวังมืดมิดและเงียบงัน หลิงเยว่ได้ยินเพียงเสียงหัวใจของนางและเสียงกระพือปีกของเจ้าตะขาบทั้งสี่ตัวเท่านั้น
เดิมทีหลิงเยว่คิดว่าการเข้ามาในวังนี้ นางจะต้องได้เห็นแดนสวรรค์บนดินเป็นแน่ หรือหากไม่มีแดนสวรรค์ อย่างน้อยก็ควรมีไฟส่องสว่างให้พอมองเห็นบ้าง ทว่าที่แห่งนี้กลับมืดสนิทจนไม่อาจมองเห็นสิ่งใด ทำให้นางเริ่มรู้สึกโมโหขึ้นมา อีกทั้งตอนนี้เจ้าตะขาบมรกตตัวหนึ่งก็ได้หายไปอีก
หลิงเยว่กับตะขาบทั้งสี่ตัวตัดสินใจที่จะไม่แยกจากกันอีก บางทีเจ้านกนั่นอาจกำลังเฝ้ามองพวกเขาอยู่ในมุมมืด เพื่อเตรียมโจมตีพวกเขาทีละตัวก็เป็นได้!
แน่นอนว่าสติปัญญาของตะขาบทั้งสี่ตัวนั้น ไม่มีทางคิดแผนการนี้ได้แน่ ในตอนที่ตะขาบผู้คุ้มกันตัวที่สี่หายไป ตัวที่เหลืออีกสี่ตัวก็แทบคลั่ง คิดจะแยกย้ายกันไปลากเจ้านกตัวน้อยออกมาสู้ให้ตายกันไปข้าง หากไม่ใช่หลิงเยว่ที่พยายามขวางไว้ ผู้คุ้มกันของนางคงหายไปเสียแล้ว
“เจ้าสี่คงยังไม่ตายใช่หรือไม่?” หลิงเยว่ถามเจ้าตะขาบอย่างระมัดระวัง
“ยังไม่ตายแน่นอน”
ตะขาบทั้งห้าสามารถรับรู้ถึงการเคลื่อนไหวของตะขาบตัวอื่นได้ตลอดเวลา แต่ไม่รู้ว่าเจ้านกสกปรกใช้กลวิธีใด ถึงตัดการรับรู้ระหว่างพวกมันได้เช่นนี้ ทำให้ตะขาบที่เหลือทั้งสี่ตัวสับสนยิ่งนัก
บางทีตอนนี้อาจเป็นช่วงเวลาสำคัญที่ไข่ของนกกำลังจะฟัก และมันยังอยู่ในช่วงอ่อนแอ จึงไม่มีเรี่ยวแรงที่จะฆ่าเจ้าสี่?
หลิงเยว่รู้สึกว่านางได้รู้ความจริงเข้าเสียแล้ว!
แน่นอนว่าเป็นเช่นนั้น ทว่าจะหาไข่นกเจอได้อย่างไรนั่นถือเป็นปัญหาใหญ่
“รู้หรือไม่ว่าเจ้านกน้อยนั่นจะฟักออกจากไข่เมื่อใดกัน”
หลิงเยว่ถามเจ้าตะขาบทั้งสี่ แล้วพวกมันจะล่วงรู้ได้อย่างไรเล่า?
โครม!
“อ๊าก!”
“เหตุใดที่นี่จึงมืดเช่นนี้!”
“เจ้าชนข้า!”
