ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน - บทที่ 127 หลบไป นางจะแสดงพลังแล้ว!
บทที่ 127 หลบไป นางจะแสดงพลังแล้ว!
เสียงอึกทึกที่ดังมาจากด้านนอกวังดึงดูดความสนใจของหลิงเยว่ นั่นถือเป็นสัญญาณว่ามีคนกำลังเข้ามาแล้ว
เพียงพริบตาภายในวังก็เต็มไปด้วยแสงสว่างจากดวงตาสีเขียวทันที
“น่ารำคาญนัก ไปจัดการพวกมันให้สิ้นซาก!” หัวหน้าฝูงตะขาบมรกตสั่งการ พร้อมกับเหล่าตะขาบลูกสมุนที่กางปีกเตรียมจะบินออกไป
“รอเดี๋ยว พวกเจ้าอย่าเพิ่งไป โปรดฟังข้าก่อน!”
หลิงเยว่รีบตะโกนห้ามฝูงแมลงที่เตรียมออกไปสังหารผู้คน ก่อนหันไปทางจอมปลวกที่ดูไม่ค่อยพอใจนัก “ท่านทั้งหลาย จนถึงตอนนี้พวกเราเองก็ยังหาไข่นกไม่เจอ เป็นไปได้หรือไม่ว่ามนุษย์พวกนั้นอาจจะช่วยพวกเราได้?”
ฝูงตะขาบหันไปมองหลิงเยว่ พวกมันรู้สึกว่าที่นางพูดก็นับว่ามีเหตุผล แต่ก็น่าแปลก พวกมันที่มีจำนวนตั้งมากมายยังหาไม่เจอ หากมนุษย์เพียงไม่กี่คนหาเจอขึ้นมาจะไม่ทำให้พวกมันเสียหน้าหรือ?
หลิงเยว่ที่ถูกดวงตาสีเขียวของเหล่าตะขาบมรกตจ้องอยู่นั้น รู้สึกละอายใจอยู่บ้าง “คิดดูเถิด เขตแดนลับแห่งนี้ มนุษย์เป็นผู้สร้าง ย่อมเป็นที่ประจักษ์แล้วว่าความคิดของมนุษย์ด้วยกันถือว่าได้เปรียบกว่าพวกเจ้ามากนัก”
“อืม… ก็มีเหตุผลอยู่ แต่เจ้าก็เป็นมนุษย์ เหตุใดเจ้าจึงไม่เข้าใจเล่า?” หัวหน้าฝูงตะขาบมรกตตัวที่สองหรี่ตาสีเขียวจ้องมองไปที่หลิงเยว่ มันรู้สึกว่านางอาจกำลังง
วางแผนบางอย่างอยู่เป็นแน่
“ข้า… ข้าเป็นพวกที่สมองไม่ค่อยดี”
“หมายความว่าในบรรดาเหล่ามนุษย์ เจ้าเป็นพวกโง่เง่าอย่างนั้นหรือ?” ตะขาบมรกตตัวที่สามเอ่ยจบก็หัวเราะลั่น จนตัวของมันกลิ้งไปมาบนอากาศ
หลิงเยว่สีหน้าตึงเครียดก่อนจะเอ่ยว่า “ใช่! ข้าเป็นคนโง่”
หากไม่กลัวว่าคนอื่นที่เข้ามาจะเป็นพวกพ้องของนางหรือผู้คนจากเมืองฮั่วหยาง นางก็คงไม่ต้องมากล่าวโทษตนเองให้ดูแย่เพียงนี้
“นางยอมรับด้วย ฮ่า ๆ ๆ!”
เมื่อฝูงตะขาบเห็นหัวหน้าตะขาบหัวเราะ พวกมันก็พลอยส่งเสียงตามไปด้วย
หลิงเยว่ถูกเยาะเย้ย นางเพียรบอกกับตัวเองว่าอย่าโกรธ การเยาะเย้ยเช่นนี้ไม่ถือเป็นอะไรเลย!
“เหตุใดถึงไม่มีตะขาบเลยสักตัวเดียว!”
ผู้บำเพ็ญที่ก้าวเข้ามาในวังคนแรกมองไปรอบ ๆ ไม่พบแม้แต่เงาของตะขาบมรกตสี่ปีก พลันรู้ตัวได้ทันทีว่าถูกหลอกเสียแล้ว!
