ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน - บทที่ 145 ฆ่านางเสีย!
บทที่ 145 ฆ่านางเสีย!
เจ้าอีกาตัวน้อยไม่นึกสงสัยในตัวของเถาวัลย์ปีศาจแม้แต่น้อย และหัวหน้าตะขาบมรกตก็แทบรอไม่ไหวที่จะจับวิญญาณผู้พิทักษ์ จึงมีเพียงโม่จวินเจ๋อเท่านั้นที่ชะงักฝีเท้า
จากบุคลิกอันแปรปรวนของเถาวัลย์ปีศาจ มันจะใจดีพามาหาเหล่าวิญญาณผู้พิทักษ์เช่นนี้หรือ?
เขาไม่เชื่อเด็ดขาด
“ข้ากับหลิงเยว่จะรอพวกเจ้าอยู่ที่นี่ ไม่เข้าไปรบกวนแล้ว”
“ดีแล้ว เจ้าอยู่ขอบเขตจินตานขั้นต้น และนางก็เป็นเพียงผู้บำเพ็ญขอบเขตสร้างรากฐานเท่านั้น เข้าไปก็มีแต่จะเป็นตัวถ่วง”
คำพูดของหัวหน้าตะขาบมรกตทำให้เจ้าอีกาตัวน้อยที่กำลังจะปฏิเสธพลันเงียบลง เพราะหากเข้าไปก็ต้องคอยปกป้องพวกเขาด้วย
มนุษย์ทั้งสองไม่เข้าไปอย่างนั้นหรือ?
ไม่ได้เด็ดขาด!
“ในสถานที่รวบรวมวิญญาณผู้พิทักษ์มีน้ำเลี้ยงจากต้นเลือดมังกรอายุนับหมื่นปีอยู่ เพียงไม่กี่หยด ก็จะสามารถทำให้หญิงสาวผู้นี้ที่เสียเลือดมากจากการถูกพลังตีกลับ ฟื้นขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว เจ้าไม่ต้องการจริงหรือ?”
คำพูดอันเย้ายวนใจของเถาวัลย์ปีศาจดังก้องข้างหูของโม่จวินเจ๋อ
ประโยคนี้ทำให้โม่จวินเจ๋อยิ่งมั่นใจมากขึ้นว่าเขาไม่ควรเดินหน้าต่อไป เขาได้ป้อนโอสถบำรุงโลหิตขั้นกลางให้แก่หลิงเยว่แล้ว แม้ผลลัพธ์จะไม่ดีเท่าน้ำเลี้ยงจากต้นมังกรเลือดหมื่นปี แต่นับว่าเพียงพอแล้ว
เพียงสิบก้าวเท่านั้น อีกาสุริยันตัวน้อยและหัวหน้าตะขาบมรกตก็ได้ก้าวเท้าเข้าสู่ดินแดนของเหล่าวิญญาณผู้พิทักษ์
เบื้องหน้าไม่ใช่ป่าไม้อีกต่อไป แต่กลับเป็นทะเลสาบที่มองไม่เห็นจุดสิ้นสุด น้ำในทะเลสาบเป็นประกายระยิบระยับเมื่อต้องกับแสงแดดก็งดงามยิ่ง
สิ่งที่แปลกประหลาดคือ ในทะเลสาบนั้นไม่มีปลาเลยสักตัวเดียว
“เหล่าวิญญาณผู้พิทักษ์ที่เจ้าพูดถึงอยู่ที่ใดเล่า?” หัวหน้าตะขาบมรกตมองไปทั่ว นอกจากพวกตนเองก็ไม่รู้สึกถึงสิ่งมีชีวิตอื่นอีกแล้ว ทั้งที่สภาพแวดล้อมเหมาะแก่การดำรงชีวิตเช่นนี้
สภาพแวดล้อมที่ดีอย่างนั้นหรือ?
ไม่ใช่ว่านี่คือภาพลวงตาหรือ?
ที่นี่ต้องเป็นภาพลวงตาอย่างแน่นอน!
