ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน - บทที่ 140 ผู้ใดตีก้นนาง!
บทที่ 140 ผู้ใดตีก้นนาง!
เหล่าตะขาบมรกตทั้งสี่ตัวและมนุษย์อีกสามคนที่ตั้งใจจะออกไปจากที่นี่ กลับต้องเจอกับอุปสรรคที่กีดขวางอยู่ นั่นคือหลิงเยว่
“เจ้าต้องการจะทำสิ่งใดอีก” ผู่ตานพลันหรี่ตามองนาง
“ศิษย์พี่สี่ สองพันล้านหินวิญญาณ ท่านจะใช้หนี้ข้าอย่างไร?” หลิงเยว่จ้องมองด้วยหางตา ยามนี้โอสถได้ให้ไปแล้ว แต่กลับไม่ได้รับหินวิญญาณสักก้อน เช่นนี้ยุติธรรมแล้วหรือ
“สองพันล้าน… หินวิญญาณ?”
โม่จวินเจ๋อพูดอย่างติดขัด หินวิญญาณจำนวนนี้มันมากเกินไปแล้ว
เมื่อลู่เป่ยเหยียนได้ฟังหลิงเยว่พูดถึงหนี้สิน สีหน้าพลันเปลี่ยนเป็นอมทุกข์ทันที แต่นี่มันไม่ถูกต้อง! ถึงแม้ว่าตอนนี้เขาจะได้รับโอสถแล้ว แต่ยังไม่ได้ทำพันธสัญญากับเจ้าตะขาบมรกตตัวที่ห้าไม่ใช่หรือ? หากเช่นนั้น… หรือจะลืมมันไปเสีย?
ไม่มีทาง! เขาไม่มีทางละทิ้งเจ้าตะขาบมรกตตัวที่ห้าที่มีเหล่าบริวารมากมาย ทั้งยังมีพลังการต่อสู้ที่แข็งแกร่งเช่นนั้นอย่างแน่นอน!
“ตอนนี้ข้ายังไม่มี”
ผู่ตานกล่าวเช่นนี้แล้ว ศิษย์น้องห้ายังกลัวว่าข้าจะหนีไปเช่นนั้นหรือ?
“พูดมาตามตรงดีกว่า ว่าเจ้าต้องการจะทำสิ่งใด?” ดวงตาสีแดงของหัวหน้าตะขาบมรกตราวกับอ่านหลิงเยว่ออก หากว่านางต้องการจะอยู่ที่นี่เพื่อกินอาหารเหล่านี้ต่อ เขาจะไม่ขัดขวางแต่อย่างใด
หลิงเยว่จึงเล่าถึงแผนการหาหินวิญญาณของตน ผู้คนที่ติดอยู่ในป่าแห่งภาพลวงตานั้นย่อมมีไม่น้อย แม้แต่ผู้บำเพ็ญระดับปฐมวิญญาณที่ติดอยู่มายี่สิบกว่าปีก็คงมีไม่น้อย ผู้ที่ติดอยู่ที่นี่กว่าร้อยปีก็น่าจะมีอยู่เช่นกัน ผู้คนเหล่านั้นย่อมมีหินวิญญาณมากมากมายและพวกเขาต้องยอมจ่ายเงินจำนวนมหาศาลเพื่อแลกกับสิ่งที่จะช่วยให้พวกเขาออกไปได้อย่างแน่นอน
ผู่ตานเอ่ยขึ้นว่า “เจ้าเพียงแค่โชคดีเท่านั้น”
มีเขาผู้เป็นราชาแห่งโชคอยู่ด้วย เพียงเดินเล่นไปรอบ ๆ ก็ออกมาได้แล้ว ตอนแรกเขาออกมาได้ไม่ยาก ทั้งยังมีสัตว์อสูรอาสาพามาส่ง แม้จะรุนแรงไปหน่อยและต้องแลกมาด้วยราคาที่สูงก็ตาม แต่ถือว่าออกมาได้สำเร็จ
ในที่สุดกลุ่มคนและตะขาบมรกตไม่สามารถตกลงกันได้ จึงตัดสินใจแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มของหลิงเยว่พาโม่จวินเจ๋อและหัวหน้าตะขาบมรกตเข้าไปในป่าแห่งภาพลวงตา ส่วนอีกกลุ่มที่เหลือก็ออกเดินทางไปก่อน
ก่อนแยกทางกันไป หลิงเยว่ดึงผู่ตานไปคุยด้วย แล้วมอบโอสถเปลี่ยนร่างระดับเทพให้แก่เขา นางกล่าวว่าศิษย์พี่สามของนางร่ำรวยมาก แน่นอนว่าไม่เหมือนศิษย์พี่สี่ผู้ยากจนข้นแค้นที่ไม่ยอมให้หินวิญญาณแก่นางแม้แต่ก้อนเดียว
ผู่ตานที่เข้าใจความหมายในแววตาของหลิงเยว่ “…”
หากไม่ใช่เพราะเขาได้ใช้ไปจนหมดสิ้นตั้งแต่เข้าไปในเขตแดนลับสัตว์อสูรแล้ว แน่นอนว่าเขาจะต้องขว้างหินวิญญาณใส่ศิษย์น้องห้าจนนางต้องร้องไห้เป็นแน่!