หากเจ้าพวกที่ปล่อยข่าวลือไม่หนีไปก่อน เขาจะต้องสั่งสอนพวกมันให้สาสม!
ให้ตายเถิด เขาเกือบไม่กล้าเข้ามาแล้ว
ท่านที่สองก็เข้ามาสำรวจอย่างรวดเร็ว แล้วกล่าวว่าคนทั้งสี่นั้นล้วนเป็นพวกต้มตุ๋น!
ยิ่งมีผู้บำเพ็ญเข้ามามากเท่าใด ก็ยิ่งทำให้วังทั้งหลังนั้นสว่างไสวมากขึ้นเท่านั้น
“เหตุใดจึงว่างเปล่าเช่นนี้?”
“หรือว่าสิ่งของทั้งหลายจะถูกผู้บำเพ็ญที่เข้ามาก่อนหน้าขนเอาไปจนหมดสิ้นแล้ว”
“หากเป็นเช่นนั้น พวกเราที่ฝ่าฟันเข้ามาจนแทบเอาชีวิตไม่รอด ก็กลายเป็นที่ขำขันแล้วเป็นแน่”
ผู้คนต่างสิ้นหวังอย่างที่สุด
ลู่เป่ยเหยียนไม่คาดคิดว่าจะเจอเหตุการณ์เช่นนี้ เขาย่อตัวลงนั่งอยู่ที่มุมห้อง สังเกตผนังที่ไม่รู้ว่าสร้างขึ้นมาจากหินชนิดใด ด้านในนั้นมีสีแดงก่ำ ดูแล้ว… สวยงามดี
ไม่เช่นนั้นลองแกะหินจากผนังนี้สักส่วนหนึ่งแล้วนำกลับไปด้วยดีหรือไม่? แม้ว่าจะไม่พบเปลวไฟพิเศษ แต่ก็ยังพอใช้เป็นวัสดุพิเศษได้
พูดจบก็ลงมือทำ ลู่เป่ยเหยียนหยิบมีดสั้นออกมาฟันเข้าไปที่กำแพง ทันใดนั้นก็มีสะเก็ดไฟสาดกระเซ็นออกมา
ผู่ตานเห็นดังนั้นก็อดไม่ได้ที่จะกระตุกมุมปากเยาะ “พวกเจ้าจากยอดเขาหลอมศาสตราตกต่ำถึงขนาดที่ต้องมางัดกำแพงแล้วหรือ?”
ไม่รู้ว่าลู่เป่ยเหยียนฟันลงไปโดนกับดักใดหรือไม่ ทั่วทั้งวังจึงสว่างวาบขึ้นมาทันที เปลวไฟในกำแพงสีแดงพลันลุกโชน
อากาศภายในวังร้อนขึ้นอย่างรวดเร็ว มวลอากาศบิดเบี้ยวไปหมด
ผู้บำเพ็ญส่วนใหญ่เป็นลมล้มไปเพราะความร้อนที่สูงขึ้นอย่างฉับพลัน ผู้บำเพ็ญที่มีการบำเพ็ญสูงกว่าก็ยังพอจะประคองสติไว้ได้
ผู่ตานที่เพิ่งอยู่ระดับสร้างรากฐานคิดจะพิงกำแพง แต่พอพิงไปได้ไม่ทันไรก็มีเสียงฉ่าดังขึ้นที่ด้านหลัง เขาตกใจจนรีบกระโดดออกทันที ถือว่ารอดพ้นจากการถูกไฟบนผนังเผาไหม้ได้อย่างหวุดหวิด
“เจ้าไปโดนสิ่งใดเข้า!?”
ชายร่างกายกำยำหน้าตาโหดเหี้ยมจับคอเสื้อของลู่เป่ยเหยียน
ลู่เป่ยเหยียนชี้ไปที่กำแพงข้าง ๆ เขาฟันไปเพียงครั้งเดียวแล้วมีประกายไฟออกมาเล็กน้อย แต่ไม่รู้ว่าไปโดนสิ่งใดเข้า เขาเองก็ทำได้เพียงบอกว่าเขาไม่รู้จริง ๆ
“วางมือลงเดี๋ยวนี้!” ผู่ตานที่ใจร้อนลุกพรวดขึ้นมาจากพื้นและเผชิญหน้ากับชายผู้นั้น
เพียงไม่นานก็มีผู้บำเพ็ญระดับจินตานมากกว่าสิบคนมารวมตัวกันอยู่ด้านหลังของชายผู้นั้น
สองคนต่อสู้กับคนถึงสิบหกคน แน่นอนว่าย่อมพ่ายแพ้ราบคาบ!
