ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน - บทที่ 151 เจ้ายังจำได้หรือไม่ว่าเป็นนักกลั่นโอสถ?
บทที่ 151 เจ้ายังจำได้หรือไม่ว่าเป็นนักกลั่นโอสถ?
เจ้าหัวหน้าตะขาบมรกตลากหลิงเยว่ไปที่มุมหนึ่ง แล้วกระซิบคุยกันอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะตกลงกันได้อย่างยากลำบาก
ตะขาบมรกตสี่ปีกหนึ่งตัวที่แปลงร่าง แลกกับโอสถแปลงร่างระดับเทพหนึ่งเม็ด
หลิงเยว่ได้เจ้าตะขาบมรกตตัวที่หกมาครอบครอง มันมีดวงตาสีแดงคล้ายเม็ดถั่วแดงเช่นเดียวกับตัวอื่น ๆ แต่เจ้าตะขาบมรกตตัวนี้มีรูปร่างอ้วนกลม แม้จะหดร่างแล้วก็ยังดูอ้วนมากจนไม่อาจปกปิดได้
“ศิษย์พี่ใหญ่ หนึ่งแสนล้านหินวิญญาณ”
“ศิษย์น้องห้า เจ้าไม่ลำเอียงเกินไปหรือ?”
เมื่อคนทั้งสี่ที่เป็นหนี้สองแสนล้านหินวิญญาณได้ยินเช่นนั้น ต่างโวยวายขึ้นทันที เป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องเช่นกัน แต่เหตุใดจึงลำเอียงเช่นนี้เล่า
หลงหว่านโหรวอุ้มตะขาบมรกตตัวที่หก ใบหน้าจริงจังของนางพลันอ่อนโยนลง นางล้วงถุงใส่หินวิญญาณออกมายื่นให้หลิงเยว่ “มอบให้เจ้าหนึ่งหมื่นล้านก่อน ส่วนที่เหลือจะหามาให้โดยเร็ว”
หนึ่งหมื่นล้านหินวิญญาณ!
สมแล้วที่เป็นศิษย์พี่ใหญ่ นางถือถุงใส่หินวิญญาณไปโบกต่อหน้าติงหลิวหลิ่วและอีกสี่คน “ดูเถิด หากบัดนี้พวกท่านมีหนึ่งหมื่นล้านหินวิญญาณ ข้าก็จะลดราคาเหลือท่านละหนึ่งแสนห้าร้อยล้าน”
ทั้งสี่คน “…”
เป็นเช่นนี้ไม่ดีแน่
ผู่ตานคำรามฮึดฮัด นางกล้าดูถูกเขาอีกแล้วหรือ รอดูเถิด อีกสองวันให้หลังเขาจะเอาภูเขาหินวิญญาณมาวางให้ศิษย์น้องห้าจนนางต้องหลั่งน้ำตาออกมาให้ได้!
ทุกคนทยอยแยกย้ายกันไปด้วยความไม่พอใจนัก เจ้าหัวหน้าตะขาบมรกตก็พาน้อง ๆ ของเขาออกไปกินอาหารอย่างเอร็ดอร่อย ส่วนโม่จวินเจ๋อกลับเข้าเมืองไปก็บำเพ็ญเพียรทันที สุดท้ายห้องโถงของท่านเจ้าเมืองอันคึกคักจึงเหลือเพียงหลิงเยว่และซูซวง
“ตอนนี้ข้ายังขาดหินวิญญาณอีกมากนัก เมืองฮั่วหยางคงจะได้กำไรมากมายในปีนี้ใช่หรือไม่”
ซูซวงมอบถุงหินวิญญาณให้กับหลิงเยว่ใบหนึ่ง
แต่เมื่อเปิดออกดู สีหน้ายิ้มแย้มของหลิงเยว่เมื่อเห็นจำนวนหินวิญญาณในนั้นกลับแข็งค้างทันที เหตุใดจึงมีน้อยถึงเพียงนี้
ยังไม่ถึงครึ่งของที่ศิษย์พี่ใหญ่ให้เสียด้วยซ้ำ!
