ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน - บทที่ 135 นางผู้นี้ต้องเป็นบุตรสาวของสวรรค์เป็นแน่!
บทที่ 135 นางผู้นี้ต้องเป็นบุตรสาวของสวรรค์เป็นแน่!
ต้นไม้ที่สูงตระหง่านถูกสายฟ้าฟาดจนล้มลง เผยให้เห็นผืนดินไหม้เกรียม เช่นเดียวกับหลิงเยว่ที่กำลังคืบคลานอยู่บนพื้นดิน นางหยิบขวดโอสถที่ตกอยู่ข้าง ๆ ขึ้นมาด้วยความยากลำบาก
สายฟ้าฟาดครั้งที่สามมาถึง โดยไม่เปิดโอกาสให้หลบหนีเลยแม้แต่น้อย มันพุ่งตรงมายังศีรษะของหลิงเยว่ทันที
สายฟ้าสีม่วงหนาทึบกำลังฟาดลงมา… แต่เพียงชั่วพริบตาที่กำลังจะโดนหลิงเยว่ สายฟ้านั้นก็เบี่ยงออกไปอีกทางหนึ่ง
หลิงเยว่ที่เตรียมใจเผชิญความตายอยู่พลันลืมตาขึ้น และมองไปที่หลุมลึกข้าง ๆ ตอนนี้ในหัวของนางเต็มไปด้วยคำถาม
ไม่ใช่ว่ามันเล็งพลาดไปทางอื่นหรือ? นางไม่ได้ขยับเขยื้อนไปทางใดเลยนะ!
ผู้คนที่มุงดู “???”
ไม่เคยเห็นสายฟ้าที่เล็งเป้าหมายพลาดเช่นนี้มาก่อน
เมฆสีดำยังไม่จางหาย สายฟ้ายังคงรวมตัวกันอยู่ ราวกับว่าต้องการกู้ศักดิ์ศรีของตนกลับมา การรวมตัวของสายฟ้าในครั้งนี้ไม่ได้ใช้เวลานานนัก ก่อนจะฟาดลงมาบนร่างของหลิงเยว่อย่างหนักหน่วง
หลิงเยว่นั่งนิ่งเฉย ไม่ได้หลบเลี่ยงสายฟ้าแต่อย่างใด แม้ว่าจะต้องทนทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส แต่… ถือว่าแลกมาด้วยประโยชน์มากมายนัก หลังจากบำเพ็ญแล้วร่างกายก็จะแข็งแกร่งขึ้น เพื่อที่จะกำจัดคำว่าเปราะบางออกไป นางต้องพยายาม!
อืม… เพียงแต่ว่า เหตุใดถึงไม่รู้สึกเจ็บเลยเล่า?
หลิงเยว่จ้องมองไปยังหลุมลึกอันมหึมาที่เกิดจากทัณฑ์สวรรค์สายที่สี่ ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความสงบนิ่ง ไร้คำพูดใด
ขณะเดียวกันนั้น สายฟ้าที่ห้าก็กำลังก่อตัว แล้วฟาดลงมาอีกครั้ง
พลังนั้นช่างน่าเกรงขาม! สายฟ้าสีม่วงเข้มส่องประกายแสงสีทองจากด้านใน เปรียบเสมือนพลังอันทรงพลังที่พร้อมจะกลืนกินทุกสิ่งที่ขวางหน้า
“จะมีปัญหาเช่นเคยหรือไม่?”
หัวหน้าตะขาบมรกตสี่ปีกรู้สึกไม่เข้าใจเสียเลย หากผิดพลาดเพียงครั้งเดียวอาจถือเป็นเพียงความไม่ตั้งใจ แต่ครั้งที่สองนั้นยากเกินกว่าจะคิดว่าเป็นเพียงความบังเอิญ ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่ทัณฑ์สวรรค์จะฟาดผิดพลาดถึงสองครั้งติดต่อกัน ราวกับว่ามีบางอย่างที่ไม่ถูกต้อง
ครั้งนี้ทัณฑ์สวรรค์สายที่ห้าไม่ได้ผิดพลาด แสงสว่างวูบหนึ่งพลันปรากฏ แล้วกลืนกินหญิงสาวร่างเกรียมที่นั่งรออยู่ทันที!
“หลิงเยว่!”
