ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน - บทที่ 137 เนื้อมังกรดำ คงอร่อยไม่ใช่น้อย!
บทที่ 137 เนื้อมังกรดำ คงอร่อยไม่ใช่น้อย!
สองวันต่อมา เหล่าคณะเดินทางที่นำโดยหลิงเยว่ ล้วนก้าวออกจากหุบเขาโบราณได้สำเร็จแล้ว!
นอกป่าโบราณ เป็นผืนทะเลอันกว้างใหญ่ สัมผัสแห่งความนุ่มนวลจากเท้าทีจมลงไปในผืนทราย ชวนให้จิตใจของหลิงเยว่เบิกบานนัก นางหรี่ตาลงเล็กน้อย พร้อมกางแขนออกเพื่อให้ลมทะเลพัดพาความเหนื่อยล้าในกายออกไป
สิบวันเต็มที่ต้องติดอยู่ในป่าที่มีแต่สัตว์อสูร แมลงพิษ และพืช ช่างน่าหงุดหงิดเสียจริง!
หลิงเยว่รู้สึกเบื่อหน่ายกับการบำเพ็ญและการต่อสู้แล้ว!
“รีบไปเถิด!”
เจ้าตะขาบมรกตตัวที่สามขยายร่างของตนให้ใหญ่ขึ้น พลางเร่งเร้าให้ทุกคนรีบขึ้นไปบนตัวมัน แล้วออกเดินทางไป
ไม่ใช่แค่หลิงเยว่ที่ทนไม่ไหว แม้แต่ตะขาบมรกตทั้งสี่ก็ทนไม่ไหวแล้วเช่นกัน เหตุการณ์เช่นนี้ชวนให้พวกมันรำลึกถึงช่วงเวลาที่ต้องติดอยู่ในภูเขาเป็นเวลาหลายพันปีได้เป็นอย่างดี ทำให้พวกมันไม่อยากอยู่ที่นี่แม้เพียงครู่เดียว
“ช้าก่อน อยู่ต่อสักวันสองวันไม่ได้หรือ?”
ทันทีที่หลิงเยว่เอ่ยปาก เหล่าพวกพ้องต่างก็พากันจับจ้องเป็นจุดเดียว
นางเป็นคนเร่งเร้าให้รีบออกจากที่นี่ทุกวัน แต่บัดนี้เมื่อออกมาแล้ว ทั้งยังสามารถออกเดินทางได้ทันที แต่นางกลับขออยู่ต่ออีกวันสองวันเช่นนั้นหรือ?
“อยู่ที่นี่ต่อด้วยเหตุใด?” โม่จวินเจ๋อเอ่ยถาม
“กินอาหารทะเลอย่างไรเล่า!”
ขณะที่นางกำลังพูดอยู่นั้น หลิงเยว่พลันเห็นปูที่กำลังเดินอยู่บนหาดทราย ตัวใหญ่นัก มันมีเปลือกสีฟ้าและมีขาสีน้ำตาล ตาสีฟ้าเล็ก ๆ ที่กลมดิกหมุนไปมา มองดูแล้ว… น่ากินยิ่งนัก
“เจ้าจะกินสิ่งนี้หรือ?”
หัวหน้าตะขาบมรกตมองสิ่งที่มีแต่เปลือกทั้งตัว พลันรู้สึกว่าพวกตนอาจถูกหลอกอีกแล้ว อาหารเลิศรสทั้งเมืองกินทุกวันไม่มีวันซ้ำกันหรือ บัดนี้… เขาอยากจะหัวเราะเสียจริง
“ไม่ใช่แค่ปูเท่านั้น ในทะเลยังมีอาหารอร่อยอีกมากมาย ข้ารับรองว่าท่านทั้งหลายต้องชอบอย่างแน่นอน!”
ท่านทั้งหลายต้องชอบอย่างแน่นอนหรือ?
