ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน - บทที่ 139 ความเข้าใจผิดที่งดงาม
บทที่ 139 ความเข้าใจผิดที่งดงาม
ในขณะที่เจ้าตะขาบมรกตตัวที่สามกำลังคิดถึงชะตากรรมที่แสนลำบากของเจ้าตะขาบมรกตตัวที่สี่ ทว่าเจ้าสี่นั้นกำลังใช้ชีวิตอย่างสุขสำราญ ทั้งได้กินอาหารเลิศรส ดื่มของมึนเมา และยังมีมนุษย์หลายคนคอยบริการอีกด้วย ชีวิตเช่นนี้ทำให้มันหลงใหลจนโงหัวไม่ขึ้น
หัวหน้าตะขาบมรกตกับพวกของมันคงคิดไม่ถึงว่าพวกมันจะเป็นที่นิยมในหมู่มนุษย์ถึงเพียงนี้ อยากให้พวกนั้นได้มาลองอาหารรสเลิศที่นี่เสียจริง แต่เสียดายที่ในเมืองแห่งนี้เจ้าตะขาบมรกตตัวที่สี่เป็นเพียงตัวเดียวที่เหลืออยู่ของเผ่าตะขาบมรกตสี่ปีก
ท่านหัวหน้าวางใจได้ มันจะดูแลลูกหลานในท้องให้เติบโตอย่างแข็งแรง และสืบสานเผ่าตะขาบมรกตสี่ปีกให้เจริญรุ่งเรืองอย่างแน่นอน!
ด้านหนึ่งคิดว่าเจ้าตะขาบมรกตตัวที่สี่คงตายในเปลวเพลิงไปแล้ว แต่อีกด้านหนึ่งเจ้าสี่ที่คิดว่าพวกของมันตายไปแล้วในเปลวเพลิงก็ยังไม่ตายเช่นเดียวกัน ช่างเป็น… ความเข้าใจผิดที่งดงามเสียจริง
“เป็นอย่างไร เจ้าชอบที่นี่หรือไม่?”
ชิงยวนเอ่ยอย่างอย่างอ่อนโยน แต่เจ้าตะขาบตัวที่สี่นั้นกลับรู้สึกว่ามนุษย์ผู้นี้ดูไม่น่าไว้ใจเป็นที่สุด!
“ชอบ ข้าชอบที่นี่ยิ่งนัก!”
“แล้วมีผู้ใดที่เจ้าพอใจหรือไม่?”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ ติงหลิวหลิ่วรีบผลักว่านอวี้เฟิงออกไป พร้อมกับขยับมายืนตรงหน้าเจ้าตะขาบมรกตตัวที่สี่ และเริ่ม… ยักไหล่เอียงตัว ทำท่าออดอ้อน พยายามเรียกร้องความสนใจจากเจ้าตะขาบตัวนี้
“ท่าทางเช่นนี้ดูโง่เง่านัก ไม่เอา”
สุดท้ายแล้ว ตะขาบก็คือตะขาบ จะหวังให้มันหลงกลท่าทางเช่นนั้นคงเป็นไปไม่ได้ ว่านอวี้เฟิงเหลือบมองติงหลิวหลิ่วที่ตัวแข็งทื่อ กลายเป็นหินไปเรียบร้อย เขายิ้มอย่างมั่นใจราวกับว่าชัยชนะเป็นของเขาแล้ว
เจ้าตัวนี้เป็นเขาที่พามันออกมา อย่างไรเสียมันต้องเลือกเขาอย่างแน่นอน!
ว่านอวี้เฟิงโบกพัดสีเขียวที่เปล่งประกายแวววาว เขาคิดว่าตนเองนั้นสุภาพอ่อนโยน อีกทั้งหล่อเหลาและสง่างาม
“คนผู้นี้ขี้เหร่เกินไป ขอ… พักก่อนเถิด”
ทันทีที่เสียงของเจ้าตะขาบมรกตตัวที่สี่จบลง ว่านอวี้เฟิงก็กลายร่างเป็นหินไปอีกคนทันที
สุดท้ายแล้ว ตะขาบก็คือตะขาบ รสนิยมความงามย่อมต่างจากมนุษย์ อาจเป็นไปได้ว่าในสายตาของพวกมัน ตัวไหนที่ดูตลกหรือน่าเกลียด อาจจะกลายเป็นตัวที่ดีและสง่างามที่สุดก็เป็นได้
อย่างเช่น หลงหว่านโหรวที่วัน ๆ เอาแต่ทำสีหน้าตึงเครียดราวกับทุกคนเป็นหนี้นางเป็นสิบล้านหินวิญญาณ ดวงตาเย็นชาไร้อารมณ์จ้องมองไปยังดวงตาสีแดงที่หมุนกลิ้งไปมา ราวกับว่ากาลเวลาผ่านไปเพียงชั่วพริบตา
เวลาผ่านไปหนึ่งถ้วยชา
ชิงยวนมองด้วยสายตาที่ไม่พอใจนัก นางจึงออกปากขัดจังหวะการจ้องตากันระหว่างมนุษย์กับตะขาบ “พวกเจ้าจะมองกันอีกนานเพียงใด?”
