ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน - บทที่ 14 ติดเกี๊ยวจนหยุดตัวเองไม่ได้
บทที่ 14 ติดเกี๊ยวจนหยุดตัวเองไม่ได้
บทที่ 14 ติดเกี๊ยวจนหยุดตัวเองไม่ได้
หลงหว่านโหรวกินเกี๊ยวทอดและเกี๊ยวนึ่งจนหมด
เดิมทีหลิงเยว่วางแผนที่จะเก็บสิ่งเหล่านี้ไว้กินเมื่อตนหิว ไม่เช่นนั้นการจะต้องทำอาหารทุกครั้งที่หิวคงลำบากมาก
“มันอร่อยกว่าโอสถงดธัญพืชมากจริง ๆ”
หลงหว่านโหรวดูเหมือนจะนึกขึ้นได้ จึงเดินตรงไปที่หอกลั่นโอสถหมายเลขหนึ่ง
“ศิษย์พี่ใหญ่ ข้าจะต้องอยู่แต่ในหอกลั่นโอสถเท่านั้นจริงหรือ?”
หลิงเยว่ก้าวช้าไปก้าวหนึ่ง ทำให้ประตูของหอกลั่นโอสถหมายเลขหนึ่งปิดใส่หน้านางก่อนจะพูดจบด้วยซ้ำ หลิงเยว่อยากจะร้องไห้แต่ไม่มีน้ำตา อยากนอนบนเตียงนุ่ม ๆ มากกว่าในหอกลั่นโอสถ!
และเมื่อได้ย้ายไปอาศัยอยู่ยังที่อื่น นางก็ไม่จำเป็นต้องทนทุกข์ทรมานจากแสงอันเจิดจ้าของศิษย์พี่รองในอนาคต
ดูสิ ไม่เพียงแต่เขาจะมีสายตาเอาเรื่องเท่านั้น ตอนนี้ศิษย์พี่รองยังแย่งเกี๊ยวที่นางทำไปจนหมดอีกด้วย!
บ้าที่สุด!
น่ารังเกียจเสียจริง!
[ภารกิจหลักที่หก : ใช้สมุนไพรวิญญาณอย่างเหมาะสมเพื่อสร้างอาหารวิญญาณพิเศษ 3 ชนิดที่สามารถเสริมปราณได้ ข้อกำหนดคุณภาพเหมือนกับภารกิจหลักที่ห้า แต่ครั้งนี้ท่านต้องได้รับการยอมรับจากศิษย์สายในของยอดเขาโอสถจำนวนห้าคน ระยะเวลาภารกิจ 6 วัน ท่านจะได้รับรางวัล ค่าพลังวิญญาณ +3,000 แต้ม อายุขัย +50 วัน บทลงโทษหากภารกิจล้มเหลว ค่าพลังวิญญาณ -6,000 แต้ม อายุขัย -100 วัน]
ระบบสุนัขนี่ช่างน่ากลัว! การทำอาหารสามอย่างไม่ใช่เรื่องยาก แต่การได้รับการยอมรับนั้นกลับยากยิ่ง! ซ้ำข้อกำหนดนี้ก็ยังกีดกันทุกคนที่นางรู้จักโดยตรง และบทลงโทษก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ นางทำงานหนักมาเป็นเวลานานแล้ว แต่แต้มของนางตอนนี้ยังไม่ถึงหกพันเลยด้วยซ้ำ!
หลิงเยว่ซึ่งกำลังไม่มีความสุขตัดสินใจพักงานและนอนสักพัก นางไม่ได้นอนมาหลายวันแล้ว
ความจริงแล้วหลังจากฝึกตนได้สำเร็จ ปราณก็หล่อเลี้ยงร่างกายของนางตลอดทั้งวัน เต็มไปด้วยความแจ่มชัดไม่ว่าจะนอนหรือไม่ก็ตาม
อย่างไรก็ตาม นางเคยมีชีวิตเยี่ยงคนธรรมดามานานแล้ว มาตอนนี้กลับรู้สึกแปลก ๆ อยู่เสมอราวกับไม่ได้นอนหลับเหมือนปกติมานานแล้ว
ก๊อก ก๊อก!
หลิงเยว่ที่กำลังจะหลับได้ยินเสียงเคาะประตูอีกครั้ง
หลิงเยว่เอามือปิดหูของนางแล้วพลิกตัว
โม่จวินเจ๋อยืนอยู่นอกประตู ไม่พูดอะไร ก่อนเคาะประตูช้า ๆ
ก๊อก ก๊อก!