หลิงเยว่ทนรอไม่ไหว รีบทำให้ปูที่ไม่รู้ว่าเป็นสายพันธุ์ใดสลบแล้วนำไปย่างบนกองไฟ นางตั้งใจแน่วแน่ว่าจะกินให้อิ่มหนำสำราญอยู่ที่นี่ และจะจัดการหามากักตุนไว้ในแหวนเก็บของอีกด้วย เอาไว้เมื่ออยากกินก็ค่อยนำออกมาปรุงเป็นอาหาร
ปูผัดเผ็ด กรรเชียงปูนึ่ง หม้อไฟปู กุ้งเผา กุ้งอบวุ้นเส้น กุ้งแช่น้ำปลา กุ้งทอดกระเทียม และอื่น ๆ ทั้งหมดนี้เป็นเพียงอาหารที่ทำจากปูและกุ้งเท่านั้น ยังมีหอยชนิดต่าง ๆ หอยทาก และสาหร่ายทะเลอีกด้วย แค่นึกถึงตำราอาหารก็ทำให้น้ำลายของหลิงเยว่ไหลออกมาแล้ว อาหารที่อยากกินมีมากมายเหลือเกิน ทั้งยังบังเอิญมีวัตถุดิบพร้อม หากรีบจากไปตอนนี้คงน่าเสียดายแย่!
“อย่ามัวแต่ยืนเฉยอยู่เลย รีบช่วยกันเก็บเถิด”
แค่เพียงอาหารทะเลที่พวกเขาเก็บขึ้นมาจากชายหาดก็เพียงพอแล้ว
โม่จวินเจ๋อเห็นหลิงเยว่กระตือรือร้นนัก ก็จำใจเข้าไปช่วยเก็บ มันคือเปลือกหอยทั้งนั้น ซ้ำยังดูน่าเกลียด มันจะกินได้อย่างไรเล่า?
บริเวณชายหาดแทบไม่มีผู้คนอาศัยอยู่เลย จึงไม่ยากที่จะจินตนาการถึงความหลากหลายของอาหารทะเลเหล่านี้ เพียงไม่นานนัก หลิงเยว่และโม่จวินเจ๋อ ก็เก็บอาหารทะเลจนเต็มถังใหญ่ เห็นได้ชัดว่าปูเป็นสิ่งที่เด่นที่สุดบนชายหาด เนื่องจากมีจำนวนมากกว่าสัตว์ชนิดอื่น
ส่วนกุ้งขอให้กินจนอิ่มแล้วค่อยลงไปหาในทะเลอีกครั้งก็ย่อมได้
กลิ่นหอมของปูนึ่งตัวแรกที่หลิงเยว่ย่างเริ่มโชยมา ผู่ตานและลู่เป่ยเหยียนนั่งอยู่ข้างปูที่เปลี่ยนเป็นสีแดง ใบหน้าของพวกเขานิ่งเฉย ไม่ได้รู้สึกอยากกินแต่อย่างใด
หลิงเยว่ แสดงวิธีการกินปูให้กับผู้คนที่เฝ้าดูอยู่ โดยมีน้ำจิ้มพริกวางอยู่ข้าง ๆ
เมื่อแกะเปลือกปูออก กลิ่นหอมที่แปลกประหลาดของเนื้อปูก็ฟุ้งกระจายไปทั่ว นางจัดการกับเหงือกปู และแบ่งปูออกเป็นสี่ส่วน หลิงเยว่ยัดส่วนหนึ่งเข้าปากทันที เนื้อปูนุ่มและมีรสหวานนิดหน่อย อร่อยนักจนไม่ต้องจิ้มน้ำจิ้มเลยก็ได้!
ในฐานะผู้ที่ช่วยหาอาหารทะเล โม่จวินเจ๋อได้รับส่วนแบ่งมาหนึ่งส่วน ตอนแรกเขารู้สึกตะขิดตะขวงใจกับปูหนึ่งในสี่ส่วนที่ได้รับ แต่ด้วยความเชื่อใจที่มีต่อหลิงเยว่ เขาจึงไม่ได้กินแค่เนื้อปู แต่กลับจิ้มน้ำจิ้มพริกแล้วกัดเข้าไปหนึ่งคำ
เปลือกที่กรอบจนเกรียมจากการปิ้งถูกกัดจนแตก เนื้อปูถูกดันเข้าปาก ปลายลิ้นสัมผัสได้ถึงรสเผ็ด เค็ม และกลิ่นหอมกรุ่นของเครื่องปรุง โม่จวินเจ๋อ เคี้ยวไปหนึ่งคำ ดวงตาที่หม่นหมองนั้นก็เริ่มเปล่งประกายขึ้นเรื่อย ๆ
มันไม่เหมือนกับรสสัมผัสของเนื้อปลาหรือสัตว์อสูรมากนัก มัน… อร่อย!
“อร่อยหรือไม่?”