“เจ้าตะขาบมรกตตัวนี้ศิษย์น้องสองเป็นผู้นำมา เป็นเรื่องสมควรที่มันจะต้องทำพันธสัญญากับศิษย์น้องรอง”
หลงหว่านโหรวกล่าวคำพูดนั้นแล้วเดินจากไปอย่างไม่แยแส แม้จะรู้ว่าหากได้ทำพันธสัญญากับเผ่าตะขาบมรกตสี่ปีกเพียงตัวเดียว โอกาสในการกลั่นโอสถสำเร็จจะเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว แต่นางก็เลือกที่จะถอดใจ
ติงหลิวหลิ่วที่ตัวแข็งทื่อเป็นหินไปก่อนหน้า บัดนี้ได้พังทลายลงโดยพลัน สิ่งที่ศิษย์พี่ใหญ่พูดนั้นถูกต้องแล้ว ทั้งหัวใจและร่างกายของนางแหลกสลาย ก้าวเดินด้วยความรู้สึกหนักอึ้ง ก่อนจะหันกลับมามองถึงสามครั้งแล้วเดินจากไป
ชิงยวนถอนหายใจเฮือกหนึ่ง แล้วเดินจากไปเช่นกัน
ในที่สุดก็เหลือเพียงมนุษย์หนึ่งคนและตะขาบอีกหนึ่งตัวจ้องตากันอย่างเงียบงัน
เอาเถิด คนผู้นี้ก็ได้ มันไม่ใช่ตะขาบเนรคุณเสียหน่อย
“ตามที่ตกลงกันไว้ว่าต้องเป็นพันธสัญญาที่เสมอภาคเท่านั้น!”
“อืม!”
ว่านอวี้เฟิงตื่นเต้นจนไม่รู้ว่าจะทำตัวอย่างไร สุดท้าย ชิงยวนที่เดินกลับมาอีกครั้งต้องเป็นคนลงมือให้ เนื่องจากฝ่ายหนึ่งตื่นเต้นจนสติเลอะเลือน ส่วนอีกฝ่ายก็ไม่รู้วิธีทำพันธสัญญากับมนุษย์ ชิงยวนจึงต้องช่วยทำให้การทำสัญญาเสร็จสิ้น!
ทันใดนั้น หัวหน้าตะขาบมรกตที่กำลังกินกุ้งมังกรนึ่งตัวโตก็ส่งเสียงอุทานด้วยความสับสน “ข้ารู้สึกถึงพลังชีวิตของเจ้าสี่!”
“เจ้าสี่ยังไม่ตายเช่นนั้นหรือ?!” เจ้าตะขาบมรกตตัวที่สามตกใจจนจับปูในมือไว้ไม่อยู่ มันเก็บเศษปูที่ตกลงบนพื้นทรายกินราวกับคนเดินละเมอ
มันกัดเม็ดทรายจนส่งเสียงดังกรอบ อย่างไม่สนใจนัก
“เยี่ยมเลย! เจ้าสี่ยังไม่ตาย!” ตะขาบมรกตตัวที่สองหมุนตัวอยู่กลางอากาศด้วยความตื่นเต้น
“แล้วมันอยู่ที่ใดเล่าพี่ใหญ่?”