หากเป็นเช่นนี้เมื่อไหร่ระบบแลกเปลี่ยนของนางจะเปิดอีกครั้งเล่า
ทั้งยังติดหนี้หัวหน้าตะขาบมรกตกับโอสถเปลี่ยนร่างระดับเทพอีกหนึ่งเม็ดด้วย
“ศิษย์ห้า เจ้ามาฝากตัวเป็นศิษย์ข้าเกือบจะห้าปีแล้วใช่หรือไม่?” ชิงยวนที่เพิ่งออกมาจากห้องกลั่นโอสถเอ่ยถามขึ้น
หลิงเยว่ได้คำนวณอย่างละเอียด ร่างนี้อายุสิบแปดปีแล้วหรือ เวลาช่างผ่านไปรวดเร็วเหลือเกิน
“ตลอดห้าปีที่ผ่านมา เจ้าเคยกลั่นโอสถสักครั้งหรือไม่?”
“ไม่เคยเจ้าค่ะ…”
หลิงเยว่รู้สึกผิดขึ้นมาโดยพลัน นางมัวแต่ทุ่มเททั้งกายและใจให้กับการค้นคว้าอาหารวิญญาณพิเศษ การเพิ่มระดับพลังวิญญาณ และการทำภารกิจที่มอบหมายมาจากระบบ นางจึงไม่ได้กลั่นโอสถเลยแม้แต่น้อย
“เจ้ายังจำได้หรือไม่ว่าอาจารย์ของเจ้าเป็นปรมาจารย์ด้านการกลั่นโอสถ?”
“รู้หรือไม่ว่าศิษย์พี่ร่วมสำนักของเจ้าก็ล้วนเป็นปรมาจารย์ด้านการกลั่นโอสถเช่นกัน?”
สองคำถามติดต่อกันเช่นนี้ ทำให้หลิงเยว่พูดไม่ออก
“ว่าอย่างไรนะ! เจ้าไม่รู้วิธีกลั่นโอสถเลยหรือ?”
ซูซวงที่ได้ยินเรื่องราวทั้งหมดมองหลิงเยว่ด้วยความตกตะลึง
นางมีความรู้เรื่องสรรพคุณของสมุนไพรวิญญาณแต่ละชนิดเป็นอย่างดี ทั้งยังสามารถนำมาใช้ได้อย่างคล่องแคล่ว ทำอาหารวิญญาณพิเศษที่มีสรรพคุณเป็นโอสถได้ปริมาณมากมายมหาศาล สอนสั่งเหล่าผู้คนให้เป็นนักกลั่นโอสถพิเศษออกมาจำนวนไม่น้อย อาจารย์ของนางก็เป็นถึงปรมาจารย์แห่งการกลั่นโอสถที่เก่งกล้าที่สุดในโลกแห่งเซียน อีกทั้งศิษย์พี่ทั้งสี่นั้นยังถือเป็นยอดฝีมือในหมู่นักกลั่นโอสถในรุ่นราวคราวเดียวกัน
แต่สุดท้ายกลายเป็นว่า รองเจ้าเมืองน้อยแห่งเมืองฮั่วหยางผู้นี้กลั่นโอสถไม่เป็นอย่างนั้นหรือ?
หลิงเยว่ถูกจ้องจนอยากจะหาโพรงดินมุดหนีเสียเดี๋ยวนั้น นางทำให้สำนักเสื่อมเสียชื่อเสียงแล้ว
“เริ่มตอนนี้ยังไม่สาย เพราะเจ้ามีพื้นฐานที่ดีอยู่แล้ว”
ในการจัดการกับสมุนไพรวิญญาณและควบคุมอุณหภูมิของรากไฟวิญญาณ หลิงเยว่กลับมีความสามารถยิ่งกว่าอาจารย์ของนางเสียอีก การกลั่นโอสถสำหรับนางจึงไม่ถือเป็นเรื่องยากนัก
ชิงยวนกล่าวพลางส่งขวดโอสถให้หลิงเยว่ “ข้างในคือโอสถฟื้นฟูระดับต่ำที่ข้าเพิ่งปรุงเสร็จ เจ้าจงกินเสีย”
“อาจารย์ ท่านมองออกด้วยหรือเจ้าคะ?”