เมื่อได้ยินว่าหลิงเยว่เตรียมจะเข้าไปในป่าแห่งภาพลวงตา ผู้บำเพ็ญที่เพิ่งออกมาก็พยายามเกลี้ยกล่อมด้วยใจอันขมขื่น จนกระทั่งเล่าถึงเรื่องราวที่ตนประสบมากับตนเอง เพื่อพยายามยับยั้งความตั้งใจที่จะไปสู่ความตายของผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตตนเอาไว้ ท้ายที่สุดแล้ว… ก็ไม่สามารถยับยั้งนางได้
มันยากที่จะเกลี้ยกล่อมให้ยอมรับได้ หลิงเยว่ในตอนนี้ก็เหมือนกับพวกเขาเมื่อตอนที่มั่นใจอย่างเต็มเปี่ยมว่าตนเองต้องเป็นบุตรแห่งโชคชะตาอย่างแน่นอน
เพื่อป้องกันไม่ให้โม่จวินเจ๋อและหัวหน้าตะขาบมรกตหลบหนี หลิงเยว่จึงจับแขนของทั้งสอง แล้วลากเข้าไปในป่าแห่งภาพลวงตาทันที
เบื้องหน้าคือเหวของป่าแห่งภาพลวงตา ถอยหลังก้าวหนึ่งคือหาดทรายสัญลักษณ์แห่งอิสรภาพ
ผู้บำเพ็ญที่ยังคงพักฟื้นอยู่บนหาดทรายเอาแต่เฝ้ามองร่างทั้งสามที่ถูกป่าแห่งภาพลวงตากลืนหายไปอย่างช่วยไม่ได้
“ศิษย์น้องหลิงคงใช้เวลาอีกหลายสิบปีกว่าจะออกมาได้กระมัง” ลู่เป่ยเหยียนหันมองหุบเขาโบราณที่อยู่ห่างออกไปเรื่อย ๆ ไม่รู้ว่าเหตุใดความกังวลเหล่านั้นถึงแฝงไปด้วยความยินดีอีกบางส่วน หากนางออกมาช้าหน่อยก็ดีเช่นกัน เขาจะได้มีเวลาไปหาหินวิญญาณมาใช้หนี้!
ผู่ตานเห็นได้ชัดว่าคิดเช่นนั้น ขังศิษย์น้องห้าไว้อีกสักร้อยปีจะดีที่สุด ให้นางรู้จักประมาณตนเสียบ้าง!
ส่วนจะต้องจบชีวิตลงในนั้นหรือไม่?
เป็นไปได้น้อยนัก ที่นั่นยังมีเจ้าหัวหน้าตะขาบมรกตและเจ้ามังกรดำอยู่ด้วย ถึงแม้จะประสบเคราะห์กรรมก็ยังช่วยให้หลบหนีได้
ในขณะที่คนทั้งสองและหัวหน้าตะขาบมรกตก้าวเข้าสู่ป่าแห่งภาพลวงตา สภาพแวดล้อมที่อยู่ด้านหลังก็เปลี่ยนไปสิ้นเชิง ท้องฟ้าสีคราม หาดทรายสีขาว และดวงอาทิตย์ต่างหายไปสิ้น เหลือเพียงร่มเงาที่ถูกต้นไม้บดบัง และเสียงแมลงที่ดังอื้ออึง
หลิงเยว่ใช้เวลาสิบวันในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ จนเริ่มคุ้นเคยเสียแล้ว ตอนนี้สิ่งสำคัญคือจะหาผู้บำเพ็ญในป่าที่มีฐานะร่ำรวยได้อย่างไร?