ทันใดนั้น เสียงของสิ่งมีชีวิตก็ดังขึ้นจากความมืด หลิงเยว่ที่มีตะขาบมรกตทั้งสี่ตัวเกาะอยู่นั้น รีบวิ่งไปหลบอยู่ด้านหลังเสาใกล้ ๆ
ไม่คาดคิดว่าคนกลุ่มนี้จะเก่งกาจนัก ตะขาบมรกตพานางบินเข้ามาที่นี่ ใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วยามเท่านั้น ก่อนคนกลุ่มนั้นจะมาถึง แต่ระดับการบำเพ็ญของพวกเขาต้องสูงกว่านางอย่างแน่นอน
หากผู้บำเพ็ญเพียงระดับกลั่นลมปราณเช่นนางปรากฏตัวออกไป ย่อมถูกกำจัดเป็นแน่
“คนพวกนั้นเข้ามาเพื่อแย่งไข่อย่างแน่นอน ไม่ได้! ข้าจะไปฆ่าพวกมันเสีย ไข่ต้องเป็นของข้าเท่านั้น!” ตะขาบพูด แล้วมันก็หายไปทันที
เพียงไม่นาน ในความมืดก็มีเสียงกระพือปีกดังขึ้น ทั้งยังมีดวงตาสีเขียวอีกหลายคู่ส่องสว่างท่ามกลางความมืด
อึก…
เมื่อเห็นภาพที่น่ากลัวเช่นนี้แล้ว เสียงกลืนน้ำลายก็ดังขึ้นท่ามกลางความมืดมิด นั่นรวมถึงหลิงเยว่ด้วย
เสียงกระพือปีกของฝูงแมลงดังขึ้น ไม่เพียงแต่ดวงตาจะเปล่งแสงสีเขียวที่น่ากลัวเท่านั้น แต่ลำตัวก็เปล่งแสงสีเขียวด้วยเช่นกัน
ฝูงตะขาบมรกตสี่ปีกตัวเล็ก ๆ บินด้วยความเร็วสูง ปกคลุมร่างของผู้บำเพ็ญที่อยู่ใกล้พวกมันมากที่สุด ฉากที่ปรากฏขึ้นหลังจากนั้น ทำให้หลิงเยว่ตกใจจนหายใจไม่ออก ผู้บำเพ็ญที่ถูกตะขาบเกาะ ยังไม่ทันได้ร้องโอดครวญร่างกายก็พลันละลายหายไป!
ละลาย! หาย! ไป!
โหดเหี้ยมเกินไปแล้ว ถ้าตอนนั้น… หลิงเยว่ไม่กล้าคิดเลย
“ทุกคนหนีเร็ว!”
ผู้บำเพ็ญที่เห็นเพื่อนร่วมทางละลายไปต่อหน้าต่อตาตะโกนลั่น แล้ววิ่งหนีไปทางประตูออกทันที ส่วนผู้บำเพ็ญอีกสามคนที่เหลือต่างร้องไห้และวิ่งตามออกไปเช่นกัน
พวกเขาก็อยากจะสู้ แต่ผู้บำเพ็ญคนนั้นอยู่ถึงระดับจินตานขั้นปลายแล้ว ยังถูกละลายกลายเป็นเช่นนั้นได้ แล้วพวกเขาสี่คนซึ่งอยู่เพียงระดับจินตานขั้นกลางย่อมไม่อาจต้านทานฝูงตะขาบนั้นได้อย่างแน่นอน!
เหล่าตะขาบสังหารผู้ที่มีพลังปราณสูงสุดเพียงคนเดียว จากนั้นก็มองดูมนุษย์ไม่กี่คนที่กำลังหนีเตลิดด้วยสายตาเย็นชา
เหล่าตะขาบตัวเล็ก ๆ ไม่ได้ถูกหัวหน้าตะขาบจับกินเข้าไปในท้องอีกแล้ว พวกมันพากันเกาะกลุ่มอยู่บนคาน บนพื้น และบริเวณทางเข้า ไม่ว่าจะมองไปทางใดก็ล้วนมีแต่ตะขาบมรกตสี่ปีกเต็มไปหมด
“หึ! ถ้าเผ่าพันธุ์ของเรากินเนื้อ พวกมนุษย์เหล่านี้คงกลายเป็นอาหารไปแล้ว!”
กินเนื้ออย่างนั้นหรือ!