โม่จวินเจ๋อรีบพุ่งตัวเข้าไปในกลุ่มสายฟ้านั้นทันที ปรากฏว่าเดินไปได้เพียงไม่กี่ก้าว หญิงสาวที่ถูกกลืนหายไปพร้อมกับสายฟ้าก็กำลังพยายามลุกขึ้นอย่างยากลำบาก ไม่มีสิ่งใดเป็นอย่างที่เขากังวลว่าหลิงเยว่จะถูกสายฟ้าฟาดจนแหลก แล้วกลายเป็นผุยผงหรือไม่
ผู่ตานกับลู่เป่ยเหยียนที่ตามมาช้าไปก้าวหนึ่ง “…”
ถึงแม้จะสายฟ้าที่ผ่าลงนั้นจะไม่เบี่ยงเบนไปทางอื่นอีก แต่มันกลับไม่มีพลังรุนแรงใดเลย ราวกับว่าทำให้หลิงเยว่รู้สึกคันเพียงเท่านั้น
“นางคงไม่ใช่บุตรสาวลับ ๆ ของสวรรค์กระมัง?”
นี่มันชัดเจนถึงเพียงนี้ หากบอกว่าไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกัน เขาไม่มีทางเชื่อหรอก!
เจ้าหัวหน้าตะขาบมรกตเพิ่งจะเอ่ยจบ ก็ถูกฟ้าผ่าจนเผยร่างเดิมทันที ร่างตะขาบมรกตกลายเป็นสีดำในบัดดล หนวดข้างหนึ่งถูกผ่าจนขาด ขาเล็กมากมายก็หายไปครึ่งหนึ่ง ทั้งยังมีกลิ่นไหม้ฟุ้งกระจายไปทั่ว…
เจ้าตะขาบมรกตตัวที่สามคิดจะกล่าวคำเห็นด้วยกับหัวหน้า มันจึงรีบปิดปากของตนเองอย่างแน่นหนาแล้วรีบหนีออกห่างจากหัวหน้าของมันทันที
เหตุการณ์นี้ได้พิสูจน์แล้วว่า คำพูดเหล่านั้นไม่อาจพูดพล่อย ๆ ได้ ครั้นหัวหน้าตะขาบมรกตกล่าวถากถางเพียงหนึ่งประโยค ก็ถูกฟ้าผ่าซ้ำถึงสามครั้ง แต่ละครั้งล้วนแม่นยำยิ่งนัก ไม่ได้เกิดการผิดพลาดแม้แต่น้อย แม้หัวหน้าตะขาบมรกตจะเคลื่อนไหวว่องไวหลบหลีกซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็ไม่อาจรอดพ้นไปได้
หัวหน้าตะขาบมรกตที่ประสบเคราะห์โดยไม่คาดฝัน นอนหมอบอยู่ในหลุมฟ้าผ่า พลันเกิดความสงสัยในชีวิตของตนเองขึ้นมา
เมฆดำสลายไป เหลือเพียงท้องฟ้าสีครามสดใส เบื้องบนมีเมฆขาวล่องลอย พร้อมกับแสงแดดอบอุ่น และสายลมเย็น ๆ มองดูแล้วช่างเป็นภาพที่งดงามเหลือเกิน
ทุกสิ่งล้วนดูดี ยกเว้นหัวหน้าตะขาบมรกตที่หลบอยู่มุมหนึ่งของภูเขาโบราณตะวันตก เขาเพิ่งเผชิญกับสายฟ้าฟาดถึงแปดครั้ง ทั้งยังมีอาการไม่สู้ดีนัก
ด้านหลิงเยว่นั้นสบายดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากได้รับการชะโลมด้วยสายฝนศักดิ์สิทธิ์ ร่างกายของนางดีขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ในที่สุด นางก็เข้าสู่ระดับสร้างรากฐานได้สำเร็จ!
หลิงเยว่ที่ยังไม่เข้าใจว่าเหตุใดจึงมีทัณฑ์สวรรค์ถึงห้าครั้ง ทั้งยังมีความผิดพลาด และเหตุใดครั้งสุดท้ายจึงได้ชัดเจนเช่นนั้น หลิงเยว่นึกอย่างไรก็ไม่เข้าใจ แต่สำหรับนางแล้ว นี่ถือเป็นเรื่องดี หากนึกไม่ออกก็ปล่อยไปเถิด!
“ท่านหัวหน้าตะขาบ เจ้าจะเกียจคร้านอยู่ในหลุมนี้อีกนานเท่าใด?” หลิงเยว่ย่อตัวนั่งลงที่ขอบหลุม หันไปถามหัวหน้าตะขาบมรกตที่บาดเจ็บสาหัส
หัวหน้าตะขาบมรกตเพียงเหล่มองหลิงเยว่ครู่หนึ่ง นางดีขึ้นแล้วหรือ แต่ตนเองนั้นไม่ดีขึ้นเลย สวรรค์ช่างโหดร้ายแม้กระทั่งสายฝนศักดิ์สิทธิ์ก็จงใจหลบเลี่ยงตนด้วยรึ ช่างไร้สาระสิ้นดี!