“ข้าเพียงจะบอกว่าให้เขาวางมีดในมือลงก่อนเถิด” ผู่ตานรีบเปลี่ยนคำพูดแล้วฝืนยิ้ม “จะมาชี้ดาบใส่พี่ใหญ่เช่นนี้ได้อย่างไร ใช่หรือไม่?”
ชายผู้นั้นไม่สนใจคำพูดของผู่ตานเลยแม้แต่น้อย “เมื่อหาของวิเศษล้ำค่าใด ๆ จากที่นี่ไม่ได้ คงต้องไปเอาจากเจ้าแทนแล้วกระมัง”
กล้าใส่ชุดของสำนักเข้ามาในเขตแดนลับเช่นนี้ คิดว่าจะไม่มีผู้ใดกล้าปล้นอย่างนั้นหรือ?
“เอาแหวนมิติมา แล้วข้าจะปล่อยพวกเจ้าไป”
แววตาพวกพ้องของชายผู้นั้นเต็มไปด้วยความไม่น่าไว้วางใจ ใครเล่าจะเชื่อคำพูดที่ว่าจะไว้ชีวิตนั่นกันเล่า
ลู่เป่ยเหยียนและผู่ตานต่างไม่เชื่อคำพูดของชายหนุ่ม การฆ่าเพื่อชิงสมบัติในเขตแดนลับนั้นถือเป็นเรื่องปกตินัก!
เป็นไปไม่ได้ที่คนพวกนั้นจะปล่อยให้ชายหนุ่มสองคนนี้มีชีวิตออกจากเขตแดนลับนี้อย่างแน่นอน เพราะพวกเขามีสำนักที่ยิ่งใหญ่คอยหนุนหลังอยู่!
เพียงแต่พวกเขาไม่เต็มใจที่จะยกแหวนมิติให้อย่างแน่นอน หากพวกเขาลองสู้ดูสักตั้งเล่า…
คนหนึ่งอยู่ระดับสร้างรากฐานขั้นต้น และอีกคนหนึ่งเพิ่งอยู่ระดับจินตานขั้นกลาง ต้องเผชิญหน้ากับผู้บำเพ็ญระดับจินตานถึงสิบหกคน เกรงว่าจะไม่มีโอกาสชนะเสียด้วยซ้ำ
“พวกเจ้าต่างหากที่ควรจะมอบถุงเก็บของมาเดี๋ยวนี้ แล้วพวกข้าจะปล่อยให้พวกเจ้ามีชีวิตอยู่ต่อไป!”
ท่ามกลางการเผชิญหน้ากันอยู่นั้น ก็มีเสียงใสกังวานดังขึ้น พร้อมกับเงาดำ ดูรูปร่างผอมบางที่ค่อย ๆ เดินเข้ามา
ทว่าทันทีที่นางปรากฏตัว ผู้บำเพ็ญระดับจินตานที่เกือบจะตกใจกลัว กลับส่งเสียงหัวเราะดังลั่น
“เป็นแค่นักกลั่นลมปราณขั้นหนึ่ง กล้าออกมาปล้นแล้วหรือ?”
“โอ้โห! ไม่รู้ว่านางเอาปัญญาบ้าบิ่นนั่นมาจากไหนกัน”
“ไม่ไหว ๆ ข้าหัวเราะจะตายอยู่แล้ว”
ผู่ตานและลู่เป่ยเหยียนที่จำเสียงหลิงเยว่ได้ก็ดีใจ ทว่ากลับรู้สึกสิ้นหวังในเวลาต่อมา หากซ่อนตัวอยู่เงียบ ๆ บางทียังมีโอกาสหนีรอดได้ แต่ตอนนี้กลับออกมาเช่นนี้ นางคิดจะเตรียมตัวตายพร้อมกับพวกเขาหรือ?
