ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน - บทที่ 131 อย่าเป็นเช่นนี้
บทที่ 131 อย่าเป็นเช่นนี้
หลังจากหลิงเยว่ได้ฟังคำบอกเล่าของตะขาบมรกตตัวที่สามอย่างใจจดใจจ่อ แววตาของนางพลันเต็มไปด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย
เดิมทีเผ่าพันธุ์ตะขาบมรกตสี่ปีกไม่มีความสามารถในการแปลงร่าง แม้จะผ่านการฝ่าด่านแปลงร่างมาได้สำเร็จ ก็เพียงแค่เปลี่ยนดวงตาจากสีเขียวเท่าเมล็ดถั่วเขียว ให้กลายเป็นดวงตาสีแดงเพียงเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ถึงจะไม่สามารถแปลงร่างเป็นมนุษย์ได้ ความเก่งกาจของพวกมันกลับก้าวกระโดดมากนัก ไม่เพียงสามารถเปิดพื้นที่มิติในท้องของตนเองได้ แต่ยังสามารถกลืนกินเผ่าพันธุ์เดียวกันและคายออกมาใหม่โดยที่ไม่เป็นอันตรายใด ๆ อีกด้วย
หากพวกมันมีพลังมากขึ้น คงจะพัฒนาไปเป็นตะขาบมรกตสี่ปีกที่กลืนกินท้องฟ้าได้เป็นแน่ แต่น่าเสียดาย… ในช่วงหลายพันปีที่ผ่านมา ยังไม่มีตะขาบมรกตตัวใดเลยที่พัฒนาได้สำเร็จ
เจ้าตะขาบมรกตตัวที่สามคาดการณ์ว่าสาเหตุอาจมาจากโลกผู้บำเพ็ญเซียนเกิดปัญหาขึ้น
ปัญหาของโลกผู้บำเพ็ญเซียนนั้น ยากเกินกว่าที่หลิงเยว่ผู้บำเพ็ญระดับกลั่นลมปราณจะจัดการได้ แม้แต่การช่วยให้เหล่าแมลงตะขาบมรกตสี่ปีกแปลงร่างได้ ก็ยังอยู่เหนือความสามารถของนาง
ในช่วงเวลาวิกฤตเช่นนี้ ตามปกติ ระบบจะต้องออกมาขายของ แต่ตอนนี้กลับนิ่งเงียบราวกับตายไปเสียแล้ว
ไข่นกซึ่งถูกล้อมรอบด้วยเปลวเพลิง และได้รับการปกป้องโดยฝูงตะขาบมรกตทั้งฝูงก็ยิ่งขยายใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ เปลือกไข่สีขาวนวลเริ่มปรากฏสีแดงปะปนอยู่ด้วยบางส่วน
ถึงแม้หลิงเยว่จะไม่เคยเห็นนกศักดิ์สิทธิ์ฟักออกจากไข่มาก่อน แต่นางก็รู้สึกราวกับว่าเจ้าตัวน้อยข้างในกำลังจะออกมาแล้ว
หลิงเยว่ร้อนรนจนทำอะไรไม่ถูก เหงื่อกาฬผุดเต็มหน้าผาก ใจของนางกระวนกระวายราวกับไฟลามทุ่ง
“ระบบ หากครั้งนี้ข้าทำภารกิจล้มเหลว ข้าต้องชดใช้อายุขัยเพิ่มหรือตายตรงนี้ทันที?” หลิงเยว่ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าคำถามที่นางเคยถามตอนเข้ามาในประตูมิตินี้ยังไม่ได้รับคำตอบ
[โอสถแปลงร่างระดับเทพ : ช่วยให้เผ่าพันธุ์สัตว์ใด ๆ ที่ถูกกฎสวรรค์จำกัด สามารถแปลงร่างเป็นมนุษย์ได้ ราคาหนึ่งหมื่นล้านค่าพลังวิญญาณ]
ระบบไม่ได้ตอบคำถามของหลิงเยว่ ทว่ากลับเปลี่ยนหัวข้อสนทนาไปเสียแล้ว
“เม็ดเดียว… หรือทั้งขวด?”
[เม็ดเดียว]
โอสถแปลงกายระดับเทพเพียงหนึ่งเม็ด แต่ราคาหนึ่งหมื่นล้านค่าพลังวิญญาณ!