ตะขาบมรกตตัวที่ห้าเตรียมพร้อมแล้ว ขอเพียงพี่ใหญ่ของมันเอ่ยปากบอกตำแหน่ง มันก็จะรีบพุ่งไปหาเจ้าสี่ทันที
“ข้าไม่รู้ ระยะทางไกลเกินกว่าจะรับรู้ได้”
หัวหน้าตะขาบมรกตในฐานะจ่าฝูง มันสามารถสัมผัสลมหายใจและตำแหน่งของเพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์ได้ทุกตัว ทว่ามีความจำกัดในเรื่องของระยะทาง
“แล้วเราต้องกลับไปหรือไม่? บางทีเจ้าตะขาบมรกตตัวที่สี่อาจจะไปที่เมืองฮั่วหยางก็เป็นได้”
ตอนนี้พวกเขากินอาหารและอาศัยอยู่ที่ชายหาดมาห้าวันแล้ว ต้องขอบคุณเจ้ามังกรดำและเหล่าตะขาบมรกตที่ต่อสู้กัน ทำให้พวกเขาเก็บวัตถุดิบที่ลอยขึ้นมาจากทะเลเพียงพอที่จะกินไปได้อีกนาน
หลิงเยว่กินกุ้งมังกรผัดกระเทียมเข้าไปคำหนึ่ง นางก็อยากกลับไปที่เมืองฮั่วหยางเช่นกัน
“อย่าเพิ่ง กินต่ออีกสองวันค่อยไป”
เมื่อรู้แน่ชัดแล้วว่าตะขาบมรกตตัวที่สี่ยังไม่ตาย หัวหน้าตะขาบมรกตก็ยิ่งไม่รีบร้อน เพราะมันรู้อยู่แก่ใจว่าเมืองนั่นไม่มีทะเลเฉกเช่นที่นี่ ฉะนั้นต้องรีบกินตุนไว้ตอนที่ยังสามารถกินได้ เพราะภายหลังอาจจะไม่มีโอกาสได้กินอีกแล้ว!
โม่จวินเจ๋อกับพวกพ้องอีกสามคนรู้สึกเห็นด้วยอย่างยิ่ง พวกเขายังกินไม่หนำใจเลย!
และด้วยการตัดสินใจครั้งนี้ พวกเขาได้ช่วยผู้บำเพ็ญหลายคนที่ติดอยู่ในหุบเขาโบราณตะวันตกไว้ด้วย ผู้บำเพ็ญเหล่านั้นออกมาในวันที่หก โดยอาศัยการดมกลิ่น!
“ออกมาได้เสียที”
บรรดาผู้บำเพ็ญที่ดูเหมือนคนป่าในตอนนี้ เมื่อได้เห็นทะเลสีครามสดใสก็พากันล้มตัวลงบนหาดทรายด้วยความโล่งใจ
ยังมีผู้บำเพ็ญอีกจำนวนไม่น้อยตามหลังพวกเขามา ทุกคนบาดเจ็บหนักเต็มไปด้วยรอยแผล สภาพร่างกายนั้นดูผอมแห้ง น่าสงสารยิ่งนัก
จากนั้นก็มีเสียงร้องไห้ดังขึ้น
พวกเขาราวยี่สิบคนติดอยู่ในหุบเขาโบราณตั้งแต่ห้าถึงสามสิบปี โดยมีคนหนึ่งที่เข้าไปตอนระดับจินตานขั้นกลาง แต่ตอนนี้กลายเป็นระดับปฐมวิญญาณขั้นต้นแล้ว
หุบเขาโบราณตะวันตกนี่น่ากลัวเสียจริง แต่ถือเป็นสถานที่ช่วยให้นักบำเพ็ญยกระดับการฝึกฝนได้อย่างรวดเร็ว
แต่คนที่โชคดีพอที่จะเข้าไปแล้วออกมาได้ คงไม่มีวันคิดอยากกลับไปอีก
“พวกเจ้าหิวหรือไม่?” หลิงเยว่เดิมทีคิดจะถามว่ามีสิ่งใดที่นางช่วยได้บ้าง ทว่าบัดนี้สิ่งเดียวที่นางหยิบยื่นให้ได้มีเพียงอาหารเท่านั้น เพราะโอสถได้ใช้ไปจนหมดสิ้น ตั้งแต่อยู่ในเขตแดนลับสัตว์อสูรแล้ว
“ช่างน่าเวทนาเสียจริง” ผู่ตานหยิบกุ้งทอดตัวหนึ่งโบกไปมาตรงหน้าจมูกเหล่าผู้บำเพ็ญระดับปฐมวิญญาณ เขาโบกกุ้งไปมาได้เพียงสองรอบ ผู้ที่นอนหลับตาอยู่บนพื้นก็อ้าปากงับได้อย่างแม่นยำ ฉกกุ้งทอดเข้าปากแล้วกินเข้าไปอย่างรวดเร็ว