หลิงเยว่ซาบซึ้งใจนัก แล้วรับขวดโอสถมา บาดแผลที่ถูกเถาวัลย์ปีศาจแทงที่หุบเขาโบราณนั้น แม้เลือดจะหยุดไหลแล้ว แต่ไม่รู้เหตุใดบาดแผลจึงยังไม่หายดี ทั้งยังรู้สึกปวดอยู่ตลอด ส่งผลให้อาการบาดเจ็บภายในยังไม่ดีขึ้น
เถาวัลย์ปีศาจช่างชั่วร้ายยิ่งนัก
เมื่อหลิงเยว่ดื่มโอสถฟื้นฟูบาดแผล นางพลันรู้สึกถึงความเย็นยะเยือกที่แผ่กระจายไปทั่วร่างกาย โอสถนี้สามารถบรรเทาอาการเจ็บปวดได้ดียิ่ง นางจึงนั่งลงบนพื้นเพื่อกลั่นโอสถ ขณะเดียวกันชิงยวนก็ยืนสังเกตสีหน้าของนางอย่างตั้งใจ
ใบหน้าซีดขาวของหลิงเยว่เริ่มมีสีเลือดฝาดขึ้น โอสถฟื้นฟูบาดแผลจากน้ำลายของตะขาบมรกตมีประสิทธิภาพดีกว่าที่นางคาดไว้นัก ไม่เพียงแต่คุณภาพของโอสถจะดีขึ้น แต่จำนวนปริมาณของโอสถที่ได้ก็ยังมากกว่าปกติถึงสองเท่า
ปี้สุ่ยเย่ช่างเป็นของวิเศษเสียจริง!
หากได้ทำพันธสัญญากับเผ่าตะขาบมรกตสี่ปีกอีกครั้ง ทั้งอัตราความสำเร็จ อัตราการกลั่นโอสถ และคุณภาพโอสถจะเพิ่มสูงขึ้นหมดเลยหรือไม่?
ชิงยวนนึกถึงลูกศิษย์คนรองที่ได้ทำพันธสัญญากับตะขาบมรกตสี่ปีกไปแล้ว จึงตัดสินใจไปหาเขาเพื่อทำการทดลอง
“เจ้าจงดูแลนางไว้ให้ดี”
ซูซวง “…”
ลูกศิษย์ตัวเองไม่ดูแลเอง กลับมาให้คนนอกอย่างข้าดูแลแทนหรือ!
หลิงเยว่กลั่นโอสถอยู่ทั้งวันทั้งคืน บาดแผลบนหน้าอกนั้นหายดีแล้ว บาดแผลภายในก็หายเป็นปกติ แต่ว่า… ยังมีความปวดหลงเหลืออยู่บ้างบริเวณหน้าอก
นางอาจจะโดนยาพิษหรือไม่?
ไม่น่าใช่ ยกเว้นจะมีอาการปวดเป็นครั้งคราวแล้ว ก็ไม่มีอาการอื่นใดอีก
ช่างมันเถิด อย่าเพิ่งสนใจดีกว่า ค่อยรอเจ้าราชาดอกไม้ตื่นมาแล้วค่อยซักถามอีกที เพราะราชาดอกไม้ก็กำลังกลั่นเถาวัลย์ปีศาจกึ่งเทพอยู่เช่นกัน คงจะรู้ดีว่าเกิดสิ่งใดขึ้น
เมื่อหลิงเยว่ก้าวพ้นประตูจวนเจ้าเมืองก็ผงะกับภาพเมืองฮั่วหยางที่เปลี่ยนไปอย่างมาก ขณะนี้ผู้คนพลุกพล่านเต็มไปหมด และหนึ่งในสิบของผู้คนล้วนเป็นคนสวมชุดนักกลั่นโอสถเดินกันให้ขวักไขว่
เหตุใดถึงมีนักกลั่นโอสถมากมายเพียงนี้
“ท่านรองเจ้าเมืองน้อยหรือ?”
สมาชิกหน่วยทหารชุดแดงที่เดินผ่านหน้าหลิงเยว่อถอยกลับมา เขามีสีหน้าแปลกใจและลังเลเล็กน้อย
จำต้องจ้องอยู่นานขนาดนี้เชียวหรือ?
หลิงเยว่จับใบหน้าตนเอง พลันคิดว่านางเพิ่งจากไปปีกว่า ถึงขนาดจำนางไม่ได้เชียวหรือ?
“ใช่แล้ว ข้าเอง เจ้าจำไม่ผิดหรอก”
สมาชิกหน่วยทหารชุดแดงที่ได้รับคำตอบก็ร้องโหวกเหวกขึ้นมาด้วยความยินดี “ทุกคน ท่านรองเจ้าเมืองกลับมาแล้ว!”
