ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน - บทที่ 142 เจ้าขนปุยตัวน้อยไร้เดียงสา
บทที่ 142 เจ้าขนปุยตัวน้อยไร้เดียงสา
มนุษย์ทั้งสองคนและแมลงหนึ่งตัวต่างหมดความอดทน จนเกิดสงสัยในชีวิตของตนเองขึ้นมา
นอกจากนี้ สิ่งที่เจ้าเถาวัลย์ปีศาจพูดนั้นล้วนเป็นความจริง ผู้คนและสัตว์อสูรที่เข้ามาในอาณาเขตของมัน ล้วนถูกเล่นงานจนตายทั้งสิ้น!
ตอนนี้พวกเขาเองก็ใกล้จะถูกเถาวัลย์ปีศาจเล่นสนุกจนตายแล้วเช่นกัน
โดยเฉพาะหลิงเยว่ ตอนนี้นางกำลังนอนราบอยู่บนพื้น ดวงตาว่างเปล่า ความปรารถนาเดียวของนางคือ หวังให้เถาวัลย์ปีศาจไปเล่นกับหัวหน้าตะขาบมรกตและฝูงตะขาบมรกตเถิด อย่ามายุ่งกับนางเลย!
น่าเสียดาย ยิ่งนางคิดสิ่งใดมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเกิดขึ้นมากเท่านั้น เถาวัลย์ปีศาจมันมาอีกแล้ว และมันพุ่งตรงมาหาหลิงเยว่ที่กำลังนอนอยู่!
“เจ้าต้องการสิ่งใด?” หลิงเยว่ถูกมัดมือห้อยอยู่กลางอากาศ ใบหน้าไร้ซึ่งความรู้สึกใด ๆ
“เล่นสนุก”
หลิงเยว่ได้รับคำตอบเช่นนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า นางเหลือบไปมองโม่จวินเจ๋อที่นอนอยู่บนพื้นราวกับตุ๊กตาผ้าขี้ริ้ว และหัวหน้าตะขาบมรกตซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก มันดูอิดโรยและรู้สึกจนปัญญากับเถาวัลย์ปีศาจนี้แล้ว ส่วนฝูงตะขาบมรกตนับไม่ถ้วนก็ดูเซื่องซึมและไร้ซึ่งเรี่ยวแรงเช่นกัน
ป่าผืนนี้ถูกพวกมันกินจนโล่งเตียนและสำรอกออกมาอยู่หลายครั้ง สุดท้ายแล้วพวกมันก็กินเข้าไปไม่ไหว
[ภารกิจหลักที่ 14 : จับเถาวัลย์ปีศาจหลอมรวมเป็นศาสตราวุธคู่กาย รางวัลคือ ค่าพลังวิญญาณ +100,000,000 แต้ม อายุขัย +30,000 วัน]
ระบบบ้านี่ไม่ได้ล้อเล่นกันใช่หรือไม่?
ผู้คุ้มกันทั้งสองรวมถึงตัวนางเองแทบจะถูกมันเล่นงานจนตายอยู่แล้ว ยังจะให้จับมา แล้วก็หลอมรวมอีก…
หลิงเยว่รู้สึกว่าข้อมูลตรงหน้ามันค่อนข้างมากเกินไปหน่อย ไม่ใช่เพียงทำพันธสัญญาเพื่อให้กลายเป็นพวกพ้อง แต่ว่าให้หลอมรวมกลายเป็นศาสตราวุธคู่กาย!
“เจ้าดูเถิด ยังคิดว่าพวกข้าจะจับมันได้อีกหรือ?”
[พวกเจ้าทั้งหลายคงทำไม่ได้อยู่แล้ว ให้อีกาสุริยันช่วยเจ้า…]
หลิงเยว่ได้ยินประโยคครึ่งหลังก็หน้าซีดลงทันที เจ้าอีกาตัวนั้นอยากฆ่านางให้ตายเสียด้วยซ้ำ แล้วจะช่วยได้อย่างไร
“เจ้าแน่ใจหรือว่าไม่ได้อยากเห็นข้าโดนไฟเผาจนกลายเป็นเถ้าถ่าน?”
…
ระบบไม่ตอบ นั่นหมายความว่า ให้นางเลือกเพียงสองทาง คือลองปลุกเจ้าอีกาตัวนั้น หรือไม่ก็ตายไปเสีย
ในป่าแห่งภาพลวงตา ไม่มีผู้ใดเข้ามาช่วยพวกเขาได้ ทางที่ดีที่สุดคือใช้พลังทั้งหมด รวมไปถึงพลังของพันธมิตรที่ทำพันธสัญญาไว้ด้วย
โม่จวินเจ๋อเองตระหนักถึงเรื่องนี้เช่นกัน เขาจะยอมให้เจ้ามังกรดำนอนหลับอยู่เฉย ๆ ได้อย่างไร เขาต้องให้มันออกมาเบี่ยงเบนความสนใจของศัตรู
“ข้าให้ของเล่นใหม่แก่เจ้าชิ้นหนึ่ง”
สิ้นเสียงคำสั่ง โม่จวินเจ๋อก็โยนเจ้ามังกรดำไปยังเถาวัลย์ปีศาจที่กำลังแกว่งหลิงเยว่ไปมาราวกับเล่นชิงช้า
เจ้ามังกรดำ “?!”