หลิงเยว่เบิกตาโพลง ในตำราอาหารวิญญาณเองก็ได้บันทึกไว้ว่า ตะขาบมรกตสี่ปีกกินได้ทุกอย่าง เหตุใดในเขตแดนลับนี้ พวกมันถึงกินแต่พืชผักเล่า ช่างไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย!
หรือเป็นเพราะพวกมันถูกขังไว้นานเกินไป สัตว์อสูรในเขตแดนลับนี้จึงถูกพวกมันกินเสียหมด จนในที่สุดก็หาเนื้อกินไม่ได้แล้ว จึงจำใจกินแต่พืชผักเช่นนั้นหรือ?
“กึก…”
ชั่วครู่ก็มีเสียงแว่วมาจากที่ไกล ๆ เหล่าตะขาบและมนุษย์จึงวิ่งพรวดไปดูพร้อมกัน
ทางด้านผู้บำเพ็ญทั้งสี่ เมื่อวิ่งพ้นจากประตูวังแล้วก็หันกลับไปมอง พอเห็นว่าฝูงตะขาบไม่ได้ไล่ตามมา พวกเขาจึงล้มลงไปบนพื้นด้วยความอ่อนแรง นับว่าได้รับการช่วยเหลือแล้ว…
เวลาล่วงเลยไปเกินกว่าสามวัน ตั้งแต่ที่วังทั้งเก้าได้ปรากฏขึ้น ผู้คนที่มุ่งหน้ามายังวังอีกาสุริยันอย่างสุดชีวิต ในที่สุดก็ได้เห็นรูปโฉมของวังแล้ว
ผู่ตานและลู่เป่ยเหยียนได้พบกันระหว่างทาง จึงได้ร่วมเดินทางมาด้วยกัน
“ไฟนี้ช่างแรงเหลือเกิน”
ทั้งตัวของลู่เป่ยเหยียนเต็มไปด้วยเหงื่อ เมื่อเหงื่อไหลออกมาก็ถูกความร้อนอบจนระเหยไปได้ในทันที แก่นปราณธาตุเดียวของเขาเป็นเช่นนี้ แต่คนข้างกายอย่างผู่ตานนับว่าสภาพแย่กว่านัก
“เจ้ายังไหวหรือไม่ ไม่อย่างนั้น… หรือจะลองไปสำรวจวังที่เย็นกว่านี้ดู”
ผู่ตานไม่มีเรี่ยวแรงพอที่จะตอบ จึงควานหาชานมสมุนไพรวิญญาณเย็นเฉียบจากแหวนมิติออกมาพร้อมกับดื่มอย่างรวดเร็ว จึงช่วยให้รู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย
“ไม่ได้ ข้ารู้สึกว่าวังนี้มีเปลวเพลิงแปลกประหลาด!”
เมื่อพูดถึงเปลวเพลิงแปลกประหลาดนี้ ดวงตาของผู่ตานก็เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น
ลู่เป่ยเหยียนเบ้ปาก สภาพพวกเขายับเยินกันถึงเพียงนี้ ยังจะมุ่งมั่นที่จะเอาชนะอีกหรือ แค่จะมีชีวิตเข้าไปข้างในได้หรือไม่ยังไม่อาจคาดเดา แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็พูดขึ้นมาว่า “เอาตามความสามารถของแต่ละคนแล้วกัน”
แก่นปราณอัคคีที่พิเศษเช่นนี้ เขาก็ปรารถนาเหมือนกัน!