ใช้วิธีตะโกนเรียกหรือ?
เป็นไปได้ว่าอาจไม่ได้ยินเสียงผู้คน แต่สัตว์อสูรคงจะมารวมตัวกันเป็นฝูง หากเป็นเช่นนั้นคงไม่ปลอดภัยอย่างแน่นอน
“ใช้กลิ่นหอมล่อลวงหรือ?”
หัวหน้าตะขาบมรกตเลียปาก เหล่ามนุษย์เมื่อครู่นี้ก็ล้วนแต่ถูกล่อออกมาด้วยกลิ่นหอมทั้งนั้นไม่ใช่หรือ?
“ข้าว่าเจ้าหิวแล้วมากกว่า?” โม่จวินเจ๋อส่ายหน้าให้กับความคิดของหัวหน้าตะขาบมรกต
“เหล่าผู้บำเพ็ญที่อยู่ด้านนอกคงไม่มีของดีอะไร เราเข้าไปดูข้างในกันดีกว่า”
ด้วยการปกป้องของผู้คุ้มกันทั้งสอง หลิงเยว่จึงมีความกล้าขึ้นมา
เมื่อพวกเขาเดินลึกเข้าไป ความรู้สึกสั่นสะท้านที่น่ากลัวก็แผ่กระจายไปทั่วร่างกาย หลิงเยว่รีบจับแขนเสื้อของโม่จวินเจ๋อเอาไว้ ยิ่งเงียบเท่าไหร่ ยิ่งหมายถึงอันตรายที่มากขึ้นเท่านั้น
“จะถอยกลับไปหรือไม่?” โม่จวินเจ๋อรู้สึกได้ถึงความตึงเครียดของหลิงเยว่ จึงหันมาถาม
ฉับพลัน ก็มีเสียง ‘เพียะ’ ดังขึ้นกลางป่าที่เงียบสงัด
หลิงเยว่กุมบั้นท้ายที่โดนตี แล้วหันกลับไปมองด้านหลัง นางเห็นเพียงต้นไม้ จึงหันไปมองเจ้าหัวหน้าตะขาบมรกตทันที
“เจ้าทำ?”
“ข้าต้องป่วยแล้วเป็นแน่ หากข้าตีก้นเจ้า!” เมื่อถูกกล่าวหา เจ้าหัวหน้าตะขาบมรกตพลันโกรธขึ้นมาทันที
“ถ้าอย่างนั้น เป็นท่านหรือ?”
โม่จวินเจ๋อ “…”
เขากระชากมือของหลิงเยว่ที่ดึงแขนเสื้อของเขาอยู่ลงมาด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว
“อย่าโกรธไปเลย ข้าแค่รู้สึกว่ามันเงียบเกินไปเลยอยากให้บรรยากาศมีชีวิตชีวาขึ้นก็เท่านั้น” เมื่อหลิงเยว่เผลอไปทำให้ผู้คุ้มกันทั้งสองของนางขุ่นเคือง นางก็ทำได้เพียงยิ้มแหย ทั้งรู้สึกอึดอัดและรู้สึกผิดในคราวเดียวกัน
หลังจากที่พูดจบ หัวหน้าตะขาบมรกตก็โดนตบกระเด็นไปที่ต้นไม้
“!!!”
ถึงแม้ว่าโม่จวินเจ๋อจะระวังตัว แต่ก็ยังไม่สามารถหลีกเลี่ยงจุดจบเดียวกันกับหัวหน้าตะขาบมรกตได้ ทั้งคู่ยังไม่ทันได้ตั้งตัวก็โดนตบไปที่ต้นไม้แล้ว การชนที่รุนแรงทำให้ใบไม้บนต้นนั้นร่วงหล่นลงมาอย่างรวดเร็ว ในพริบตาก็กลืนกินร่างของพวกเขาเข้าไป
หลิงเยว่ “???”
หลิงเยว่พลันรู้สึกว่าตนโชคดีนัก ที่โดนตบเพียงเบา ๆ แม้ว่าที่ที่โดนจะน่าสงสัยว่าเป็นพวกชอบลวนลามก็ตาม
“ออกมาสู้กับข้าเสีย!”