เมื่อคิดได้ดังนั้น หัวหน้าตะขาบมรกตก็หันหลังกลับไปมอง ป่าไม้ด้านหลังของเขาที่เคยปกคลุมท้องฟ้านั้นหายไป สถานที่ที่ทั้งสองเคยยืนอยู่กลายเป็นส่วนหนึ่งของทะเลสาบ พื้นดินที่เขาและเจ้าอีกาน้อยยืนอยู่ก็กลายเป็นหินสีขาว
“เจ้ากำลังตามหาข้าอยู่หรือ เจ้าหัวหน้าตะขาบมรกตตัวน้อย?”
เสียงนั้นมาจากด้านล่าง อีกาสุริยันตัวน้อยและหัวหน้าตะขาบมรกตก้มมองพร้อมกัน หินสีขาวที่ทั้งคู่เหยียบอยู่พลันกลายเป็นงูขาวพาพวกเขาพุ่งลงไปในน้ำ
ทันใดนั้น ทะเลสาบไร้สิ่งมีชีวิตกลับปรากฏฝูงปลาประหลาดจำนวนมาก พวกมันอ้าปากที่มีฟันหยักแหลมคม พุ่งเข้าจู่โจมพวกเขาอย่างดุร้าย!
“เพียงแค่ลูกเล่นโง่ ๆ!”
มืออ้วนกลมยื่นออกไปคว้าฝูงปลาประหลาด พร้อมกับจับปลาที่หน้าตาอัปลักษณ์ที่สุดได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ เพียงชั่วพริบตาฝูงปลาเหล่านั้นก็พลันหายไป
“สมแล้วที่เป็นหนึ่งในสิบสัตว์เทพ อีกาสุริยันรู้ทันตัวจริงของข้าเสียแล้ว”
เจ้าอีกาตัวน้อย “…”
ช่างโง่เง่าเสียจริง
แล้วเหตุใดเจ้าอีกาตัวน้อยถึงได้อยู่ที่นี่ แล้วหัวหน้าตะขาบมรกตนั่นหายไปไหน!
เถาวัลย์ปีศาจอยากจะถามแต่ก็อดทนไว้ คิดเพียงว่าตะขาบมรกตคงหนีออกไปหาผู้บำเพ็ญที่เลี้ยงดูมันเป็นแน่
ตอนนี้เจ้าอีกาตัวน้อยมือหนึ่งถือเถาวัลย์ปีศาจ อีกมือหนึ่งถือปลาอัปลักษณ์ เก็บเกี่ยวมาเสียเต็มมือ นางจึงตัดสินใจที่จะออกไป
“ท่านอีกาสุริยันผู้สูงศักดิ์ บัดนี้ท่านจับวิญญาณผู้พิทักษ์ได้แล้ว ท่านน่าจะปรานีปล่อยข้าผู้ต่ำต้อยไปเถิด อย่าได้ถือโทษข้าเลย”
ถ้อยคำประจบสอพลอที่ได้ยิน ทำให้หัวหน้าตะขาบมรกตเอือมระอายิ่งนัก เถาวัลย์ปีศาจผู้เคยเหิมเกริมโอหังอยู่ที่ใดแล้วเล่า?
“ข้าอีกาสุริยันสัตว์เทพผู้สูงศักดิ์ เอ่ยวาจาสัญญาว่าจะปล่อยเจ้าไปเมื่อใดกัน?”
นางเพิ่งถือกำเนิดใหม่ก็จริงอยู่ ทว่ามิได้แปลว่านางเป็นผู้ไร้ปัญญา นางไม่มีทางปล่อยมันไปเป็นอันขาด
“เจ้า!”
“เมื่อเจ้าไม่สามารถทำประโยชน์ให้พวกข้าได้ ก็จงตายเสียเถิด!”
อีกาสุริยันตัวน้อยกำมือที่จับเถาวัลย์ปีศาจไว้ พลันปรากฏเป็นเพลิงสีแดงทองออกมา
“อ๊าก! ข้าผิดไปแล้ว ท่านอีกาศักดิ์สิทธิ์ อย่าได้เผาข้าเลย ข้าเต็มใจกลายเป็นอาวุธประจำกายของมนุษย์ผู้นั้นแล้ว”
“ช้าไปแล้ว!”