ทั้งสองคนที่กำลังกินเนื้อปูอย่างเอร็ดอร่อย ทำให้ความอยากอาหารของลู่เป่ยเหยียนยิ่งเพิ่มขึ้น เขากำลังจะหยิบส่วนที่สาม ผลปรากฏว่าหลิงเยว่เร็วกว่าเขาหนึ่งก้าว ทั้งยังเอ่ยขึ้นว่า “อยากกินก็ปิ้งเองสิ!”
หลิงเยว่กำลังติดใจเจ้าปูตัวนี้ยิ่งนัก
ผู่ตานก็ไม่ได้หวังจะเอาปูจากหลิงเยว่มาเสียหน่อย เพราะปูทะเลมีอยู่เต็มชายหาด อยากกินก็แค่จับขึ้นมาแล้วเอาไปย่างกินเท่านั้น
ไม่นาน กลิ่นหอมก็ลอยฟุ้งกระจายไปทั่วชายหาด
ตะขาบมรกตสี่ตัวพร้อมด้วยมังกรดำอีกตัวหนึ่ง กำลังจ้องมองด้วยสายตาเย็นชาไปยังมนุษย์ทั้งสี่ที่กำลังกินปูอย่างเอร็ดอร่อย
“เจ้ามังกรน้อย เจ้ากินสิ่งนี้ทุกวันแน่ใช่หรือไม่ มันอร่อยจริงหรือ?”
เจ้ามังกรดำเหลือบมองหัวหน้าตะขาบมรกต สีหน้ายิ่งดูเย็นชาขึ้น ใครกันจะไปกินสิ่งนี้กัน นี่เจ้าตะขาบมรกตนั่นกำลังดูถูกเขาอยู่หรือ!
ขณะที่พวกตะขาบทั้งสี่เฝ้าดูอยู่นั้น พลันมีกลิ่นหอมเย้ายวนโชยเข้าจมูกของพวกมัน!
นี่มันหอมเกินไปแล้ว!
ทันใดนั้น เจ้าตะขาบมรกตตัวที่สามก็กลั้นใจไม่ไหว บินขึ้นไปเกาะบนศีรษะของหลิงเยว่ แล้วก็พบว่านางกำลังปิ้ง… หอย? นั่นคือเปลือกหอยหรือ?
“นี่คือหอยนางรมผัดกระเทียม อีกครู่ก็เสร็จแล้ว!”
หลิงเยว่ราดน้ำจิ้มลงบนหอยนางรมอวบอ้วนที่ใหญ่กว่าฝ่ามือของนางเสียอีก หากมีวุ้นเส้นด้วย มันต้องอร่อยยิ่งกว่านี้เป็นแน่!
“กินได้หรือยัง?”
หัวหน้าตะขาบมรกตดูใจร้อนกว่าผู้ใด กลิ่นหอมนี้ช่างจับใจมันเสียเหลือเกิน
“อีกนิดเดียว…” ปากก็บอกว่าอีกนิด แต่หลิงเยว่ไม่สนใจความร้อน รีบคว้าหอยตัวใหญ่ที่สุดไปทันที นางกลัวเหลือเกินว่าพวกคนและตะขาบที่มีระดับการบำเพ็ญสูงกว่านางจะฉกไปเสียก่อน
“โอ๊ย! ร้อน”
เจ้าแมลงตัวที่สองเทหอยนางรมเข้าปาก แล้วร้องลั่น แต่ด้วยเสียดายจึงไม่กล้าคายหอยนางรมที่ร้อนจนลวกปากนั้นทิ้ง อีกทั้งน้ำแกงก็ยังหอมนัก เนื้อหอยขาวอวบอ้วนยังมีกลิ่นหอมมันจาง ๆ ทั้งมีรสเปรี้ยวเผ็ดปะปนอยู่ด้วย รสชาติซับซ้อนแต่กลับทำให้พวกมันจมดิ่งลงไปจนถอนตัวไม่ขึ้น
ด้วยบทเรียนจากตะขาบมรกตตัวที่สอง เหล่าตะขาบตัวอื่น ๆ จึงตัดสินใจทำตามหลิงเยว่อย่างไม่ลังเล ดื่มน้ำแกงร้อน ๆ สักนิด รสชาติที่หอมอร่อยเจือด้วยความหวานเล็กน้อย ปล่อยให้น้ำแกงอาบไปในลำคอ พาความอบอุ่นไปถึงในท้องเพื่อปลอบประโลมความเหน็ดเหนื่อยทั้งสิบกว่าวันที่ผ่านมา
โอ้! ไม่สิ ไม่ใช่แค่วันนี้ ยังมีอีกเป็นเดือนในเขตแดนลับสัตว์อสูรด้วย
“ศิษย์น้องหลิง ก่อนกลับพวกเราจะเก็บสิ่งนี้ไว้เยอะ ๆ ดีหรือไม่?”