นางผู้มีหนี้สินอยู่แล้วถึงพันล้านย่อมไม่กล้าเอ่ยปากซื้อ โอสถห้าเม็ดสำหรับตะขาบมรกตห้าตัวราคารวมแล้วห้าหมื่นล้าน แต่ค่าพลังวิญญาณที่นางจะได้รับจากภารกิจนี้มีเพียงหนึ่งพันล้านเท่านั้น คุ้มค่าหรือไม่ที่จะจ่ายห้าหมื่นล้านเพื่อแลกกับหนึ่งพันล้าน?
[หนึ่งในนกศักดิ์สิทธิ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกผู้บำเพ็ญเซียน ไม่คุ้มค่ากับห้าหมื่นล้านอย่างนั้นหรือ?]
คุ้มค่ามาก! ทั้งยัง… อาจจะได้ตะขาบมรกตสี่ปีกที่แปลงกายเป็นมนุษย์ได้ถึงห้าตัว พวกมันที่ซื่อสัตย์และภักดีต่อนาง นอกจากนี้แล้วยังมีเหล่าฝูงตะขาบมรกตเผ่าเดียวกันอีก การแลกเปลี่ยนครั้งนี้ถือว่าคุ้มค่ามากทีเดียว
“ศิษย์พี่ลู่ ศิษย์พี่สี่ พวกท่านต้องการมันหรือไม่?”
ขณะที่ลู่เป่ยเหยียนและผู่ตานนั่งดูไข่นกอยู่ พวกเขาทั้งสองก็มองตามมือของหลิงเยว่ไปยังเจ้าตะขาบมรกตตัวที่สาม
“เจ้ามีหนทางหรือ?”
หลิงเยว่พยักหน้า
“จะทำอย่างไร?”
ผู่ตานแม้ยังไม่ค่อยเชื่อนัก แต่ก็เห็นหลิงเยว่ทำท่าทีลึกลับและเจ้าเล่ห์อยู่ ก็เลยยอมร่วมมือด้วย
เนื่องจากระดับการบำเพ็ญของเขาในเวลานี้ ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะคว้าเปลวเพลิงเทพศักดิ์สิทธิ์มาได้ ด้วยเหตุนี้ ถอยลงมาอีกขั้นแล้วทำสัญญากับเจ้าตะขาบมรกตที่เก่งกาจน่าจะดีกว่า?
“ศิษย์น้องหลิง หากเจ้ามีวิธีจริง ข้าจะยอมเป็นวัวเป็นม้าให้เจ้าใช้ไปตลอดชีวิต!”
ดวงตาของลู่เป่ยเหยียนในตอนนี้เป็นประกาย ใบหน้าของเขาแดงก่ำ ไม่รู้ว่าด้วยความร้อนหรือด้วยความตื่นเต้น
ยามนี้ ทั้งสามคนใช้เคล็ดลับสำนักหลานเทียนในการสื่อสารกัน ดังนั้นเจ้าตะขาบมรกตจึงไม่ได้ยินว่าเหล่ามนุษย์ผู้เปราะบางที่อยู่บนหลังของมันนั้น กำลังวางแผนการร้ายใดอยู่
“หินวิญญาณสองพันล้านก้อนหรือ?”
“เจ้าไม่ได้ป่วยใช่หรือไม่?”
ผู่ตานเผลอเอื้อมมือไปแตะหน้าผากของหลิงเยว่ รู้สึกเหมือนแทบจะโดนความร้อนลวก เขาจึงลองแตะหน้าผากตัวเองบ้าง… ผลลัพธ์คือ รู้สึกถึงความร้อนเช่นกัน
แม้จะมีน้ำลายของเจ้าตะขาบมรกตห่อหุ้มตัวและปกป้องพวกเขาอยู่ แต่ก็ยังไม่สามารถหลีกเลี่ยงความร้อนเช่นนี้ได้
“ศิษย์น้องหลิง เจ้าขายให้ข้า ข้าก็ไม่มีทางหาสองพันล้านหินวิญญาณมาจ่ายให้เจ้าได้หรอก!” ลู่เป่ยเหยียนแทบไม่เชื่อหูตัวเอง ศิษย์น้องหลิงคิดได้อย่างไรว่าเขาจะมีปัญญาควักเงินสองพันล้านหินวิญญาณออกมาได้
แม้แต่อาจารย์ของเขาก็อาจจะมีไม่ถึงขนาดนั้น!
“สามารถทยอยจ่ายได้ ระยะเวลาสองร้อยปี ท่านเห็นว่าอย่างไร?”
