ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน - บทที่ 136 สมแล้วที่เป็นหญิงสาวที่เทพแห่งสายฟ้ายอมอ่อนข้อให้!
บทที่ 136 สมแล้วที่เป็นหญิงสาวที่เทพแห่งสายฟ้ายอมอ่อนข้อให้!
“ที่นี่ช่างประหลาดนัก”
ใบหน้าของหัวหน้าตะขาบมรกตเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง แม้สถานที่แห่งนี้สามารถบินได้ แต่ก็บินได้แค่ระดับต่ำ หากจะพุ่งตัวขึ้นไปบนฟ้าเพื่อฝ่าออกไปจากหุบเขานั้นไม่อาจทำได้
“ศิษย์พี่สี่ ท่านออกมาได้อย่างไร?”
หลิงเยว่นั่งอยู่หน้ากองไฟ มือถือเนื้อย่างเสียบไม้ ด้วยสีหน้าหงอยเหงา พวกเขาติดอยู่ที่นี่มาเกือบเจ็ดวันแล้ว และยังหาทางออกจากหุบเขาโบราณไม่ได้
หากจะเรียกว่าหุบเขาโบราณก็ยังไม่เหมาะนัก หากเรียกว่าป่าขนาดยักษ์คงเหมาะกว่า เพราะภายในนั้นมีแต่สัตว์อสูร แมลงพิษ และพืช นอกจากนี้ก็ไม่มีสิ่งใดแล้ว แม้แต่ผู้บำเพ็ญที่ออกมาทางออกเดียวกันกับพวกเขาก็ยังไม่เห็นเลยสักคน
“ออกมาทางทะเล”
“ทะเลหรือ?”
ลู่เป่ยเหยียนแปลกใจ มองไปทางไหนก็มีแต่ต้นไม้ แล้วทะเลอยู่ที่ใด?
ผู่ตานรู้สึกอึดอัดอยู่พักหนึ่งจึงเล่าเรื่องที่ตนเองเคยประสบมา
“อ๋อ! ก็คือโดนอสูรตัวนั้นตีตกทะเล เลยอาศัยทะเลหนีรอดออกมา…” ตัวแทนศิษย์โม่จวินเจ๋อกล่าวสรุป
“ช่างพึ่งพาไม่ได้เอาเสียเลย เช่นนั้น ข้าจะพาพวกเจ้าออกไปเอง!”
หลังจากแยกตัวเงียบหายไปเจ็ดวัน ในที่สุดหัวหน้าตะขาบมรกตที่ฟื้นฟูร่างกายจนกลับมาเป็นปกติแล้ว ก็สะบัดผมที่ไหม้จากการโดนฟ้าผ่าของตนเองออก แล้วเริ่มส่งสัญญาณโดยที่หนวดของมันเริ่มเปล่งแสงสีเขียวอ่อนออกมา แสงนั้นหลุดออกจากหนวดแล้วล่องลอยไปยังทิศทางหนึ่งอย่างเชื่องช้า
“สมกับเป็นท่านหัวหน้า ข้ายังนึกไม่ถึงกลวิธีนี้เลย?”
เจ้าตะขาบมรกตตัวที่สามต่อแถวบินนำหน้า ส่วนพวกมนุษย์ก็รีบตามมาติด ๆ
ความจริงแล้วหุบโบราณแห่งนี้ มีชื่อเรียกอีกอย่างว่า ‘ป่าแห่งภาพลวงตา’ ผู้คนที่เข้ามาหากต้องการจะออกไป นอกจากต้องมีฝีมือที่เก่งกาจแล้ว ยังต้องอาศัยโชคด้วย
ป่าแห่งนี้ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นโดยมนุษย์ แต่เกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ สาเหตุที่จำกัดการบินในระดับสูงก็สืบเนื่องมาจากสนามแม่เหล็ก
ผู้คนจำนวนมากคาดเดาว่าที่นี่มีสมบัติของผู้บำเพ็ญที่เก่งกล้าซ่อนอยู่ จึงมีผู้คนทยอยเข้ามาตายวันแล้ววันเล่า
ทว่าตลอดทางมนุษย์ทั้งสี่คนและแมลงตะขาบมรกตสี่ตัวก็ยังไม่พบผู้คนที่เข้ามาเพื่อหาที่ตายแม้แต่คนเดียว พวกเขาน่าจะถูกส่งไปยังส่วนลึกของหุบเขาโบราณแล้ว
ระหว่างที่กำลังเดินทาง ก้อนแสงสีเขียวก็หยุดลงกะทันหัน แม้จะเป็นเพียงก้อนแสง แต่หลิงเย่วกลับมองออกว่ามันกำลังสับสน
“เจ้าแสงสีเขียวเหมือนไม่รู้ว่าจะไปทางไหนแล้ว”
หัวหน้าตะขาบมรกตพลันส่งเสียงฮึดฮัด คิดในใจว่าช่างไร้ประโยชน์เสียจริง!