กินไปน้ำตาก็ไหลไป ในชีวิตนี้เขายังไม่เคยได้กินสิ่งใดที่อร่อยถึงเพียงนี้มาก่อน
แม้ว่าเขาจะอยู่ในสถานะงดเว้นอาหารแล้วก็จริง ภายในเขตแดนลับสัตว์อสูรนั้นก็มีทั้งสัตว์อสูรและพืชวิญญาณที่กินได้ ทว่า สิ่งเหล่านั้นไม่อาจเยียวยาบาดแผลทางใจได้แม้แต่น้อย ไม่ใช่เพียงช่วงเวลาที่ได้ออกมาพร้อมกับอิสรภาพเท่านั้น เขายังได้กินอาหารที่ไม่รู้ว่าคือสิ่งใดเข้าไปหนึ่งคำ ก็รู้สึกได้ถึงการมีตัวตนขึ้นมาอีกครั้ง
เหล่าผู้บำเพ็ญอื่น ๆ ที่ได้รับอาหารก็มีความคิดเช่นเดียวกัน
“เจ้าพอจะมีให้ข้าอีกหรือไม่?” ผู้บำเพ็ญระดับปฐมวิญญาณขั้นต้นกินกุ้งทอดไปถึงสามตัวแล้วยังไม่รู้สึกอิ่ม เขาเอ่ยถาม พลันนึกบางอย่างขึ้นมาได้ “ข้ามีหินวิญญาณอยู่ เจ้าเอาไปเถิด”
ดังนั้นหลิงเยว่จึงได้รับถุงหินวิญญาณมาหนึ่งใบ
“ข้าไม่มีหินวิญญาณ แต่ข้าเจอพืชวิญญาณล้ำค่ามากมายในเขตแดนลับสัตว์อสูร สามารถเอาไปแลกกับอาหารได้หรือไม่?”
ผู่ตานจึงได้รับถุงพืชวิญญาณมาหนึ่งใบ ภายในนั้นเต็มไปด้วยพืชวิญญาณล้ำค่าและยังมีบางชนิดที่หาได้ยากยิ่งอีกด้วย
“ข้ามีวัสดุสำหรับใช้ในการหลอมศาตราวุธอยู่มากมาย ข้าขอแลกอาหารไว้กินระหว่างการเดินทางด้วยเถิด ขอขอบคุณพวกเจ้าแล้ว”
ทุกคนรวมถึงเจ้าตะขาบมรกตต่างได้รับสิ่งตอบแทน แต่ดูเหมือนจะไม่สมกับคุณค่าของอาหารวิญญาณที่พวกเขานำออกมาเสียเลย และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ…
บรรยากาศในตอนนี้ช่างกลมเกลียวเสียเหลือเกิน ทั้งที่ความจริงแล้วพวกเขามีกันถึงยี่สิบคน แต่ละคนล้วนอยู่ในระดับจินตานขั้นกลางขึ้นไป ด้วยจำนวนคนและระดับพลังนั้น พวกเขาสามารถปล้นพวกของหลิงเยว่ได้อย่างง่ายดายแล้วแท้ ๆ
แต่ผลลัพธ์คือ?
หลิงเยว่ลูบถุงหินวิญญาณ พลางกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ก็ยังคิดไม่ตก
บางทีอาจจะ… เป็นเพราะพวกเขาถูกลบเหลี่ยมคมโดยหุบเขาโบราณตะวันตกก็เป็นได้
หากเป็นเช่นนั้น ถือว่าพวกเขาโชคดีมากที่ออกมาได้สำเร็จภายในเวลาสิบวัน!
“พวกเจ้าต้องขอบคุณข้าแล้ว มิเช่นนั้นพวกเจ้าคงติดอยู่ข้างในนั้นเป็นหลายสิบปี เป็นร้อย ๆ ปี หรืออาจจะนานกว่านั้นก็เป็นได้”
“ใช่แล้ว ขอบใจเจ้ามาก”
โม่จวินเจ๋อพูดอย่างจริงใจ ส่วนคนอื่นนั้น… ไม่พูดถึงก็ได้
หลิงเยว่นึกขบขันในใจ พวกเขามิได้รู้สึกขอบคุณแม้แต่น้อย แต่… บางทีนี่อาจจะเป็นหนทางทำมาหากินก็เป็นได้?
อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้นางกำลังต้องการหินวิญญาณเป็นอย่างมาก!
จะให้ซื้อเครื่องเทศจากระบบก็ไม่ได้ อีกทั้งอาหารวิญญาณที่ทำออกมานั้น ยังรู้สึกว่าขาดสิ่งใดไปสักอย่าง
คงต้องรีบใช้หนี้ให้หมดโดยเร็วที่สุด นางจะได้กลับไปมีความสุขกับการซื้อของอีกครั้ง!