เขาเคาะประตูเรื่อย ๆ จนหลิงเยว่ยอมแพ้
ทันทีที่ประตูเปิด โม่จวินเจ๋อก็แสดงสีหน้าว่า ‘เป็นไปตามที่ข้าคาดไว้’
หลิงเยว่เข้าใจความหมายของชายหนุ่มอย่างน่าอัศจรรย์ เขาคงคิดว่านางแกล้งทำเป็นไม่อยู่เพราะความขี้เกียจสินะ?
หลิงเยว่อยากจะบอกว่านางแค่อยากพักสมองสักพักเท่านั้น แต่ในที่สุดก็ก้าวขึ้นไปบนหวานเย็นรสนมอย่างเชื่อฟัง
มันเป็นภูเขาด้านหลังที่คุ้นเคย และเป็นการฝึกฝนทักษะทางร่างกายที่เหนื่อยล้าอีกครั้ง
อีกด้านหนึ่ง ว่านอวี้เฟิงมองดูเกี๊ยวครึ่งชามที่เขานำมาจากหลิงเยว่ด้วยสีหน้ามึนงง
เขาเอามันกลับมาเพื่อการศึกษาว่าทำไมสมุนไพรวิญญาณที่เอามาทำเป็นอาหารถึงสามารถให้ผลเหมือนกับการกินโอสถกลั่นลมปราณระดับหนึ่งได้ มิหนำซ้ำอาหารบางอย่างผลลัพธ์ก็เกือบจะดีเท่ากับยาระดับสองอีกด้วย เป็นเพราะส่วนผสมพิเศษที่เขาไม่รู้ถูกเพิ่มเข้าไปหรือเปล่า?
แต่สิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจในตอนนี้คือหลิงเยว่ไม่ได้ใช้ไฟจากแก่นปราณเพื่อสกัดแก่นแท้ของสมุนไพรวิญญาณ แต่นางกลับสับสมุนไพรวิญญาณเป็นชิ้น ๆ เองกับมือแล้วคั้นน้ำออก สิ่งนี้ละเมิดวิธีการทำโอสถโดยสิ้นเชิง!
ว่านอวี้เฟิงคิดไม่ตก ไม่ว่าเขาจะชิมรสชาติเกี๊ยวไปเท่าไหร่ ก็รับรู้ได้แค่รสชาติของสมุนไพรวิญญาณเพียงอย่างเดียว แต่แป้งถูกทำขึ้นมาแบบนี้ได้อย่างไร และใช้เครื่องปรุงรสอะไรกัน การห่อเป็นรูปทรงนี้มันคือเคล็ดลับในการเพิ่มประสิทธิภาพของยางั้นหรือ?
ว่านอวี้เฟิงที่สงสัยมากหยิบเกี๊ยวตรงไปที่โรงอาหารสำนักสายใน และไปหาศิษย์ที่ได้รับการกล่าวขานว่าเป็นนักทำอาหารที่เก่งที่สุด
ฉีเจี๋ยมองอาหารตรงหน้านาง มันดูเหมือนเกี๊ยวที่พวกมนุษย์ธรรมดาชอบกิน แต่พอดมแล้วมันกลับไม่เหมือนเกี๊ยวทั่วไป ผิวเกี๊ยวเป็นสีชมพูและมีกลิ่นหอมจาง ๆ ของสมุนไพรวิญญาณ วิธีการห่อก็แตกต่างเช่นกัน มันดูประณีตและหอมมาก
นางมองไปที่ว่านอวี้เฟิงผู้กระตือรือร้นที่จะเรียนรู้และถามคำถามทีละคำ
ทำไมชายคนนี้ถึงดูต่างไปจากข่าวลือที่ผู้คนพูดกัน เขาไม่ได้กำลังหลงผิดอะไรใช่หรือไม่?
“ข้าลองกินดูได้หรือไม่?”
ว่านอวี้เฟิงซึ่งกำลังรอให้ข้อสงสัยของเขาได้รับคำตอบ ลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงพยักหน้า
เป็นการดีกว่าที่จะไม่บอกฉีเจี๋ยว่านี่เป็นอาหารที่เหลือของหลิงเยว่ เขาอ่อนแอเกินกว่าจะทนต่อหมัดจากศิษย์สายในของยอดเขาบ่มเพาะกายา
หลังจากได้รับอนุญาตแล้ว ฉีเจี๋ยก็คีบเกี๊ยวขึ้นมาด้วยตะเกียบแล้วใส่เข้าไปในปากโดยไม่ลังเล
!!!