ทุกคนที่เดินทางมายังวังสีแดง ล้วนมีความมุ่งมั่นต่อเปลวไฟแปลกประหลาด สงครามใหญ่ครั้งนี้ย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้
“ข้าขอแนะนำ ท่านอย่าเข้าไปข้างในเลย ด้านในนั้นน่ากลัวยิ่งกว่าที่ท่านคิด!” ผู้บำเพ็ญทั้งสี่ที่หนีออกมา เมื่อพบว่ามีผู้คนมากมายที่ต้องการเข้าไปหาความตาย จึงได้เอ่ยปากเกลี้ยกล่อม
“พวกเจ้าเข้าไปแล้วหรือ?” ลู่เป่ยเหยียนเริ่มสนใจ ผู้บำเพ็ญรอบข้างต่างตั้งใจฟังเช่นกัน พวกเขาอยากจะได้รับข่าวสารจากปากผู้ที่พบเห็นเหตุการณ์โดยตรง
“เข้าไปแล้ว และยังสูญเสียสหายไปอีกหนึ่งคนด้วย ภายในเต็มไปด้วยตะขาบ ฝูงตะขาบมรกตสี่ปีกที่น่าสะพรึงกลัว!”
ทั้งสี่คนต่างพูดสลับกันไปมา ทว่าความกลัวในดวงตาของพวกเขานั้นไม่ได้หลอกลวง โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้บำเพ็ญที่เผชิญหน้ากับสหายผู้บำเพ็ญระดับจินตานขั้นปลายที่ละลายหายไปต่อหน้าต่อตา จนถึงตอนนี้เขายังคงหวาดกลัวยิ่งนัก ทั้งยังหวาดระแวงว่าฝูงตะขาบพวกนั้นจะโผล่ออกมาอีกหรือไม่
ถึงกระนั้นก็ยังมีผู้คนอีกจำนวนมากที่ไม่เชื่อ พวกเขาคิดว่าผู้บำเพ็ญทั้งสี่คนนี้ต้องการขู่ให้พวกเขากลัว แล้วครอบครองสมบัติภายในเอาไว้แต่เพียงผู้เดียว
มิเช่นนั้นแล้ว พวกตะขาบที่เก่งกาจเช่นนั้นจะปล่อยให้ผู้บำเพ็ญระดับจินตานขั้นกลางทั้งสี่คนหนีออกมาได้อย่างไร?
เพียงหนีออกมาได้ก็ถือว่าโชคดีแล้ว ยังมีเวลาเหลือเฟือมาเกลี้ยกล่อมอีกหรือ พวกเขามีน้ำใจงามถึงเพียงนี้เชียว?
“แท้จริงแล้ว พวกเจ้าสี่คนร่วมมือกันสังหารผู้บำเพ็ญระดับจินตานขั้นปลายผู้นั้นไม่ใช่หรือ?”
ผู้บำเพ็ญทั้งสี่คนสบตากัน ถึงแม้ว่าพวกเขาจะเคยมีความคิดเช่นนี้ แต่ก็ยังไม่มีโอกาสลงมือทำ
“หากพวกเจ้าไม่เชื่อก็ช่างเถิด พวกเราพูดได้เพียงเท่านี้”
ผู้บำเพ็ญทั้งสี่คนนั้นทำเพียงก้าวถอยหลังสามก้าว หันกลับมามองเป็นระยะ ก่อนจะค่อย ๆ หายลับไปจากสายตาของทุกคน ในตอนนั้นมีผู้บำเพ็ญผู้เฉลียวฉลาดคนหนึ่งวิ่งไล่ตามพวกเขาไป
พวกเขาสงสัยว่าของดีในวังนั้นคงถูกสี่คนนั้นหยิบไปแล้ว!
แม้จะได้ฟังเรื่องราวอันน่าสยดสยอง ลู่เป่ยเหยียนและผู่ตานก็ยังตัดสินใจเข้าไปสำรวจ พวกเขามาถึงที่นี่แล้ว หากมิได้เข้าไปดูก็คงพูดได้ไม่เต็มปากนัก
เหล่าผู้บำเพ็ญคนอื่น ๆ ก็ระแวดระวังผู้คนรอบข้างของตนเอง ขณะรีบมุ่งหน้าไปที่ปากนก ราวกับว่าหากช้ากว่านี้ สมบัติวิเศษล้ำค่าจะตกไปอยู่ในมือของคนอื่นเสียก่อน