เปลวเพลิงยิ่งโหมกระหน่ำร้อนแรงขึ้นทุกขณะ ว่ากันว่าเปลวเพลิงแห่งสวรรค์นี้เป็นเปลวไฟที่เผาผลาญทุกสิ่งในโลกได้ แต่กลับไม่สามารถเผาเถาวัลย์ปีศาจกึ่งเทพเช่นนี้ได้อย่างไร?
บนมืออ้วนกลมอีกข้าง ปลาตัวน้อยนิ่งสงบราวกับลูกไก่ กลัวเหลือเกินว่าเจ้าอีกาตัวน้อยจะโกรธจนจับมันย่างกิน
แต่ถึงจะย่างจริงมันก็คงไม่กลัว เพราะทั้งหมดนี้ไม่ใช่ร่างจริงของมัน
รู้แล้วว่าเจ้าเถาวัลย์ปีศาจมาที่นี่ย่อมไม่ใช่เรื่องดีแน่ แต่โชคดีที่มันฉลาดและมีไหวพริบ!
แล้วร่างจริงของวิญญาณผู้พิทักษ์อยู่ที่ใดเล่า?
อยู่…
“เจ้ามนุษย์ อยากเป็นข้ารับใช้ข้าหรือไม่?”
วิญญาณผู้พิทักษ์ที่แปลงกายเป็นภูตตัวน้อยขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือบินวนเวียนอยู่รอบ ๆ โม่จวินเจ๋อ พลางจ้องมองร่างของชายหนุ่ม
“เจ้าต่างหากที่เหมือนข้ารับใช้ของข้ามากกว่า” โม่จวินเจ๋อตอบหน้าตาย
“เจ้าโชคดีแล้วที่ข้าเลือกเจ้ามาเป็นข้ารับใช้ อย่าได้อวดดี!” ภูตตัวน้อยโกรธจนโบกไม้กายสิทธิ์ในมือและปล่อยพลังค่ายกลกักขังออกมา
“หากไม่ยินยอม ข้าจะขังเจ้าจนตายเสีย!”
โม่จวินเจ๋อมองไปรอบ ๆ ค่ายกลที่ถูกสร้างขึ้นเสร็จสมบูรณ์ในพริบตา แววตาของเขาเต็มไปด้วยความอิจฉา หากเขาได้ครอบครองพลังเช่นนี้แล้ว จะต้องไปเรียนรู้ศาสตร์การสร้างค่ายกลด้วยเหตุใดกันเล่า?
“ข้าตกลง แต่ว่ามีข้อแม้”
“ว่ามา” วิญญาณผู้พิทักษ์ตัวน้อยนั่งลงบนไหล่โม่จวินเจ๋อด้วยความยินดี เท้าเล็ก ๆ ของมันขยับไปมาราวกับเส้นไหม
“ข้าต้องการน้ำเลี้ยงจากต้นเลือดมังกรหมื่นปี”
นี่เป็นเรื่องที่ง่ายมาก!
“ตราบใดที่เจ้ามอบให้ข้า ข้าสัญญาว่าจะเป็นข้ารับใช้ของเจ้า”
“อืม”
แววตาของโม่จวินเจ๋อส่องประกายด้วยความจริงใจและพยักหน้า
วิญญาณผู้พิทักษ์ตัวน้อยล้วงหาบางสิ่งในกระโปรงที่ทำจากใบไม้ของตนเองอยู่นาน ในที่สุดก็หยิบกระบอกไม้ไผ่ที่บรรจุน้ำเลี้ยงจากต้นเลือดมังกรหมื่นปีออกมา “เจ้ารับไป”
“ขอบใจ” เมื่อเผชิญหน้ากับวิญญาณผู้พิทักษ์ที่ไร้เดียงสาเช่นนี้ โม่จวินเจ๋อก็อดรู้สึกผิดไม่ได้ ทว่าจะเป็นข้ารับใช้ของมันนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้
เมื่อเขาตรวจสอบของเหลวในกระบอกไม้ไผ่เรียบร้อยแล้ว จึงประคองตัวหลิงเยว่ขึ้นมาให้นางดื่ม
“รอให้นางฟื้น เราค่อยทำพันธสัญญากัน”
“ดี!”
วิญญาณผู้พิทักษ์ตัวน้อยไม่เคยพบผู้บำเพ็ญที่พูดจาไพเราะและมีพรสวรรค์เช่นนี้ และที่สำคัญคือเขาดูดียิ่งนัก! งดงามกว่าข้ารับใช้ของพี่ชายทั้งหมด!