นี่มันอะไรกัน!
ทำไมมันอร่อยขนาดนี้!
ไม่เพียงอร่อยและหอมเท่านั้น แต่ยังมีผลในการเสริมปราณอีกด้วย!
ลองอีกตัวซิ… ตัวเดียวยังรู้สึกว่าลิ้มรสได้ไม่พอ…
ในชั่วพริบตาเกี๊ยวที่เหลืออยู่ครึ่งชามก็หมดเกลี้ยง ว่านอวี้เฟิงแน่ใจว่าถ้าเขาไม่ได้อยู่ที่นี่ด้วย ฉีเจี๋ยคงจะเลียชามไปแล้ว
ผู้คนจากยอดเขาบ่มเพาะกายานี่ไม่มีมารยาทเอาซะเลย!
เมื่อเผชิญหน้ากับว่านอวี้เฟิงที่พยายามยิ้มอย่างหนัก จนในที่สุดก็กลายเป็นรอยยิ้มฝืน ฉีเจี๋ยมองดูชามที่ยังคงมีคราบอยู่ด้วยความเสียใจ
“ผิวชั้นนอกน่าจะทำจากแป้งที่บดจากข้าวสาลีวิญญาณ แต่ข้าก็ไม่แน่ใจว่าทำไมมันถึงได้กลายเป็นสีนี้ ไส้ในทำจากหมูวิญญาณระดับต่ำ…”
ฉีเจี๋ยไม่สามารถตอบได้ว่ากลิ่นหอมของสมุนไพรวิญญาณเป็นชนิดใด แต่นางสามารถตอบประเภทของผักและเนื้อวิญญาณได้ และทำได้เพียงบอกความแตกต่างระหว่างรสชาติเครื่องปรุงกับน้ำมัน แต่ก็ไม่สามารถบอกได้อีกเช่นกันว่ามันคือน้ำมันชนิดใด
หลังจากได้รับคำตอบที่ต้องการแล้ว ว่านอวี้เฟิงก็มอบขวดโอสถกลั่นลมปราณให้อีกฝ่าย จากนั้นจึงไปหาผู้ดูแลโรงอาหารเพื่อซื้อส่วนผสม
มันฟังดูง่าย
เมื่อท้องฟ้ามืดลง หลิงเยว่ถูกโม่จวินเจ๋อพากลับไปที่หอกลั่นโอสถราวกับสุนัขที่ตายแล้ว
ครั้งนี้โม่จวินเจ๋อไม่ได้หันหลังจากไปทันที กลับหยิบหญ้าวิญญาณสีน้ำเงินกำมือหนึ่งออกมาจากแหวนมิติแทน
หลิงเยว่ซึ่งนอนอยู่บนพื้น เมื่อเห็นสิ่งนี้ดวงตาที่มืดหม่นอยู่แล้วก็ยิ่งสงบนิ่ง
“บอกข้ามาทีว่าต้องทำอย่างไร”
ปรากฏว่าเขาไม่ได้ขอให้นางทำให้ แต่แค่อยากให้สอนวิธีทำหรอกหรือ?
แบบนี้ไม่เป็นไร หญ้าวิญญาณสีน้ำเงินทอดนั้นง่ายมาก ส่วนผสมและเครื่องปรุงรสที่จำเป็นทั้งหมดอยู่บนโต๊ะแล้ว โม่จวินเจ๋อน่าจะทำเองได้
หลิงเยว่ซึ่งนอนอยู่บนพื้น พลางให้คำแนะนำด้วยวาจาในขณะที่ดูการทำอาหารแสนงุ่มง่ามของโม่จวินเจ๋อ ตนอยากจะลุกขึ้นไปทำแทนเช่นกัน แต่น่าเสียดายที่แม้นางจะมีความตั้งใจแต่ไม่สามารถทำได้จริง ๆ
ตอนนี้หลิงเยว่ทำได้เพียงขยับตาและปาก ร่างกายที่เหลือราวกับเป็นอัมพาต ปวดร้าวไปถึงกระดูก ปราณในร่างกายของนางกำลังซ่อมแซมร่างกายอย่างช้า ๆ หากนางต้องการจะเคลื่อนไหว ตนจะต้องเป็นอัมพาตอย่างน้อยที่สุดครึ่งชั่วยาม
ดูเหมือนหลิงเยว่จะได้กลิ่นไหม้ที่มาจากนอกหอกลั่นโอสถพัดโชยมาอย่างคลุมเครือ พร้อมด้วยกลิ่นแปลก ๆ ที่อธิบายไม่ได้
นางไม่สามารถบอกได้ว่ากลิ่นนั้นคืออะไร มันซับซ้อนเกินไป
“เสร็จแล้ว”
โม่จวินเจ๋อยิ้มให้กับหญ้าวิญญาณสีน้ำเงินทอด ยกเว้นในตอนแรกที่เขาไม่คุ้นเคยกับวิธีการทำและทิ้งมันไปหลายสิบต้น ที่เหลือก็ไม่ต่างจากที่หลิงเยว่เคยทำเลย
“ขอข้าชิมหน่อยเจ้าค่ะ”
หญ้าวิญญาณสีน้ำเงินทอดชิ้นหนึ่งที่ยังคงร้อนถูกนำไปที่ปากของหลิงเยว่ เมื่อเด็กสาวขบฟันลง ใบหน้าที่เหนื่อยล้าของนางก็เปลี่ยนเป็นสดใสขณะเคี้ยวมัน
“อร่อย!”