ไม่ใช่เพราะว่าเป็นหนี้มากมาย ไม่มีปัญญาจ่าย เลยต้องหาแพะมารับผิดชอบร่วมกันอย่างแน่นอน!
“สองพันล้านหินวิญญาณ เจ้าคิดว่ามันจะยอมทำสัญญากับข้าด้วยความเต็มใจจริงหรือ?” ผู่ตานแม้จะรู้ดีว่าคำพูดของศิษย์น้องห้าฟังดูไม่น่าเชื่อถือ แต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะมีความหวังอยู่บ้าง
หลิงเยว่ไม่ได้ตอบคำถามของผู่ตาน ทว่านางหันไปตบไหล่ของเจ้าตะขาบมรกตตัวที่สามที่กำลังงีบหลับอยู่ พร้อมกับเอ่ยเบา ๆ ว่า “เจ้าตะขาบมรกตตัวที่สาม หากว่าพี่ชายของข้าสามารถช่วยให้เจ้าแปลงร่างเป็นมนุษย์ได้ เจ้าจะยินดีทำพันธสัญญากับเขาหรือไม่?”
“ยินดีอย่างยิ่ง!”
เจ้าตะขาบมรกตตัวที่สามงัวเงียตอบคำถามด้วยความง่วง แต่ทันใดนั้น มันก็รู้สึกตื่นตัวขึ้นมาในทันที มันรู้ดีว่ามนุษย์มีผู้บำเพ็ญและผู้วิเศษมากมาย อาจจะมีวิธีช่วยมันจริง ๆ ก็เป็นได้
ทันใดนั้น สายตาของมันก็จับจ้องไปยังมนุษย์ทั้งสามที่มันต้องคอยปกป้อง แม้จะมีวิธีที่มนุษย์จะช่วยมันได้ แต่คงไม่ใช่พวกเขาเหล่านี้เป็นแน่
“พวกเจ้ากระซิบเรื่องใดกันอยู่หรือ?” หัวหน้าตะขาบมรกตเหลือบตามองมาทางหลิงเยว่
หลิงเยว่คว้าตัวหัวหน้าตะขาบมรกตที่หดตัวลงจนเหลือขนาดเท่าข้อมือเข้ามาหานาง จากนั้นนางก็หยิบขวดโอสถที่ดูธรรมดาขึ้นมา ถอดจุกออกเพียงเล็กน้อย
แค่เปิดเพียงนิด ก็ทำให้หัวหน้าตะขาบมรกตสะดุ้งทั้งตัว ดวงตาเหมือนถั่วแดงขยายใหญ่ขึ้น
“เกิดอะไรขึ้น!”
หัวหน้าตะขาบมรกตพยายามเกาะหลิงเยว่ ต้องการจะดมกลิ่นอีกครั้ง แต่เจ้ามนุษย์ผู้เปราะบางนี้ก็เก็บขวดโอสถไปอย่างรวดเร็ว
มนุษย์และตะขาบมรกตคุยกันอยู่พักใหญ่ ในที่สุดก็ตกลงกันว่าหัวหน้าตะขาบมรกตยินยอมให้กินได้โดยไม่ต้องทำพันธสัญญากับผู้ใด เพียงขอให้แปลงร่างสำเร็จ ส่วนพี่น้องทั้งสี่จะยอมให้ทำสัญญาทันที ไม่ว่าจะทำพันธสัญญากันอย่างไรก็ย่อมได้
หลิงเยว่ยื่นหนึ่งหมื่นล้านให้หัวหน้าตะขาบมรกตทั้งใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด
“ถ้าหากสำเร็จ เจ้าต้องรักษาสัญญา”
“วางใจเถิด ข้าไม่ไร้สัจจะเช่นมนุษย์อย่างพวกเจ้าหรอก” หัวหน้าตะขาบมรกตคิดว่าลองดูสักหน่อยคงไม่เสียหายกระมัง หัวหน้าตะขาบมรกตจึงอ้าปากรับโอสถจากขวดนั้นจนหมด
ทันทีที่โอสถเข้าปาก หัวหน้าตะขาบก็รู้สึกถึงความแปลกประหลาด มันเคยกินถั่วเคลือบน้ำตาลของมนุษย์มาหลายครั้งแล้ว แต่ไม่เคยรู้สึกถึงความแปลกใหม่เช่นนี้มาก่อน ราวกับว่าสิ่งนั้นกำลังดิ้นรนหนีออกจากปากของมัน