ทันใดนั้น เสียงดังกึกก้องเกิดขึ้นจากทั่วทุกทิศ
ไม่นานหลังจากนั้น หลิงเยว่และพวกเขาก็ถูกล้อมรอบด้วย… กลุ่มของหนอนสีดำที่มีปีกบาง ๆ ลำตัวเรียวยาวและมีขน พวกมันอยู่ทั้งบนต้นไม้และพื้นดินเต็มไปหมด
แม้หลิงเยว่ไม่มีอาการกลัวต่อฝูงแมลงจำนวนมาก แต่อดรู้สึกขนลุกไม่ได้ เมื่อเห็นฝูงหนอนดำที่ดูน่าเกลียดยิ่งกว่าแมลงตะขาบสีเขียวสี่ปีกเสียอีก
“ฮ่า ๆ เจ้ามังกรน้อย รีบออกมาดูสิว่าพวกตัวประหลาดเหล่านี้ใช่เผ่าพันธุ์เจ้าหรือไม่?” เมื่อเจอสถานการณ์เช่นนี้ แทนที่เจ้าตะขาบมรกตตัวที่ห้าจะตื่นตระหนก แต่กลับเยาะเย้ยเจ้ามังกรดำที่ถูกบังคับให้เข้าไปในตันเถียน
“ปล่อยข้าออกไป ข้าจะฆ่าพวกตะขาบพวกนี้ให้สิ้นซาก!”
ดวงตาสีม่วงเข้มของมังกรดำที่ถูกจองจำพลันเปลี่ยนเป็นสีแดง แสดงให้เห็นว่ามันโกรธอย่างมาก ขบฟันแน่นเพื่อพยายามจะฝ่าวงล้อมออกไป
ทว่าโม่จวินเจ๋อไม่สะทกสะท้าน
“ข้ารู้อุบายที่จะออกจากหุบเขาโบราณนี้ได้”
ประโยคนี้ได้ผล โม่จวินเจ๋อเพ่งพินิจมองเจ้ามังกรดำทันที
ทว่าโม่จวินเจ๋อยังไม่ทันเอ่ยถาม กลุ่มหนอนดำตัวเล็กก็เหมือนจะได้รับสัญญาณให้โจมตี แล้วพวกมันก็เคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว!
“พวกเจ้าออกมาหาอะไรกินกันเถิด!”
ปากของตะขาบมรกตตัวที่สองเปิดออก ตะขาบมรกตสี่ปีกนับไม่ถ้วนบินออกจากปากของมันและบินไปหาหนอนดำตัวเล็กด้วยความตื่นเต้น แต่ละตัวกินหนอนดำตัวเล็กทีละหลายสิบตัว
หัวหน้าตะขาบมรกตสี่ปีกคว้าหนอนดำตัวน้อยจำนวนหนึ่งที่บินเข้ามาใส่เข้าปาก พลางส่งเสียงเคี้ยว…
อีกทั้งหลิงเยว่ยังได้ยินเสียงร้องอันแสนน่าเวทนาของหนอนดำตัวน้อยเหล่านั้นด้วย
“อืม รสชาติไม่เลวเลย แต่ออกจะเหม็นกลิ่นดินไปสักหน่อย” เจ้าตะขาบมรกตตัวที่สามกล่าว
“เจ้ามนุษย์ เจ้าช่วยทำให้กลิ่นดินมันหายไปได้หรือไม่?” เจ้าตะขาบมรกตตัวที่ห้าหันมาถามหลิงเยว่
หลิงเยว่ “…”
นางทำได้แน่ แต่ตอนนี้นางไม่มีอารมณ์แล้ว ถึงมีอารมณ์นางก็ไม่อยากทำ
เมื่อฝูงแมลงตะขาบมรกตสี่ปีกปรากฏ หนอนดำตัวน้อยที่เมื่อครู่ยังมีจำนวนมากมายก็ถูกกินจนหมดสิ้นในพริบตา ฝูงหนอนดำที่กำลังบินมาเมื่อเห็นดังนั้นก็รีบหันหลังกลับทันที
เหล่าหนอนดำที่ไม่เคยพ่ายแพ้ในหุบเขาโบราณ บินหนีอย่างตื่นตระหนก ครั้งนี้พวกมันเจอคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งเข้าแล้ว!