ช่างไร้ยางอายนัก!
เดิมทีเถาวัลย์ปีศาจคิดจะฆ่าพวกของเล่นที่น่าเบื่อทั้งสามแล้ว แต่บัดนี้ มันโยนหลิงเยว่ที่หมดแรงทิ้งไป ก่อนจะหันมาสนใจกับของเล่นชิ้นใหม่ พลางเลื้อยไปเกาะเจ้ามังกรดำที่ดูมีชีวิตชีวาที่สุด
มันเลื้อยไปพันข้อมือของเจ้ามังกรดำด้วยท่าทีที่แปลกประหลาด ลำตัวของมันยืดออกอย่างไม่มีที่สิ้นสุด มันสัมผัสลูบไล้ไปมาอย่างลามก… ท่าทางนั้นมันช่างต่ำช้าเสียจริง
เจ้ามังกรดำที่อารมณ์ร้อนฉุนเฉียว ย่อมไม่ทนให้สิ่งที่ไม่รู้จักมาแปดเปื้อนร่างกายของตนเองให้สกปรกอยู่แล้ว มันจึงใช้สายฟ้าฟาดลงไปที่เจ้าเถาวัลย์จอมลามก
ผลปรากฏว่า… พลังสายฟ้ารุนแรงพอจะทำลายภูเขาทั้งลูกได้ กลับกลายเป็นเหมือนหินจมลงสู่ก้นทะเล มันได้แต่มองดูด้วยความตกตะลึง!
เจ้ามังกรดำยื่นมือไปจับเถาวัลย์ปีศาจที่ขาดออกอย่างแรง เจ้าเถาวัลย์ปีศาจจึงตะโกนสุดเสียงและดิ้นรนอย่างไม่ยอมแพ้ เจ้ามังกรดำยิ่งดึงสุดแรงเกิด เถาวัลย์กลับยิ่งตื่นตัว พอดึงออกไปด้านหนึ่ง อีกด้านก็เกาะเกี่ยวยื้อยุดไม่ยอมปล่อย
“โอ๊ย! จับแรงขนาดนี้ข้าเจ็บนะ เบาหน่อยไม่ได้หรือ…”
ทั้งสามที่นอนแผ่หลาอยู่บนพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง “…”
เจ้ามังกรดำรวบรวมสายฟ้าไว้ที่มือทั้งสองข้าง จับเถาวัลย์ที่หักแล้วพยายามฉีกมันออกอีกครั้ง ทว่าเถาวัลย์ปีศาจยิ่งถูกดึงก็ยิ่งยาวขึ้น และพันรอบข้อมือของเจ้ามังกรดำแน่นขึ้นเรื่อย ๆ
“โอ๊ย! เจ็บ”
ปากก็ร้องว่าเจ็บ แต่ความจริงแล้วเจ้าเถาวัลย์นั่นกลับพันแน่นขึ้นเรื่อย ๆ
เจ้ามังกรดำ “…”
เมื่อหลิงเยว่เห็นภาพนี้ ดวงตาของนางก็ไร้ซึ่งแสงสว่าง ไม่รู้ว่าควรเลือกวิธีตายเช่นไรดี ระหว่างถูกเจ้าเถาวัลย์นี่เล่นสนุกจนตาย กับถูกไฟเผาจนตาย
ทันทีที่สัมผัสเปลวเพลิงแห่งสวรรค์จะถูกแผดเผากลายเป็นผุยผง แต่อย่างน้อยจิตวิญญาณก็ไม่ต้องถูกทรมานและคงเจ็บปวดน้อยกว่าตอนนี้… ลองปลุกเจ้าอีกาตัวน้อยให้ตื่นจากภวังค์ไม่ดีกว่าหรือ?