เคี้ยวไปสิบกว่าครั้งก็ยังเคี้ยวโอสถนั้นไม่แตก หัวหน้าตะขาบมรกตเบิกตากว้าง มุ่งความสนใจไปที่การเคี้ยวโอสถราวกับกำลังต่อสู้กันอยู่
พอกัดเข้าไป โอสถนั้นก็ยิ่งหนี ยิ่งพยายามกัด โอสถนั้นก็ยิ่งพยายามหนีต่อไปอีก…
การต่อสู้ระหว่างหัวหน้าตะขาบมรกตกับโอสถดำเนินต่อไปสักพัก มันนานจนหลิงเยว่คิดว่าระบบขายโอสถปลอมให้กับนางแล้ว หลิงเยว่กำลังจะซักถามกับระบบ แต่ในที่สุดหัวหน้าตะขาบมรกตก็กลืนโอสถลงท้องไปเป็นที่เรียบร้อย ร่างกายของมันแข็งทื่อ ก่อนจะล้มลงบนตัวเจ้าตะขาบมรกตตัวที่สามโดยไม่มีการเคลื่อนไหวใด ๆ ดวงตาแดงก่ำไม่ขยับราวกับสิ้นใจกะทันหัน
หลิงเยว่ฉวยโอกาสที่เจ้าตะขาบมรกตตัวที่สามหลับใหลไม่รู้สึกตัวอยู่นั้น รีบอุ้มหัวหน้าตะขาบมรกตไว้ในอ้อมแขน ก่อนจะหันหลังให้เหล่าตะขาบตัวอื่น ๆ หากหัวหน้าฝูงตะขาบมรกตสี่ปีกสิ้นใจ นางก็คงต้องตายตามไปด้วย
“หัาหน้าตะขาบมรกต ตื่นเถิด…”
หลิงเยว่เขย่าตัวของหัวหน้าตะขาบมรกตในอ้อมแขนอย่างร้อนรน ผู่ตานและลู่เป่ยเหยียนก็เข้ามาโอบล้อมนางด้วยสีหน้ากังวล อย่าเข้าใจผิดไป ไม่ใช่กังวลกับเจ้าหัวหน้าตะขาบมรกตที่สิ้นใจแต่อย่างใด ทว่าพวกเขานั้นเป็นห่วงชีวิตน้อย ๆ ของตนเองต่างหาก
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด หัวหน้าตะขาบมรกตที่เหมือนจะสิ้นใจไปแล้ว ดวงตาของมันกระพริบขึ้นครั้งหนึ่ง จากนั้นศีรษะอันน่าเกลียดนั้นก็สลับไปมาระหว่างศีรษะคนกับศีรษะแมลง แล้วร่างกายก็แปรเปลี่ยนเป็นร่างมนุษย์อย่างช้า ๆ…
เมื่อลู่เป่ยเหยียนเห็นดังนั้น ดวงตาของเขาพลันเบิกกว้าง กลืนน้ำลายลงคอแห้งผาก เขารู้สึกคุ้นเคยกับการแปลงร่างของเผ่าแมลง แต่มันไม่ใช่เช่นนี้!
มือของผู่ตานที่ซ่อนอยู่ใต้แขนเสื้อกำแน่นเป็นกำปั้น หากสำเร็จเขาจะได้สัตว์อสูรรับใช้ที่ทรงพลังมาหนึ่งตน โดยแลกกับหินวิญญาณเพียงสองพันล้านก้อนกับระยะเวลาถึงสองร้อยปี เขาสามารถหาเงินมาจ่ายได้อย่างแน่นอน!
ดวงตาสามคู่จ้องเขม็ง ไม่กล้ากะพริบตาแม้แต่นิด กลัวว่าจะพลาดโอกาสเห็นขั้นตอนการแปลงร่างของหัวหน้าตะขาบมรกต
ในไม่ช้า หลิงเยว่ก็สังเกตเห็นสิ่งที่ผิดปกติ ส่วนศีรษะแปลงร่างได้สำเร็จแล้ว เหตุใดหนวดบนศีรษะยังคงอยู่ ช่างหนวดนั่นก่อนเถิด… แต่เหตุใดร่างกายยังเป็นร่างตะขาบอยู่เล่า
หนึ่งหมื่นล้านค่าพลังวิญญาณได้แค่ศีรษะที่เป็นมนุษย์อย่างนั้นหรือ!
อย่าเป็นเช่นนี้เลย!