“ข้าจะพูดเพียงครั้งเดียวเท่านั้น เอาของมีค่าออกมา แล้วพวกเจ้าก็ไปเสียเถิด ไม่เช่นนั้น… อย่าหาว่าข้าไม่เตือน”
หลิงเยว่ยืนขวางอยู่ด้านหน้าลู่เป่ยเหยียนและผู่ตาน แม้ว่านางจะเป็นคนตัวเล็กที่สุดในกลุ่ม แต่นางกลับมีท่าทางที่เต็มไปด้วยความน่าเกรงขาม
“ศิษย์น้องห้า หยุดเถิด”
ผู่ตานและลู่เป่ยเหยียนดึงหลิงเยว่ไปไว้ด้านหลังของพวกเขา ทั้งสองคนบังหลิงเยว่ไว้อย่างมิดชิด
เมื่ออากาศภายในวังเริ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ เหล่าผู้บำเพ็ญต่างก็หมดความอดทนกับทั้งสามคนนี้แล้วเช่นกัน
“ลงมือ!”
ทันทีที่หัวหน้าผู้บำเพ็ญพูดจบ เหล่าผู้บำเพ็ญระดับจินตานอีกสิบหกคนก็รุมล้อมทั้งสามคนเอาไว้ อาวุธในมือของพวกเขาต่างฟาดฟันลงมา
โดยปกติแล้ว ผู้ที่มีพลังระดับจินตานขั้นกลางเพียงหนึ่งคนก็สามารถจัดการกับผู้ที่อยู่ในระดับจินตานและระดับสร้างรากฐานขั้นต้น รวมถึงผู้ที่อยู่ระดับกลั่นลมปราณได้อย่างง่ายดาย แต่ไม่รู้ว่าเพราะความร้อนในที่แห่งนี้สามารถดูดกลืนพลังปราณในร่างกายของพวกเขาได้อย่างไร ร่างกายจึงอ่อนปวกเปียกไม่มีแรงเช่นนี้ พวกเขาต้องรีบปล้นให้เสร็จ แล้วออกจากที่นี่เพื่อไปวังอื่นโดยเร็ว!
“หัวหน้าของเหล่าตะขาบมรกตสี่ปีก หากท่านไม่ปรากฏตัวตอนนี้ ข้าจะต้องตายที่นี่แล้ว!” หลิงเยว่ตะโกนลั่น
ขณะที่อาวุธกำลังตกลงมา ฝูงตะขาบจำนวนมหาศาลก็ปรากฏขึ้น และทันทีที่อาวุธถูกฝูงตะขาบเหล่านั้นแตะต้องก็ละลายกลายเป็นน้ำในทันที
เหล่าผู้บำเพ็ญสิบหกคนต่างตกตะลึง เมื่อต้องเผชิญกับฝูงตะขาบมรกตสี่ปีกที่อัดแน่นอยู่ทั่วทั้งพระราชวัง ด้วยมือที่ไร้อาวุธ
ผู้บำเพ็ญทั้งสี่คนนั้นไม่ได้โกหก มีฝูงแมลงอยู่ที่นี่จริง ๆ
“เอ่อ… พวกเราเข้าใจผิด ทุกอย่างเป็นเพียงความเข้าใจผิด พวกข้าขอไปก่อนล่ะ!” ชายหัวหน้าผู้บำเพ็ญคนนั้นรีบกล่าวขอโทษ แต่หัวหน้าของตะขาบมรกตไม่ได้มีเมตตาถึงเพียงนั้น ปล่อยมนุษย์ไปแล้วสี่คน ยังมีคนกล้าเข้ามาอีก!
กล้าเข้ามาแล้ว ย่อมมีราคาที่ต้องจ่าย!
ผู้บำเพ็ญทั้งสิบหกคนยังไม่ทันได้ร้องออกมา ร่างของพวกเขาก็กลายเป็นกองเลือดที่ถูกเผาจนระเหยไปในทันที
ลู่เป่ยเหยียนและผู่ตานต่างสบตากัน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความร้อนที่ทนไม่ไหวหรือเพราะภาพที่อยู่เบื้องหน้า ถึงทำให้พวกเขาตกใจจนสลบไป