ลู่เป่ยเหยียนชี้ไปที่หอยนางรมที่เหลือแต่เปลือก หลังจากที่เขากินเข้าไปหมดแล้ว สิ่งนี้ดูน่าเกลียดและสกปรกมาก แต่ใครจะคิดว่าเนื้อข้างในจะอร่อยถึงเพียงนี้ หากไม่ใช่เพราะศิษย์น้อง เขาคงไม่มีวันชายตามองสิ่งของน่าเกลียด และคงไม่มีทางกินเข้าไปอย่างแน่นอน
“ข้าเห็นด้วย!”
ผู่ตานกินเข้าไปสามตัวรวดและยังรู้สึกไม่หนำใจ เขายังอยากกินต่อ แต่เจ้าตะขาบมรกตทั้งสี่ตัวนั้นพลังการต่อสู้รุนแรงเกินกว่าที่เขาจะแย่งชิงมาได้
หอยนางรมผัดกระเทียมบนเตาย่างถูกกินจนเกลี้ยง เหลือเพียงเจ้ามังกรดำเพียงตัวเดียวที่อดทนต่อความหอมกรุ่นได้ พลางมองดูคนอื่น ๆ ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรังเกียจ
พวกมันเพียงกินอาหารทะเลชั้นต่ำ ยังกินได้อย่างมีความสุขขนาดนี้ คงไม่เคยกินอาหารทะเลชั้นสูงมาก่อนใช่หรือไม่?
“เอ่อ… ” หลิงเยว่ใช้ข้อศอกดันโม่จวินเจ๋อที่หมกมุ่นอยู่กับการกินปูและซดน้ำแกงหอยนางรม “อสูรรับใช้ของเจ้าไม่ค่อยเข้าพวกเสียเลย ดูน่าสงสารนัก”
“มีสิ่งใดให้น่าสงสารนักหรือ เจ้าลืมความทุกข์ทรมานเมื่อตอนที่ต้องตกอยู่ในเงื้อมมือเขาไปแล้วหรืออย่างไร?” โม่จวินเจ๋อไม่แม้แต่จะมองเจ้ามังกรดำแม้แต่น้อย หากไม่ใช่เพราะ… ลืมมันไปเถิด! ค่อยหาโอกาสให้ท่านอาจารย์ช่วยจัดการเจ้ามังกรดำตัวนี้เสียหน่อยแล้วกัน
จริงด้วย ตอนนี้หลิงเยว่ไม่ได้รู้สึกสงสารเจ้ามังกรดำแล้ว แต่กลับอยากจับมันมาทำเป็นอาหารเสียด้วยซ้ำ นางยังไม่เคยลิ้มรสเนื้อมังกรทะเลเหมือนกัน คงอร่อยไม่ใช่น้อย
เจ้ามังกรดำเงยหน้าขึ้นสบตาหลิงเยว่ที่แฝงไปด้วยความละโมบ ความคิดแรกที่ผุดขึ้นมาคือ นางคงไม่คิดจะกินมันใช่หรือไม่?
“เจ้ามนุษย์ตัวน้อย หากเจ้ายังจ้องมองข้าเช่นนี้อีก ข้าจะกินเจ้าเสียก่อน!”
“เจ้ามนุษย์เปราะบางเอ๋ย ว่าแต่เราลองทำเนื้อมังกรผัดกระเทียมกันดีหรือไม่?”
หัวหน้าตะขาบมรกตถูกหอยนางรมผัดกระเทียมพิชิตไปเสียแล้ว บัดนี้มองผู้ใดก็ล้วนเห็นเป็นอาหาร รวมทั้งเจ้ามังกรดำด้วย
มังกรทะเลก็ถือเป็นสัตว์ทะเลเช่นกัน ทั้งยังเป็นสัตว์ทะเลชั้นสูง รสชาติคงไม่ต้องกล่าวถึงว่าจะอร่อยเพียงใด เหล่าตะขาบมรกตทั้งสี่เลียปากพร้อมกัน พลันสายตาของพวกมันก็มองไปยังเจ้ามังกรดำด้วยความหิวกระหาย