เรียกได้ว่าคนเดียวเทียบเท่าร้อยคนโดยแท้!
หลิงเยว่ที่ดื่มน้ำเลี้ยงต้นเลือดมังกรแล้ว นางเริ่มรู้สึกตัวและกะพริบตาช้า ๆ
สิ่งที่ปรากฏตรงหน้านางเป็นภูตตัวน้อยที่มีปีกใส สวมชุดกระโปรงใบไม้ มีหูแหลม ใบหน้าเล็กดูจิ้มลิ้ม ผมหยิกสีน้ำตาลยาวถึงเอว ดวงตากลมโตใสแจ๋ว แววตาพราวระยับ ทั้งสวย… และยังน่ารักอีกด้วย
“นางเป็นวิญญาณผู้พิทักษ์…”
โม่จวินเจ๋อเล่าเรื่องราวการทำพันธสัญญาระหว่างตนกับวิญญาณผู้พิทักษ์ให้หลิงเยว่ฟัง
ไม่คิดเลยว่าท่านจะเป็นคนเช่นนี้
โม่จวินเจ๋อผู้ที่ได้รับสายตาประหลาดจากหลิงเยว่เป็นครั้งที่สอง “…”
ค่ายกลกักขังนั้นไม่ใช่ปัญหาสำหรับหลิงเยว่ นางสามารถพาชายหนุ่มออกไปได้อย่างง่ายดายเสียด้วยซ้ำ
หลิงเยว่ผู้ไม่เคยมีปัญญาซื้อหินขัดเกลาจิตวิญญาณ เมื่อเห็นวิญญาณผู้พิทักษ์ผู้งดงามพลันตระหนักได้ว่า วิญญาณผู้พิทักษ์นั้นเก่งกาจแต่เพียงในการวางและทำลายค่ายกล หากแต่สิ่งเหล่านี้ใช้ไม่ได้กับนางแล้ว ถ้าอย่างนั้นวิญญาณผู้พิทักษ์ตัวน้อยนี้จะทำอันตรายนางไม่ได้ใช่หรือไม่?
หลิงเยว่คิดดังนั้น จึงยื่นมือออกไปคว้าวิญญาณผู้พิทักษ์ที่อยู่ใกล้นางอย่างรวดเร็ว
วิญญาณผู้พิทักษ์ “?”
นางถูกหญิงสาวที่เพิ่งอยู่ขอบเขตสร้างรากฐานจับตัวได้!
ทั้งที่นางหลบหลีกแล้ว ทั้งยังหลบได้อย่างรวดเร็วด้วย เหตุใดจึง…
“เจ้ามนุษย์ ข้าขอเตือนให้เจ้าปล่อยข้าเดี๋ยวนี้ มิฉะนั้น เจ้าจะต้องตายอย่างน่าอนาถ!” วิญญาณผู้พิทักษ์ตัวน้อยดิ้นรนและพยายามวางค่ายกลกักขังใส่หลิงเยว่ ทว่ากลับล้มเหลวทั้งหมด!
เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้!
วิญญาณผู้พิทักษ์ตัวน้อยไม่เชื่อในโชคชะตา จึงใช้ไม้กายสิทธิ์ในมือชี้ไปที่โม่จวินเจ๋อผู้ยืนอยู่ข้าง ๆ
โม่จวินเจ๋อถูกไม้กายสิทธิ์ชี้มาทางเขาก็สะดุ้งขึ้นทันที แววตาของเขามืดครึ้ม ก่อนจะชักกระบี่เหมันต์เร้นลับออกมา แล้วเล็งไปทางหลิงเยว่
“ปล่อยนาง!”
หลิงเยว่ “???”
กระบี่เหมันต์เร้นลับถูกวางบนคอของหลิงเยว่ แววตาของโม่จวินเจ๋อในตอนนี้เปลี่ยนไปดูโหดเหี้ยมยิ่งนัก
ราวกับว่าหากหลิงเยว่ไม่ทำตามที่เขาบอก เขาสามารถตัดหัวนางได้ทันที
“ฆ่านางเสีย!”