“อีกาสุริยันศักดิ์สิทธิ์ผู้สง่างาม ยิ่งใหญ่ และน่าเกรงขาม เจ้าจงตื่นขึ้นมาเถิด”
หลิงเยว่ใช้พลังวิญญาณเบา ๆ ลงบนขนสีแดงเหลือบทองที่หดตัวอยู่เป็นก้อนเล็ก ๆ จนถึงตอนนี้นางก็ยังไม่เคยเห็นร่างเต็มของอีกาสุริยัน และตอนนี้มันมีขนาดเท่าลูกเจี๊ยบที่เพิ่งฟักออกมาเท่านั้น
“เจ้ายังไม่ตื่นอีกหรือ? หากเจ้าไม่ยอมตื่นขึ้นมา เจ้าคงต้องตายไปพร้อมกับข้าแน่แล้ว”
น้ำเสียงของหลิงเยว่เต็มไปด้วยความกังวล นางเห็นเงาของเถาวัลย์กำลังเลื้อยเข้ามาหานางอีกครั้ง ความทรงจำอันเลวร้ายจากการเผชิญหน้ากับมันก่อนหน้านี้ย้อนกลับมาตอกย้ำ นางไม่แน่ใจว่าตัวเองจะสามารถทนได้อีกหรือไม่? ทั้งยังอาจเป็นไปได้ว่าเถาวัลย์ปีศาจนี้เริ่มเบื่อหน่ายนาง และตัดสินใจฆ่านางทิ้งก็เป็นได้
“ตื่นเถิด ข้าขอร้อง หากเจ้าช่วยข้าคราวนี้ ข้าจะยกเลิกพันธสัญญากับเจ้าก็ได้”
ในที่สุด ประโยคนี้ก็ทำให้เจ้าขนปุยสีแดงเริ่มมีปฏิกิริยา แต่เป็นเพียงการขยับศีรษะเล็กน้อยเท่านั้น ก่อนจะกลับไปนิ่งเฉยเช่นเดิม
“ข้าพูดจริงนะ…”
หลิงเยว่พูดไปพลางมองดูการเคลื่อนไหวของเถาวัลย์ไปพลาง โชคดีที่นางแกล้งตายได้อย่างแนบเนียน เถาวัลย์ปีศาจจึงเปลี่ยนไปทางโม่จวินเจ๋อที่นอนแผ่อยู่บนพื้นราวกับตุ๊กตาผ้าขี้ริ้ว
โม่จวินเจ๋อ ท่านช่วยทนอีกหน่อยเถิด!
โม่จวินเจ๋อราวกับได้ยินเสียงในใจของหลิงเยว่ เขาจึงชักกระบี่ขึ้นมาแล้วโจมตีเข้าไปที่เถาวัลย์ปีศาจจนแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ ฝูงตะขาบมรกตที่นำโดยหัวหน้าตะขาบมรกต ก็บุกเข้าโจมตีเถาวัลย์ที่แตกออกเป็นเสี่ยง ๆ นั้นในทันที
ส่วนเจ้ามังกรดำนอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นดิน ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผล ไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร?
“ใช่แล้ว ต้องเป็นเช่นนี้ถึงจะสนุกขึ้นมาเสียหน่อย!”
เถาวัลย์ปีศาจถูกกระบี่สีขาวของโม่จวินเจ๋อฟันเข้าไปเต็ม ๆ มันบิดตัวไปมาในอากาศ ราวกับว่าดาบนั้นเป็นเพียงขนนกที่ทำให้มันรู้สึกคันเท่านั้น
เป็นครั้งแรกที่โม่จวินเจ๋อรู้สึกสิ้นหวังในพลังของตัวเองเช่นนี้
แม้แต่น้ำลายของตะขาบมรกตสี่ปีกที่มีฤทธิ์กัดกร่อนสูง ก็กลายเป็นน้ำที่ใช้สำหรับชำระล้างให้กับเถาวัลย์ปีศาจเท่านั้น
“เจ้าตะขาบมรกตตัวน้อย พ่นน้ำออกมาอีกสิ ข้าไม่รังเกียจหรอกถึงแม้ว่ามันจะเป็นน้ำลายก็ตาม”
หัวหน้าตะขาบมรกต “…”
มันเคยภาคภูมิใจนักหนากับพิษกัดกร่อนอันร้ายกาจที่แทบไม่มีผู้ใดต้านทานได้ ทว่าในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา พิษของมันกลับพ่ายแพ้ต่อศัตรูตัวฉกาจ ไม่น่าเผลอปากตามเจ้ามนุษย์ผู้เปราะบางเข้ามาหาเรื่องใส่ตัวในหุบเขาโบราณตะวันตกแห่งนี้เสียเลย!