เสียงตะโกนนั้นดังก้อง
ทั้งคนรู้จักและไม่รู้จักต่างวิ่งกรูมาดู
“ท่านรองเจ้าเมือง ท่านยังมีชีวิตอยู่จริงด้วย!”
“ท่านรองเจ้าเมืองยังไม่ตาย ท่านผู้ทรงเกียรติไม่ได้บอกไว้หรือว่าท่านรองเจ้าเมืองแค่ออกไปฝึกฝนในเขตแดนลับสัตว์อสูร และไม่มีกำหนดกลับเพียงเท่านั้น”
“นั่นสิ ด้วยพลังวิญญาณของท่านรองเจ้าเมืองของพวกเรา…”
เหล่าผู้คนที่อยากจะยกยอหลิงเยว่ พอพูดถึงระดับการบำเพ็ญของนาง คำพูดกลับติดขัดไปเสียอย่างนั้น เพราะตอนที่ท่านรองเจ้าเมืองพวกเขาเข้าไปในเขตแดนลับสัตว์อสูร ยังเป็นเพียงผู้บำเพ็ญขอบเขตกลั่นลมปราณเท่านั้น ส่วนพวกผู้กลั่นลมปราณที่สามารถออกมาจากเขตแดนลับสัตว์อสูรได้นั้นมีน้อยยิ่งนัก พวกเขาจึงคิดว่า…
หากไม่ใช่เพราะท่านเจ้าเมืองห้ามไว้ หลุมฝังศพของหลิงเยว่คงสร้างเสร็จไปนานแล้ว
“ท่านรองเจ้าเมือง ท่านเข้าสู่ขอบเขตสร้างรากฐานได้สำเร็จแล้ว!”
ในเวลาเพียงหนึ่งปีกว่า นางสามารถฝ่าด่านจากผู้กลั่นลมปราณขั้นที่สิบ มาถึงขอบเขตสร้างรากฐานขั้นต้น ชาวเมืองที่รู้จักหลิงเยว่ต่างชื่นชมและอิจฉานาง
ความเร็วในการฝึกฝนนั้นช่างรวดเร็วเหลือเกิน นี่นางยังคงเป็นผู้บำเพ็ญแก่นปราณทั้งห้าที่มีชื่อเสียงเรื่องการบำเพ็ญแสนยากลำบากอยู่หรือไม่?
“เมืองฮั่วหยางไม่มีผู้ใดแล้วหรือ ถึงให้ผู้ที่อยู่เพียงขอบเขตสร้างรากฐานมาเป็นรองเจ้าเมืองเช่นนี้”
เสียงกังวานดังออกมาจากฝูงชน คำพูดนั้นเต็มไปด้วยพลังวิญญาณ ทำให้ผู้คนทั้งเมืองต่างได้ยินเสียงนั้นชัดเจน
ฉับพลันก็มีเสียงฮือฮาดังขึ้นทั่วทั้งเมือง
“ข้าจำได้ว่าเมืองฮั่วหยางมีท่านรองเจ้าเมืองเป็นผู้บำเพ็ญในระดับบำเพ็ญเต๋าไม่ใช่หรือ?”
“ข้าได้ยินมาว่ามีท่านรองเจ้าเมืองสองคน หนึ่งคนมาจากความสามารถและการบำเพ็ญ ส่วนอีกหนึ่งคนได้ตำแหน่งมาจากการใช้หินวิญญาณซื้อใจผู้คน”
เสียงซุบซิบแผ่วเบาได้ยินถึงหูของหลิงเยว่ ทำให้มุมปากของนางพลันกระตุกขึ้นมา
ไม่ใช่ว่านางได้ตำแหน่งนี้มาจากหินวิญญาณเพียงอย่างเดียวเสียหน่อย
“สาวน้อยขอบเขตสร้างรากฐาน เจ้าใช้หินวิญญาณไปเท่าใดในการซื้อตำแหน่งรองเจ้าเมืองฮั่วหยางหรือ?”
ผู้บำเพ็ญร่างท้วมใบหน้ายิ้มแย้มเดินออกมาจากฝูงชน ข้างกายยังมีผู้บำเพ็ญอีกหลายคนที่สีหน้าไม่เป็นมิตรติดตามมาด้วยเช่นกัน
“ใช้ไปไม่น้อยเลย เจ้าเองก็อยากได้ตำแหน่งนี้หรือ?”
หลิงเยว่ถามกลับพร้อมรอยยิ้ม