รอยยิ้มบนใบหน้าของโม่จวินเจ๋อกว้างมากขึ้นเช่นกัน เขาเองก็จะกินด้วย แต่ขณะที่เคี้ยว รอยยิ้มบนใบหน้าชายหนุ่มก็ค่อย ๆ หายไป
ไม่สิ รอยยิ้มไม่ได้หายไป แต่ย้ายไปที่บนใบหน้าของหลิงเยว่แทน เดิมทีเด็กสาวแค่ยิ้มอย่างสดใส แต่ตอนนี้นางกลับหัวเราะอย่างเริงร่า
กลิ่นหอมของหญ้าวิญญาณสีน้ำเงินนั้นไม่มีเลย และของเหลวที่เวลากัดลงไปกลับมีรสเค็มมาก หญ้าวิญญาณสีน้ำเงินไม่เพียงไม่มีน้ำหวานจากดอกไม้เท่านั้น แต่ยังเหลือเพียงปราณวิญญาณที่สถิตเพียงหนึ่งในสามเท่านั้น กินแล้วให้ความรู้สึกเหมือนใบไม้ที่ตายเพียงแต่รสเค็ม
โม่จวินเจ๋อขมวดคิ้ว ก่อนชิมอีกชิ้นหนึ่ง แต่ผลลัพธ์ก็ยังเหมือนเดิม
ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้?
เขาคงพลาดอะไรบางอย่างไปแน่ ๆ!
โม่จวินเจ๋อตัดสินใจลองอีกครั้ง
หลิงเยว่บอกวิธีการแก้ปัญหาให้เขาตามรสชาติที่นาง แต่ในหัวของหลิงเยว่กำลังทำสองสิ่งพร้อมกันโดยแยกความคิดว่าจะทำอย่างไรกับภารกิจทำอาหารวิญญาณพิเศษสามชนิด และช่วยให้โม่จวินเจ๋อทำอาหารได้สำเร็จ
อาหารวิญญาณพิเศษทั้งสามชนิดรูปลักษณ์หน้าตาของพวกมันควรดูสะดุดตาที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และควรพยายามไม่ให้พวกนักกลั่นโอสถที่มีจมูกไวรับรู้ว่าพวกมันทำมาจากสมุนไพรวิญญาณได้ง่าย ๆ หรือต่อให้พวกเขาจะสังเกตได้ แต่ก็ไม่ควรให้แยกแยะได้ว่ามันคือสมุนไพรวิญญาณชนิดใดและล่อให้ชิมได้ด้วย
ฮ่า ฮ่า!
เสียงหัวเราะลั่นของหลิงเยว่ทำให้มือของโม่จวินเจ๋อสั่น เขาเผลอทำหยดน้ำจากกลีบหญ้าวิญญาณสีน้ำเงินหยดลงในน้ำมันร้อน
ฉ่า!
เมื่อน้ำเจอกับน้ำมันร้อน น้ำมันก็กระเด็นกระจายอย่างรุนแรง
หลิงเยว่ “…”
ดูเหมือนว่าชายหนุ่มผู้นี้ยังต้องเผชิญกับหนทางอีกยาวไกลในการเรียนรู้การทำอาหาร
หลิงเยว่ไม่คิดว่ามันเป็นความผิดของตนแม้แต่น้อย