หัวหน้าตะขาบมรกตที่พุ่งออกมาจากกองใบไม้โกรธจนตัวสั่น เขาวิ่งไปยังต้นไม้แต่ละตัวแล้วเตะไปเรื่อย ๆ จนเขาสังเกตเห็นสิ่งที่ตบเขาแล้ว มันมีสีน้ำตาลและยาวเหมือน… เถาวัลย์?
แค่เพียงเถาวัลย์เส้นเดียวกล้ามาดูถูกเผ่าตะขาบมรกตสี่ปีกที่กินพวกมันเป็นอาหารอย่างนั้นหรือ? ช่างกล้านัก!
โม่จวินเจ๋อที่ออกมาจากกองใบไม้ก็ใช้คาถาชำระล้างให้ตัวเอง ทันใดนั้นเจ้าหัวหน้าตะขาบมรกตก็กลับมาปรากฏตัวที่กองใบไม้อีกครั้ง
หลิงเยว่และโม่จวินเจ๋อ “…”
แม้แต่หัวหน้าตะขาบมรกตยังโดนเล่นงาน พวกเขาคงเจอศัตรูที่เก่งกาจมากเป็นแน่
“พวกเราควรรีบออกจากที่นี่!”
ทั้งสองช่วยกันลากหัวหน้าตะขาบมรกตออกมา แล้วรีบวิ่งหนีทันที
“ปล่อยข้า ข้าจะไปฆ่ามันให้ตาย!”
หัวหน้าตะขาบมรกตมีใบไม้ติดอยู่ทั้งหัว อีกทั้งใบหน้าของมันยังเปื้อนโคลนเต็นไปหมด ตอนนี้เจ้าหัวหน้าตะขาบมรกตนั่นโกรธจนตัวสั่น ถ้ามันไม่โดนฟ้าผ่าโดยไม่มีเหตุผล แล้วบาดแผลก็ยังไม่หายสนิท มันจะต้องลำบากเช่นนี้หรือ!
“ฮ่า ๆ ๆ… มาสิ”
เสียงดังมาจากทุกทิศทาง แถมยังมีเสียงหัวเราะดังคิกคักประกอบอีกด้วย ทั้งยังไม่สามารถแยกออกด้วยว่าเป็นชายหรือหญิง เป็นคนหรือผี!
หลิงเยว่และโม่จวินเจ๋อเร่งฝีเท้าเร็วขึ้น
“เจ้าออกมา!” เจ้าหัวหน้าตะขาบมรกตคำรามเสียงดังลั่น
“ฮ่า ๆ ๆ ข้าก็อยู่ข้างกายเจ้า เจ้าตาบอดหรือ?”
ใบไม้แห้งใบหนึ่งปลิวจากเส้นผมของหัวหน้าตะขาบมรกตลอยขึ้นไปบนอากาศแล้วกระพือด้วยความเร็ว ฉับพลันก็ตบเข้าที่หน้าของตะขาบมรกต ถึงจะไม่แรงมาก แต่นั่นทำให้เจ้าหัวหน้าตะขาบรู้สึกอัปยศอดสูเสียเหลือเกิน!
เพียงครู่ ใบไม้แห้งนั้นพลันกลายเป็นผุยผงในทันที เมื่อเจ้าหัวหน้าตะขาบมรกตอ้าปาก เหล่าฝูงตะขาบมรกตนับไม่ถ้วนก็กรูกันออกมา เพื่อไปทำลายใบไม้และกินต้นไม้เสียสิ้นซาก พวกมันไม่ละเว้นแม้แต่พืชสักต้นเดียว
ในพริบตาเดียว ป่าไม้เล็ก ๆ แห่งหนึ่งก็กลายเป็นที่โล่งเตียน ไม่เข้ากับสภาพแวดล้อมโดยรอบเสียเลย
เจ้าพวกนั้นหยอกล้อหัวหน้าตะขาบมรกตเสร็จ ก็มาหยอกล้อหลิงเยว่กับโม่จวินเจ๋อต่อ
“วิ่งเหนื่อยหรือไม่ เจ้าทั้งสองนั่งพักก่อนเถิด”
แม้จะฟังดูแล้วเป็นห่วงเป็นใย ทว่าเสียงนั่นกลับทำให้ทั้งสองขนลุกไปทั้งร่าง