“คิดจะหนีหรือ!?”
เหล่าตะขาบมรกตไม่ยอมพลาดโอกาสที่จะอิ่มท้อง ไล่ตามไปเป็นฝูง
เหล่าผู้บำเพ็ญในหุบเขาโบราณเห็นฝูงหนอนดำที่เคยกร่างเกรี้ยวถูกบดขยี้จนต้องวิ่งหนี พลางส่งเสียงร้องขอความเมตตา เหล่าผู้บำเพ็ญถึงกับอึ้งไป!
ที่น่าตกใจยิ่งกว่าคือฝูงตะขาบมรกตที่กินหนอนดำเป็นอาหาร ไม่เคยมีผู้ใดได้ยินมาก่อนว่าในหุบเขาโบราณตะวันตกมีฝูงตะขาบเช่นนี้!
แม้จะตกใจเพียงใด ผู้บำเพ็ญก็ไม่ได้หยุดดูนานนัก ต่างรีบวิ่งหนีกันไปหมด เพราะกลัวฝูงตะขาบมรกตจะสังเกตเห็น
“เจ้ามังกรดำบอกว่ามันรู้ทางออก”
“จริงหรือ?” หัวหน้าตะขาบมรกตไม่ค่อยเชื่อ เพราะที่จริงแล้วเจ้ามังกรดำนั่นเพียงอยากจะออกมาเพื่อฆ่าพวกมันต่างหาก
เพราะช่วงนี้พวกมันแกล้งเจ้ามังกรดำเอาไว้ไม่น้อย
“มันบอกว่าได้กลิ่นทะเล” โม่จวินเจ๋อกล่าวตอบ
เขาก็ไม่ค่อยอยากจะปล่อยเจ้ามังกรดำออกมาเช่นกัน เพราะหากปล่อยออกมา ย่อมเกิดศึกใหญ่อย่างเลี่ยงไม่ได้เป็นแน่ สถานการณ์อันสงบสุขแบบนี้ดีกว่าเยอะ
เมื่อตะขาบมรกตทั้งสี่ตัวนั้นพึ่งพาไม่ได้ จำต้องฝากความหวังไว้ที่มังกรดำเพียงผู้เดียวแล้ว
ทันทีที่ปล่อยเจ้ามังกรดำออกมา มันก็ตรงรี่เข้าหาเจ้าตะขาบมรกตปากเสียตัวที่สองทันที ทั้งสองต่อสู้กันอย่างดุเดือดจนฟ้าดินสะเทือน ไม่มีผู้ใดสามารถขวางกั้นได้
หัวหน้าตะขาบมรกตก็ไม่คิดจะขัดขวางอยู่แล้ว เพราะทั้งสองมิได้หมายเอาชีวิตเขา
หลิงเยว่รู้สึกว่าพึ่งพาแมลงตะขาบมรกตก็ไร้ผล หากพึ่งมนุษย์… นางเหลือบตามองไปยังศิษย์พี่ของตัวเอง เฮ้อ! มนุษย์ก็พึ่งพาไม่ได้เช่นกัน หากเป็นเช่นนั้นก็ต้องพึ่งพาตัวนางเองเสียแล้ว!