หึ! สวรรค์ช่างโหดร้าย
ต้องเป็นเพราะความลับนั้น… ไม่ผิดแน่! ไม่เช่นนั้นหญิงสาวที่อยู่ในขอบเขตกลั่นลมปราณจะสามารถทำพันธสัญญากับอีกาสุริยันได้อย่างไร?
ฮึ!
“หากยังไม่ขึ้นมา พวกเราจะทิ้งเจ้าเสีย”
ประโยคนี้นับว่าได้ผลนัก หัวหน้าตะขาบมรกตโบกปีกที่ฉีกขาดของตนบินขึ้นมา
มนุษย์สี่คนและตะขาบมรกตอีกสี่ตัวรวมตัวกันครบแล้ว
ส่วนเจ้ามังกรดำนั้นถูกโม่จวินเจ๋อเก็บเข้าไปในตันเถียนแล้ว ด้วยความกลัวว่ามันจะฉวยโอกาสขณะที่หลิงเยว่กำลังฝ่าทัณฑ์สวรรค์ หรือความจริงแล้ว เขาควรปล่อยมันออกมาให้โดนฟ้าผ่าเสียดีกว่า?
เด็กหนุ่มพลันรู้สึกเสียดายขึ้นมา
“ศิษย์พี่สี่ ไปเร็วเข้า” หลิงเยว่รอไม่ไหวแล้วที่จะกลับเมืองฮั่วหยาง ไปดูความยิ่งใหญ่ หากไม่ได้กลับไปคงน่าเสียดายแย่!
หินวิญญาณที่ระบบให้ก็ใช้ไปมากแล้ว ต้องหามาเติมอีก ทั้งยังต้องไปบำเพ็ญอีกสักพักเพื่อศึกษาตำราหมื่นชีวางอกเงยหนำซ้ำที่เมืองนั้นยังมีสัตว์วิญญาณดี ๆ อีกด้วย
ผู่ตานไม่ค่อยอยากไปนัก เพราะสัตว์อสูรที่ทำให้การบำเพ็ญของเขาถดถอยลงนั้นอยู่ที่นี่!
“เจ้าคิดเช่นไร?” ลู่เป่ยเหยียน รู้ดีถึงเรื่องที่เกิดขึ้นกับผู่ตานในหุบเขานี้
“ช่างเถิด” เมื่อเทียบกับการแก้แค้นแล้ว การทำพันธสัญญากับแมลงตะขาบมรกตตัวที่สองถือว่าสำคัญกว่า
“ไม่รู้ว่าเหล่าศิษย์พี่นั้นถูกส่งไปที่ใดกัน”
หลิงเยว่ เมื่อผ่านการฝ่าทัณฑ์สวรรค์นี้ไปแล้วก็พยายามส่งสารไปหาติงหลิวหลิ่ว อวี้เจินและว่านอวี้เฟิง แต่ก็ยังไม่ได้รับการตอบรับใด ๆ หรือว่าทั้งสามนั้นจะไปยังสถานที่ที่ต่างกัน
หลิงเยว่คิดไม่ผิด ติงหลิวหลิ่วและทั้งสามโชคดีกว่านางมาก จุดที่ออกมานั้นอยู่ทางทิศเหนือ!
เพียงแต่ว่าสถานการณ์ทางเหนือตอนนี้ไม่สงบนัก เหล่าผู้บำเพ็ญที่ออกมาจากเขตแดนลับสัตว์อสูรได้ ต่างก็ถูกผู้บำเพ็ญที่รออยู่ด้านนอกปิดล้อมเอาไว้
“พวกเจ้าจะทำสิ่งใด? อาจารย์ของข้าอยู่ที่นี่แล้ว!”