สิ่งเดียวที่มันรู้สึกโชคดีในเวลานี้คือ เหล่าพี่น้องตะขาบมรกตทั้งสี่ตัวไม่ได้เข้ามาด้วย ไม่เช่นนั้นเผ่าพันธุ์ตะขาบมรกตสี่ปีกคงได้สูญพันธุ์เพราะเถาวัลย์ปีศาจหัก ๆ เพียงต้นเดียวแล้ว
ทันใดนั้น ลูกไฟสีแดงขนาดเล็กก็ปรากฏขึ้นข้างกายหลิงเยว่ มันมีดวงตาสีทองที่เปล่งประกายด้วยความฉลาก ปีกเนื้อเล็ก ๆ ติดอยู่แนบลำตัว ขาเรียวเล็กทั้งสามข้างเหยียบย่ำอยู่บนใบไม้แห้ง พร้อมแผดเผาใบไม้เหล่านั้นให้กลายเป็นผงธุลีในทันที
จิ๊บ ๆ
มีเสียงร้องอันเยาว์วัยลอยมาแผ่วเบา ดูเหมือนว่ามันยังควบคุมแรงได้ไม่ดีนัก เมื่อกระพือปีกก็ทำให้ตัวของมันเซถลาลงมานั่งก้นจ้ำเบ้ากับพื้น
หลิงเยว่ถึงกับกระตุกยิ้มมุมปาก เจ้าอีกาน้อยตัวนี้… ดูไม่น่าเกรงขามหรือสง่างามอย่างที่นางจินตนาการไว้เลย แต่พอนางคิดดูแล้ว ไม่ว่าจะเป็นลูกไก่ ลูกเป็ด หรือลูกนกที่เพิ่งฟักออกจากไข่ก็คงไม่ต่างกันกระมัง ไม่สิ! เจ้าขนปุยสีแดงตัวนี้ดีกว่าเหล่าลูกไก่หรือลูกนกอยู่เล็กน้อย เพราะอย่างน้อยมันก็มีขนนุ่ม ๆ ปกคลุมร่างกายเมื่อตอนที่ฟักออกจากไข่ด้วย
ยิ่งไปกว่านั้นคือ เจ้าอีกาสุริยันตัวน้อยดูมึนงงและไร้เดียงสายิ่งนัก ดูเหมือนว่ามันจะลืมความเกลียดชังที่มีต่อหลิงเยว่ไปแล้ว
เมื่อเจ้าอีกาตัวน้อยเห็นว่าตัวเองปรากฏตัวมานานแล้ว แต่ไม่มีใครสนใจ ดวงตาสีทองที่สดใสของมันจึงเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ ปากเล็กของมันอ้าออก ก่อนจะพ่นเปลวไฟออกมา เปลวไฟน้อย ๆ พุ่งตรงไปยังเถาวัลย์ปีศาจที่กำลังเล่นสนุกอยู่
หลิงเยว่เฝ้ามองเปลวไฟดวงเล็กที่บางเฉียบราวกับเส้นด้าย ด้วยกลัวว่ามันจะดับลงเสียก่อนจะลอยไปถึงเถาวัลย์ปีศาจ
ภายในชั่วพริบตาถัดมา พลันเกิดสิ่งที่ไม่คาดคิดขึ้น เมื่อเปลวไฟดวงนั้นไม่ได้ดับไปในอากาศอย่างที่หลิงเยว่คิดไว้ แต่มันกลับพุ่งไปเกาะติดกับเถาวัลย์ปีศาจด้วยความเร็วที่หลิงเยว่แทบมองไม่ทัน
“โอ๊ย! ร้อน! ใครกล้าดีมาเผาข้า หาเรื่องไม่ใช่น้อย!”
เถาวัลย์ปีศาจที่ได้รับบาดเจ็บนั้นไม่มีอารมณ์แกล้งทำเสียงอ่อนแออีกต่อไปแล้ว พลางมองหาสิ่งที่กล้าลองดีกับมัน แต่เมื่อเห็นว่าเป็นอีกาสุริยัน ร่างกายของมันก็แข็งค้างไปชั่วขณะ
ทันใดนั้น เถาวัลย์ปีศาจก็โยนโม่จวินเจ๋อและหัวหน้าตะขาบมรกตทิ้งไป และตรงไปที่เจ้าอีกาตัวน้อย
แทนที่เจ้าอีกาสุริยันตัวน้อยจะกลัวเถาวัลย์ปีศาจที่พุ่งเข้ามาหา แต่มันกลับเงยหน้าขึ้นอย่างสง่างาม พลางมองดูเจ้าเถาวัลย์ด้วยสายตาดูถูก
“เถาวัลย์ที่ขาดวิ่นเช่นเจ้า กล้ามาอาละวาดต่อหน้าข้าอย่างนั้นหรือ!”
ทันทีที่เสียงอันเยาว์วัยของเจ้าอีกาน้อยเงียบลง ปากเล็ก ๆ ของมันก็อ้าออกอีกครั้ง
เมื่อเถาวัลย์ปีศาจเห็นเช่นนั้น มันก็รีบหันหลังหนีไปอย่างรวดเร็ว