“ระบบ ไปทางใดจึงจะออกไปได้โดยง่าย”
[เดินตรงไป]
หลิงเย่ว “…”
แม้ได้คำตอบแล้ว แต่ก็เหมือนไม่ได้คำตอบเลย
ระบบก็พึ่งพาไม่ได้เช่นกัน หลิงเย่วกินเนื้อย่างเสียบไม้ที่เย็นเฉียบ หากที่นี่คือป่าลวงตาขนาดใหญ่ แท้จริงแล้วนางก็สามารถออกไปได้ด้วยตนเอง
“ข้ารู้ทางออกแล้ว พวกเจ้าตามข้ามา!”
หลิงเยว่ตัดสินใจเดินตามใจตนเอง กล่าวคือเดินมั่ว ๆ นางเชื่อมั่นในความสามารถของตนเอง!
อย่างไรก็ตาม นางเคยช่วยชีวิตผู้บำเพ็ญระดับแสวงหา มาจากมือของราชานิกายอสุภะมาได้ นับว่าพอมีความสามารถอยู่บ้าง!
แน่นอนว่าหลิงเยว่ย่อมถูกซักไซ้ เพียงแต่คราวนี้ นางไม่ได้เสียเวลาโต้เถียง แต่เลือกที่จะกำหนดทิศทางแล้วเดินตรงไป เพื่อความปลอดภัยของตนเอง นางยังให้หัวหน้าตะขาบมรกตและโม่จวินเจ๋อเดินซ้ายขวาคุ้มกันเผื่อมีอันตราย พวกเขาจะได้เป็นโล่ป้องกันให้นางได้
แต่เดินมาเกือบทั้งวัน… ก็ยังไม่ถึงทางออกเสียที
“ศิษย์น้องห้า เจ้าแน่ใจหรือว่าทางที่เดินมานี้ถูกต้องแล้ว ถ้าไม่ได้ผลหรือจะเดินตามทางที่ข้าบอก…”
“ข้าได้กลิ่นทะเลแล้ว!”
หลิงเยว่ไม่สนใจอันตรายใด ๆ นางวิ่งตรงไปยังทิศทางที่มีกลิ่นทะเลทันที พวกที่เหลือรีบตามไป นอกจากหลิงเยว่จะมีแก่นปราณวารี คนอื่นก็ไม่มีแล้ว ดังนั้นเมื่อนางพูดขึ้น ทุกคนจึงรู้สึกราวกับเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์!
ซากปลาทะเลยักษ์ที่ใหญ่กว่าหลิงเยว่ยังคงนอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น โครงกระดูกเต็มไปด้วยมดดำ กลิ่นคาวทะเลลอยออกมาจากโครงกระดูกปลานี้
“ดูท่าทะเลคงจะอยู่ไม่ไกลจากที่นี่แล้ว”
โม่จวินเจ๋อแพร่กระจายจิตออกไป ผลลัพธ์คือระยะไกลที่สุดทำได้ไม่ถึงหนึ่งลี้ด้วยซ้ำ ไม่เพียงแต่ถูกจำกัดในเรื่องการบินบนที่สูงเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการใช้จิตด้วย หุบเขาโบราณตะวันตกแห่งนี้ ช่าง… น่าเกรงขามโดยแท้
“ถูกต้อง!”
ลู่เป่ยเหยียนพยักหน้ารัว ๆ ท่ามกลางผู้คนและตะขาบมากมาย สุดท้าย หญิงสาวนามว่าหลิงเยว่ ก็ยังเป็นที่พึ่งที่เชื่อถือได้ที่สุด
สมแล้วที่เป็นหญิงสาวที่เทพแห่งสายฟ้ายอมอ่อนข้อให้!
หลิงเยว่ก็ตื่นเต้นเช่นกัน นางอยู่ที่นี่มาได้สี่ปีแล้ว ยังไม่เคยได้กินปูหรือกุ้งเลย ในที่สุดตอนนี้ก็ใกล้จะได้กินอาหารทะเลแล้ว!
แน่นอนว่า ระบบแลกเปลี่ยนก็มีขายอยู่บ้าง แต่เมืองฮั่วหยางและสำนักไม่มีการขายอาหารทะเลเลย นางจึงไม่กล้าที่จะนำออกมาโดยพลการ