ติงหลิวหลิ่วเผชิญหน้ากับเหล่าผู้บำเพ็ญที่เข้าจู่โจมนางทันที นางจึงได้แต่ใช้ศิลาสื่อสารไปถึงอาจารย์ของนางอย่างร้อนใจว่าได้ล้างอาถรรพ์เขตแดนลับสัตว์อสูรหมดสิ้นแล้ว นางเป็นเพียงผู้บำเพ็ญระดับจินตาน พลังของนางจึงไม่อาจต่อกรกับเหล่าผู้บำเพ็ญเหล่านี้ได้
“กระนั้นหรือ พวกเจ้าประสงค์จะกระทำสิ่งใด” ชิงยวนก้าวมาขวางหน้าศิษย์ทั้งสาม พร้อมเอ่ยถามเสียงนุ่มนวล
ครั้นชิงยวนปรากฏตัว เหล่าผู้บำเพ็ญที่หมายจะปล้นสะดมก็พากันแตกกระเจิงหนีไปอย่างรวดเร็ว ราวกับเกรงว่าหากช้าไปกว่านี้แม้เพียงก้าวเดียว ชีวิตของตนคงมีอันเป็นไปแล้ว
ติงหลิวหลิ่วเห็นร่างสีฟ้าที่ยืนขวางหน้าตนเอง นางร้องไห้โฮออกมาอย่างสุดเสียง โผเข้ากอดชิงยวนแน่น น้ำตาไหลอาบแก้ม นางเข้าไปก็ไม่ได้ของวิเศษอะไรเลย แม้กระทั่งเครื่องรางคุ้มภัยทั้งห้าก็ยังสูญเสียไปอีก เขตแดนลับสัตว์อสูรนี้ ช่างน่ารังเกียจสิ้นดี!
“ศิษย์น้องห้าของเจ้าหายไปที่ใด” ชิงยวนทราบดีว่าศิษย์ทั้งสามของตนเป็นเช่นไร จึงเพียงลูบหัวนางเบา ๆ ปล่อยให้นางได้ร้องไห้เสียให้พอ
“ไม่… ไม่ทราบเจ้าค่ะ” ติงหลิวหลิ่วสะอื้น “ข้าไม่ได้พบหน้านาง”
ชิงยวนรู้สึกเป็นห่วง ครั้งนี้ทั้งหลิงเยว่และติงหลิวหลิ่วต่างก็สูญเสียเครื่องรางคุ้มภัยทั้งห้าไป ประตูทางออกก็ปิดลงแล้ว แต่ตัวนางกลับมิได้ปรากฏกายออกมา
เป็นไปได้หรือไม่ว่า…
“ท่านอาจารย์ ช่องทางออกมีถึงสามแห่ง ข้าคิดว่าศิษย์น้องห้าอาจจะออกไปยังช่องทางอื่น”
คำพูดของว่านอวี้เฟิงทำให้ชิงยวนรู้สึกสบายใจขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะเปลี่ยนน้ำเสียงเอ่ยถาม “แล้วได้ของวิเศษใดกลับมาหรือไม่?”
ประโยคนี้ร้ายแรงนัก บัดนี้ไม่เพียงติงหลิวหลิ่วที่ร้องไห้ แม้แต่ว่านอวี้เฟิงดวงตาก็แดงก่ำไปด้วย ส่วนอวี้เจินที่อยู่ด้านหลังก็ร้องโหยหวนขึ้นมา
นางไม่เคยเข้าไปในเขตแดนลับสัตว์อสูรที่ยากจนเช่นนี้มาก่อน ทั้งยังโบราณอีกด้วย แม้แต่ขนเส้นเดียวก็ยังไม่ได้ ทั้งยังเกือบเอาชีวิตเข้ามาทิ้งไว้แล้ว!
“เขตแดนลับสัตว์อสูรที่ถูกเปิดขึ้นโดยการบังคับ จะมีสิ่งดี ๆ ได้อย่างไร? เพียงรอดชีวิตออกมาได้ก็นับว่าโชคดีแล้ว มนุษย์ช่างโง่เขลานัก…” บริเวณปกเสื้อของว่านอวี้เฟิงมีตะขาบเขียวมรกตที่เต็มไปด้วยบาดแผลคลานออกมา
มีสภาพเช่นนี้แล้วยังกล้าดูถูกผู้อื่นอีก
เดิมทีชิงยวนอยากตบสิ่งน่าเกลียดชังนี้ให้ตายเสีย แต่เมื่อเห็นโฉมหน้าแท้จริงของเจ้าตัวน่าเกลียดนั่นแล้ว ฝ่ามือที่ตกลงมากลับกลายเป็นการลูบไล้ ดวงตาของนางฉายแววชื่นชอบอยู่หลายส่วน
เจ้าตะขาบมรกตสี่ปีก เป็นอสูรรับใช้ที่ดีที่สุดของนักกลั่นโอสถ เดิมทีคิดว่าพวกมันสูญพันธุ์ไปแล้ว กลับมาซ่อนอยู่ในเขตแดนลับสัตว์อสูรเสียได้!